50
~ 1 ~ สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์ แนวคิดสาคัญในทางรัฐศาสตร์ รัฐศาสตร๑ หรือ Political Science มาจากคําวํา Politics (การเมือง) + Science (ศาสตร๑ ) แตํที่ใช๎ ภาษาไทยวํารัฐศาสตร๑เพราะในยุคหนึ่งนักวิชาการเชื่อวําการเมืองเป็นเรื่องของรัฐ ศาสตร๑ที่เกี่ยวข๎องกับ การเมืองก็คือศาสตร๑ที่วําด๎วยเรื่องของรัฐ การเมืองคือ 1. การเมืองเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับรัฐ (State) อริสโตเติล เขียนหนังสือชื่อ Politics (มาจากคําวํา Polis แปลวํารัฐ) กลําววํา รัฐเป็นเงื่อนไขที่จําเป็น สําหรับชีวิตมนุษย๑ นักคิดในยุคหลังอยํางศาสตราจารย๑ทางรัฐศาสตร๑ชื่อ แฟรงค์ เจ. กู๊ดนาว (Frank J. Goodnow) .. 1904 ได๎เสนอแนวคิดวํา รัฐศาสตร๑คือศาสตร๑ซึ่งวําด๎วยองค๑กรอันเป็นที่รู๎จักกันในนาม รัฐนิยามของรัฐ 1. กลุํมคนที่รวมตัวกันเป็นระเบียบและอาศัยในอาณาเขตรํวมกัน มีอํานาจอธิปไตยสูงสุดในอาณาเขต นั้น ๆ (Harold Lasswell และ Abraham Caplan) 2. องค๑กรที่มีอํานาจผูกขาดในการใช๎กําลังหรือใช๎ความรุนแรงทั้งหลาย (Max Weber) เชํน ประกาศ สงคราม 3. กลุํมคนในอาณาเขตใด ๆ รัฐหนึ่ง ๆ จะมีรูปแบบที่มีคนจํานวนหนึ่งมีอํานาจเหนือกลุํมคนทั้งหมด อํานาจนี้อาจมาจากการใช๎กําลังหรือใช๎วิธีการทางจิตวิทยาก็ได๎ (Julius Gould and William Kolb) สรุป 1. รัฐเป็นองค๑กรทางการเมืองที่มีสภาพตํางจากสังคมธรรมดา โดยจะเน๎นที่มิติทางการเมืองคือจะ กลําวถึงเรื่องอํานาจ อํานาจหน๎าที่ มีการกําหนดโครงสร๎างของรัฐบาล ความสัมพันธ๑ระหวํางผู๎ปกครองกับผู๎ถูก ปกครอง ฯลฯ 2. องค๑กรทางการเมืองที่เรียกวํารัฐชาติหรือรัฐประชาชาติ (Nation State) 3. มีความหมายเทํากับมลรัฐ คือเป็นสํวนหนึ่งของสหพันธรัฐหรือสหรัฐ เชํน ประเทศสหรัฐอเมริกา ประกอบด๎วยมลรัฐตําง ๆ 50 มลรัฐ องค์ประกอบของรัฐ 1. ประชากร (Population) จะมากหรือน๎อยไมํสําคัญ 2. อาณาเขตหรือดินแดน (Territory) ทั้งแผํนดิน ในทะเล อากาศ ไหลํทวีป 3. รัฐบาล (Government) เป็นองค๑กรหนึ่งของรัฐ ทําหน๎าที่ดําเนินกิจการแทนรัฐในนามประชาชน ในอาณาเขตที่แนํนอนและเป็นอิสระจากการควบคุมของรัฐอื่น หรือหมายถึงคณะบุคคลซึ่งได๎รับมอบหมาย อํานาจให๎ทําหน๎าที่บริหารประเทศ 4. อานาจอธิปไตย (Sovereignty) เป็นอํานาจสูงสุดในการปกครองประเทศ แบํงเป็นสามอํานาจคือ อํานาจนิติบัญญัติ อํานาจบริหาร และอํานาจตุลาการ ชาติ (Nation) เป็นศัพท๑ทางสังคมวิทยา หมายถึง

สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

Embed Size (px)

DESCRIPTION

 

Citation preview

Page 1: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 1 ~

สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์ แนวคิดส าคัญในทางรัฐศาสตร์ รัฐศาสตร๑ หรือ Political Science มาจากคําวํา Politics (การเมือง) + Science (ศาสตร๑) แตํที่ใช๎

ภาษาไทยวํารัฐศาสตร๑เพราะในยุคหนึ่งนักวิชาการเชื่อวําการเมืองเป็นเรื่องของรัฐ ศาสตร๑ที่เก่ียวข๎องกับการเมืองก็คือศาสตร๑ที่วําด๎วยเรื่องของรัฐ

การเมืองคือ 1. การเมืองเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับรัฐ (State) อริสโตเติล เขียนหนังสือชื่อ Politics (มาจากคําวํา Polis แปลวํารัฐ) กลําววํา รัฐเป็นเงื่อนไขที่จําเป็น

สําหรับชีวิตมนุษย๑ นักคิดในยุคหลังอยํางศาสตราจารย๑ทางรัฐศาสตร๑ชื่อ แฟรงค์ เจ. กู๊ดนาว (Frank J. Goodnow)

ค.ศ. 1904 ได๎เสนอแนวคิดวํา รัฐศาสตร๑คือศาสตร๑ซึ่งวําด๎วยองค๑กรอันเป็นที่รู๎จักกันในนาม “รัฐ” นิยามของรัฐ 1. กลุํมคนที่รวมตัวกันเป็นระเบียบและอาศัยในอาณาเขตรํวมกัน มีอํานาจอธิปไตยสูงสุดในอาณาเขต

นั้น ๆ (Harold Lasswell และ Abraham Caplan) 2. องค๑กรที่มีอํานาจผูกขาดในการใช๎กําลังหรือใช๎ความรุนแรงทั้งหลาย (Max Weber) เชํน ประกาศ

สงคราม 3. กลุํมคนในอาณาเขตใด ๆ รัฐหนึ่ง ๆ จะมีรูปแบบที่มีคนจํานวนหนึ่งมีอํานาจเหนือกลุํมคนทั้งหมด

อํานาจนี้อาจมาจากการใช๎กําลังหรือใช๎วิธีการทางจิตวิทยาก็ได๎ (Julius Gould and William Kolb) สรุป 1. รัฐเป็นองค๑กรทางการเมืองที่มีสภาพตํางจากสังคมธรรมดา โดยจะเน๎นที่มิติทางการเมืองคือจะ

กลําวถึงเรื่องอํานาจ อํานาจหน๎าที่ มีการกําหนดโครงสร๎างของรัฐบาล ความสัมพันธ๑ระหวํางผู๎ปกครองกับผู๎ถูกปกครอง ฯลฯ

2. องค๑กรทางการเมืองที่เรียกวํารัฐชาติหรือรัฐประชาชาติ (Nation State) 3. มีความหมายเทํากับมลรัฐ คือเป็นสํวนหนึ่งของสหพันธรัฐหรือสหรัฐ เชํน ประเทศสหรัฐอเมริกา

ประกอบด๎วยมลรัฐตําง ๆ 50 มลรัฐ องค์ประกอบของรัฐ 1. ประชากร (Population) จะมากหรือน๎อยไมํสําคัญ 2. อาณาเขตหรือดินแดน (Territory) ทั้งแผํนดิน ในทะเล อากาศ ไหลํทวีป 3. รัฐบาล (Government) เป็นองค๑กรหนึ่งของรัฐ ทําหน๎าที่ดําเนินกิจการแทนรัฐในนามประชาชน

ในอาณาเขตที่แนํนอนและเป็นอิสระจากการควบคุมของรัฐอ่ืน หรือหมายถึงคณะบุคคลซึ่งได๎รับมอบหมายอํานาจให๎ทําหน๎าที่บริหารประเทศ

4. อ านาจอธิปไตย (Sovereignty) เป็นอํานาจสูงสุดในการปกครองประเทศ แบํงเป็นสามอํานาจคืออํานาจนิติบัญญัติ อํานาจบริหาร และอํานาจตุลาการ

ชาติ (Nation) เป็นศัพท๑ทางสังคมวิทยา หมายถึง

Page 2: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 2 ~

1. กลุํมประชากรภายในประเทศหนึ่งภายใต๎รัฐบาลที่เป็นเอกราช

2. คนกลุํมหนึ่งที่มีสถาบันและขนบธรรมเนียมประเพณีคล๎ายคลึงกัน มีความกลมเกลียวคือเข๎ากันได๎

ทางสังคมและมีจุดสนใจคล๎าย ๆ กัน

3. สังคมซึ่งใหญํที่สุดของมนุษย๑ที่มีวัฒนธรรมและความรู๎สึกเป็นพวกเดียวกัน ใครมาแตะชาติไมํได๎

องค๑ประกอบของชาติ

1. มีความผูกพันตํอถ่ินที่อยูํอาศัย

2. มีประวัติศาสตร๑รํวมกัน

3. มีวัฒนธรรมรํวม

4. ต๎องการที่จะเป็นอิสระในการดําเนินชีวิต

มีชาติอาจไมํมีรัฐก็ได๎ เชํน ชนชาติกะเหรี่ยงมีองค๑ประกอบความเป็นชาติครบถ๎วน แตํไมํมีรัฐกะเหรี่ยง

แตํถ๎ามีรัฐต๎องมีชาติ (ประชากรหลากหลายชนชาติอาศัยอยูํในรัฐเดียวกัน)

ข๎อด๎อยของนิยามที่วําการเมืองคือเรื่องของรัฐ (นิยามของแฟรงค๑ เจ. กู๏ดนาว)

1. การบอกวําการเมืองเป็นเรื่องราวของรัฐเป็นแนวคิดท่ีตายตัวเกินไป มองแคํองค๑กรที่มีการจัดตั้งจาก

อํานาจรัฐ ไมํสามารถอธิบายปรากฏการณ๑บางปรากฏการณ๑ที่เกิดขึ้นนอกเขตแดนรัฐได๎ เชํน สงครามปฏิวัติ

จักรวรรดินิยม วําปรากฏการณ๑เหลํานี้เกี่ยวข๎องกับการเมืองอยํางไร

2. เน๎นโครงสร๎างที่เป็นทางการเป็นหลัก (องค๑กร สถาบันที่จัดตั้งขึ้นโดยใช๎อํานาจรัฐ) เชํน รัฐบาล

รัฐสภา พรรคการเมือง ฯลฯ โดยไมํให๎ความสําคัญกับกลุํมอิทธิพล กลุํมผลประโยชน๑ที่ไมํเป็นทางการ เชํน การ

รวมตัวกันของประชาชนในนามของสมัชชาคนจน พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นปช. การทํากิจกรรม

ของกลุํมเหลํานี้ล๎วนเป็นเรื่องการเมืองทั้งสิ้น

2. การเมืองคือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับอ านาจ (Power) และอิทธิพล

ฮาร์โรลด์ ลาสเวลล์ (Lasswell) กลําวถึงรัฐศาสตร๑ในฐานะท่ีเป็นการศึกษาเชิงประจักษ๑วําคือ

การศึกษากระบวนการขัดเกลาและการเข๎าไปมีสํวนรํวมในอํานาจนั่นเอง และให๎นิยามวําการเมืองคือเรื่องของ

การที่ใคร ได๎อะไร เมื่อใด และได๎อยํางไร (Politics is who gets what, when and how)

(การศึกษาเชิงประจักษ๑คือการศึกษาที่ใช๎ข๎อมูลที่เป็นจริง สามารถวัดได๎ แจงนับได๎)

ใคร ๆ ก็อยากได๎อํานาจเพราะอํานาจทําให๎สงําผําเผย ตอนไมํมีอํานาจต๎องพยายามเข๎าหาคนทุกชนชั้น

ทุกหมูํเหลําเพ่ือขอคะแนน แตํเมื่อได๎มาซึ่งอํานาจบุคลิกภาพจะเปลี่ยนไปทันที จากนอบน๎อมถํอมตนกลายเป็น

คนมีมาด และหายหัวไปเลยจนกวําจะมีการเลือกตั้งใหมํ บางคนรู๎ดีวําตนไมํมีวาสนาจะได๎มีอํานาจขอแคํเป็น

วอลเปเปอร๑ให๎ผู๎มีอํานาจก็พอ

Page 3: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 3 ~

ลาสเวลล์และแคพแลน (Lasswell and Kaplan) กลําววํา อํานาจคือความสามารถที่จะสร๎าง

ผลกระทบหรือที่จะควบคุมการตัดสินใจ พฤติกรรม นโยบาย คํานิยม หรือโชคชะตาของผู๎อื่นได๎ ได๎ เชํน โจรเอา

ปืนมาจี้แล๎วบอกให๎เรายกมือขึ้นมีอะไรในกระเป๋าสํงมาให๎หมด เราต๎องทําตามคําสั่งของโจรแสดงวําโจรมีอํานาจ

ในการกํากับควบคุมพฤติกรรมของเราให๎เป็นไปตามท่ีโจรปรารถนา

สําหรับคําวําอํานาจมีคําท่ีเกี่ยวข๎องคือ

-อ านาจหน้าที่ (Authority) คือ อํานาจ + ความชอบธรรม (Power + Legitimacy) อันหมายถึงการที่

ประชาชนให๎การยอมรับ เชื่อฟัง ยอมปฏิบัติตามคําสั่งโดยถือวําเป็นสิ่งที่ถูกต๎องควรกระทํา กรณีโจรจี้เรายอม

ทําตามเพราะโจรมีอํานาจเหนือเราในชํวงเวลานั้น แตํมีคนอีกกลุํมหนึ่งที่ทําให๎เราต๎องเสียทรัพย๑มากกวําที่ต๎อง

เสียให๎โจรด๎วยซ้ําไปโดยที่เขาไมํได๎ใช๎อาวุธอะไรเลย คนกลุํมนี้คือเจ๎าหน๎าที่สรรพากร แม๎เราไมํอยากให๎ก็ต๎องให๎

ด๎วยรู๎วําสรรพากรมีหน๎าที่ตามกฎหมาย และเราผู๎เป็นราษฎรก็มีหน๎าที่เสียภาษี ความแตกตํางระหวํางสรรพากร

กับโจรอยูํที่ Legitimacy โจรมีแคํ Power แตํเจ๎าหน๎าที่สรรพากรมี Authority (Power + Legitimacy) มี

อํานาจอันชอบธรรมที่จะเก็บภาษีจากประชาชน และประชาชนเองยอมรับเชื่อฟังปฏิบัติตามสรรพากร

แม็กซ์ เวเบอร์ (Max Weber) นักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน กลําวถึงท่ีมาของความชอบธรรมดังนี้

1) ประเพณี (Tradition) เป็นความชอบธรรมที่มักเกิดข้ึนในสังคมแบบดั้งเดิม เชํน สังคมชนเผํา ลูก

เผําเชื่อฟังหัวหน๎าเผําเพราะหัวหน๎าเผําขึ้นสูํตําแหนํงตามธรรมเนียมประเพณีท่ีสืบทอดกันมาของเผํา เชํน

หัวหน๎าเผําผู๎ชราสํงมอบตําแหนํงให๎ทายาทมีพํอมดหมอผีมาทําพิธี กํอกองไฟกันสักกองหนึ่ง หมอผีรํายเวทมนต๑

เชิญเทพยดาฟ้าดินมาเป็นพยานแล๎วเอามงกุฎหรือคฑามอบให๎ลูกชาย เป็นสัญลักษณ๑วํานี่คือผู๎นําคนใหมํคําพูด

ของผู๎นําคือกฎหมาย ที่สมาชิกในเผําต๎องเคารพเชื่อฟัง

2) บารมี (Charisma) มักเกิดในสังคมที่กําลังเปลี่ยนแปลงหรือชํวงของการตํอสู๎ดิ้นรนเพ่ือเอกราช

จะเกิดผู๎นําที่มิใชํทายาทของผู๎นําเกํา เป็นคนมีบารมีคือมีลักษณะพิเศษที่ทําให๎คนในสังคมยอมเชื่อฟังปฏิบัติ

ตาม เชํน มหาตมะ คานธี เป็นคนแกํตัวผอมถือไม๎เท๎าเดินยักแยํยักยัน เมื่อเกิดสงครามศาสนาระหวํางคนฮินดู

กับคนมุสลิมคานธีประกาศอดอาหารจนกวําคนทั้งสองศาสนาจะหยุดรบกัน ทั้งสองฝ่ายเกรงวําคานธีจะเสียชีวิต

ก็หยุดรบกันจริง ๆ ผู๎นําบารมีคนอ่ืน ๆ เชํน เหมาเจ๐อตุง โฮจิมินห๑ ซูกาโน

3) กฎหมายหรือตรรกะนิตินัย (Legal) เชํน เราปฏิบัติตามคําสั่งของ เจ๎าหน๎าที่สรรพากร เพราะคน

เหลํานี้มีอํานาจตามกฎหมาย (กติกาที่สังคมใดสังคมหนึ่งตราขึ้นมาบังคับใช๎ เพื่อควบคุมพฤติกรรมที่เบี่ยงเบน

ของคนในสังคมให๎เป็นไปตามแนวทางท่ีไมํกํอให๎เกิดความเดือดร๎อนแกํสังคมโดยรวม) กฎหมายเป็นที่มาของ

ความชอบธรรมสมาชิกตํางให๎การเกื้อหนุน ยอมรับ และปฏิบัติตามคําสั่ง

-อิทธิพล (Influence) เป็นคําที่ถูกตีความไปในแงํลบ ทั้ง ๆ ที่ความหมายจริง ๆ แล๎วหมายถึง

ความสามารถในการโน๎มน๎าวให๎บุคคลยอมรับหรือกระทําการใด ๆ แม๎วําเขาไมํปรารถนาที่จะกระทําก็ตาม เชํน

Page 4: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 4 ~

พํอแมํมีอิทธิพลตํอลูก ลูกต๎องเรียนอยํางที่พํอแมํต๎องการ ครูบาอาจารย๑มีอิทธิพลตํอลูกศิษย๑ เชํน สมัยเด็ก ๆ

อาจารย๑เรียนภาษาอังกฤษเกํง ครูสอนภาษาอังกฤษเลยแนะนําวําควรเรียนรัฐศาสตร๑เผื่ออนาคตจะได๎เป็น

นักการทูต

อิทธิพลเกี่ยวข๎องกับการเมืองคือ นักการเมืองสํวนใหญํใช๎อิทธิพลเป็นเครื่องมือสําคัญในการสร๎างความ

นําเชื่อถือแกํตน วําตนเองมีคุณสมบัติมากพอที่จะเข๎าไปนั่งในตําแหนํงแหํงอํานาจ ในชํวงหาเสียงหรือฤดูนับ

ญาตินักการเมืองพยายามโน๎มน๎าวให๎ประชาชนเลือกตนเข๎าไปนั่งในสภา และต๎องใช๎ตัวชํวย เชํน กํานัน

ผู๎ใหญํบ๎าน ครูใหญํ เจ๎าอาวาส เพื่อให๎คนเหลํานี้โน๎มน๎าวให๎ชาวบ๎านมาเลือกผู๎สมัครเบอร๑นั้นเบอร๑นี้ ถ๎ากํานัน

ผู๎ใหญํบ๎าน เจ๎าอาวาส หรือครูใหญํ สามารถโน๎มน๎าวให๎ชาวบ๎านเลือกผู๎สมัครของตนได๎มากที่สุดโดยใช๎

ทรัพยากรน๎อยท่ีสุด คน ๆ นั้นก็ถือวํามีอิทธิพลมาก

อาจารย๑ลองถามนักศึกษาดูวําใครมีอิทธิพลมากที่สุดแถวอีสาน นักศึกษาตอบวําเนวิน แตํอาจารย๑คิด

วําหลวงพํอคูณเป็นผู๎มีอิทธิพลสูงสุดในจังหวัดนครราชสีมาและแถบภาคอีสาน ใช๎ทรัพยากรเพียงเล็กน๎อยแคํนํา

หนังสือพิมพ๑เกํา ๆ มาม๎วนแล๎วเคาะหัวประชาชนพร๎อมพูดวํา “เลือกเบอร๑ 1 เด๎อ เลือกเบอร๑ 1 เด๎อ” คนก็

เลือกเบอร๑ 1 กันหมด นี่คือการใช๎ทรัพยากรน๎อยที่สุดไมํต๎องมีเงินเป็นหมื่นล๎านไมํต๎องโฟนอินแตํได๎ผลมากที่สุด

มีอํานาจในการโน๎มน๎าวสูงชี้ให๎เห็นวําทํานมีอิทธิพลมาก นักศึกษาอยําคิดวําอิทธิพลคือการใช๎อํานาจมืด ใช๎

กําลังซํองสุม แตํเป็นเรื่องของความสามารถในการโน๎มน๎าวใจผู๎อื่น การเมืองไทยมีเรื่องของอิทธิพลเข๎ามา

เกี่ยวข๎องตลอดเวลา

3. การเมืองเป็นเรื่องการใช้อ านาจในการแจกแจงแบ่งสรรสิ่งที่มีคุณค่าของสังคม

เดวิด อีสตัน (David Easton) มองวํา การเมืองเป็นเรื่องของการใช๎อํานาจอันชอบธรรมในการแจก

แจงสิ่งที่มีคุณคําของสังคม โดยที่ผลที่ออกมาจากการตัดสินใจจะผูกมัดกับทุกคนในสังคม เชํน พรรคการเมือง

เสนอนโยบายเพื่อหวังจะสร๎างการกินดีอยูํดี นํางบประมาณ กําลังคนภาครัฐ และเครื่องไม๎เครื่องมือที่มีมา

บําบัดทุกข๑บํารุงสุขให๎กับประชาชน

สรุป เราจะเข๎าใจการเมืองได๎ดีก็ตํอเมื่อเรามองการเมืองจากสามมุมองหลักดังตํอไปนี้

มุมมองแรก เราอาจจะเข๎าใจการเมืองได๎จากประโยคที่เชื่อวําเป็นกิจกรรมที่เป็นการเมืองโดยธรรมชาติ ได๎แกํ

1. การเมืองเป็นเรื่องของพฤติกรรมที่เกี่ยวข๎องกับสถาบันและการปฏิบัติหน๎าที่ของรัฐบาล สถาบัน

สําคัญทางการเมือง เชํน พรรคการเมือง รัฐสภา รัฐบาล พฤติกรรมตําง ๆ ของสมาชิกสถาบันเหลํานี้ล๎วนเป็น

เรื่องการเมืองทั้งสิ้น ไมํวําจะเป็นการประชุมสภา การประชุม ครม. และอ่ืน ๆ

2. การเมืองเป็นเรื่องของการแจกแจงทรัพยากรที่มีอยูํอยํางจํากัด งบประมาณแตํละปีมีอยูํอยํางจํากัด

ทําอยํางไรจึงจะนํางบประมาณที่มีอยูํอยํางจํากัดนั้นมาแก๎ไขปัญหาให๎กับประชาชนได๎

Page 5: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 5 ~

3. การเมืองเป็นปฏิกิริยาของมนุษย๑ที่เก่ียวข๎องกับอํานาจ การเมืองเป็นเรื่องของการตํอสู๎เพ่ือให๎ได๎มา

ซึ่งอํานาจ

มุมมองท่ี 2 มองการเมืองจากคําถามคําตอบที่ควรตั้งเพื่อที่จะเข๎าใจการเมือง ได๎แกํ

1. ทําไมกลุํม/องค๑กร พรรคการเมืองใด ๆ สามารถดํารงอยูํได๎ทํามกลางอุปสรรคและกระแสของการ

เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เชํน พรรคประชาธิปัตย๑ สามารถดําเนินงานทางการเมืองอยํางตํอเนื่องได๎หกสิบกวําปี

ทําไมบางพรรคอยูํไมํนานก็หายไป คําตอบก็เป็นเรื่องของการเมืองนั่นเอง

2. ทําไมคนบางคนบางกลุํมจึงสามารถข้ึนสูํอํานาจและรักษาอํานาจเอาไว๎ได๎ ในขณะที่บางคนไมํ

สามารถรักษาอํานาจไว๎ได๎ในเวลาอันสมควรอยูํได๎แคํในระยะสั้น ๆ เทํานั้น แถมบางคนไมํสามารถขึ้นสูํอํานาจ

ได๎เลยไมํวําจะพยายามมาก่ีครั้งแล๎วก็ตาม คําตอบเป็นเรื่องของการเมือง

3. สภาพทางเศรษฐกิจและสังคมในแบบใดที่นําไปสูํการปกครองในรูปแบบที่แตกตํางกัน เชํน ประเทศที่ใช๎อุดมการณ๑สังคมนิยมเป็นแนวทางในการดําเนินชีวิต รัฐเข๎าไปกํากับควบคุมปัจจัยการผลิตของสังคมนําไปสูํการแจกแจงแบํงสรรทรัพยากรบนพื้นฐานของความเป็นธรรมเน๎นความกินดีอยูํดีของสังคมโดยรวม (Well-being) เพื่อลดชํองวํางระหวํางชนชั้นให๎แคบลงโดยใช๎นโยบายรัฐสวัสดิการ (Welfare State) เชํน เรียนฟรี รักษาพยาบาลฟรี เรียนจบแล๎วมีงานทํา ตกงานรัฐมีเงินชํวยเหลือให๎ ระหวํางนั้นรัฐก็ต๎องหางานใหมํให๎ด๎วย ถ๎าไมํมีความรู๎ในงานใหมํแตํเป็นงานที่อยากทํา รัฐก็จะจัดโครงการต๎นกล๎าอาชีพให๎ นํามาอบรมจนทํางานเป็นแล๎วให๎ทํางาน สังคมแบบนี้มักมีรูปแบบการปกครองเป็นเผด็จการ (Dictatorship) รัฐต๎องมีอํานาจมากในการดําเนินการเพื่อให๎เป็นไปตามอุดมการณ๑สังคมนิยม ในทางตรงข๎ามสังคมที่ยึดมั่นอุดมการณ๑เศรษฐกิจแบบเสรีนิยมที่ให๎เสรีภาพในการประกอบการบนพื้นฐานความเชื่อวํา คนเราเกิดมามีความรู๎ความสามารถแตกตํางกัน ใครมีความสามารถมากกวํามีสิทธิที่จะใช๎สิ่งที่ตนเองมีดําเนินการเพื่อสร๎างความม่ังคั่งให๎กับตนเอง ลัทธิทางเศรษฐกิจแบบนี้มักเอ้ือตํอการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ลัทธิเศรษฐกิจแบบหนึ่งจะเอ้ือตํอรูปแบบการเมืองการปกครองแบบหนึ่ง

มุมมองท่ีสาม จะมองการเมืองจากกิจกรรมหรือพฤติกรรมที่สําคัญๆ ได๎แกํ

1. การเมืองเป็นเรื่องของความขัดแย๎ง อาจเป็นความขัดแย๎งระหวํางกลุํมตําง ๆ หรือ ความขัดแย๎ง

ระหวํางผู๎นําทางการเมืองด๎วยกัน

2. การเมืองเป็นเรื่องการตํอสู๎เพ่ือแยํงชิงอํานาจ 3. การเมืองเป็นเรื่องของกิจกรรมของผู๎นํา

4. การเมืองเป็นเรื่องของการตัดสินใจของผู๎มีอํานาจหน๎าที่ทางการเมือง

คําตอบเกี่ยวกับการเมืองมีหลายคําตอบขึ้นอยูํกับมุมมองของนักวิชาการแตํละคนวําจะเน๎นศึกษา

การเมืองในแงํใด แตํละมุมมองทําให๎นักวิชาการกําหนดยุทธวิธีในการศึกษาทําความเข๎าใจการเมืองแตกตํางกัน

ยุทธวิธีในการศึกษาการเมืองหรือ Approach จึงมีอยูํมากมาย โดยแตํละ Approach มีพ้ืนฐานความเชื่อวํา

การเมืองคืออะไรแตกตํางกันไป เชํน

Page 6: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 6 ~

-Power Approach มองวํา การเมืองคือการตํอสู๎เพื่ออํานาจ

-Interest Group Approach มองวํา การเมืองเป็นความขัดแย๎งในผลประโยชน๑

-System Approach มองวํา การเมืองเป็นเรื่องของการใช๎อํานาจอันชอบธรรมในการแจกแจงแบํงสรร

ทรัพยากรและสิ่งมีคุณคําในสังคม ผลที่ได๎จาการตัดสินใจของผู๎มีอํานาจจะบังคับใช๎กับคนทุกคน

-Elite Approach มองวํา การเมืองเป็นกิจกรรมของชนชั้นนํา

-Decision Making Approach มองวํา การเมืองเป็นการตัดสินใจของผู๎มีอํานาจ

เห็นได๎วําแตํละ Approach มองการเมืองในมุมมองที่แตกตํางกันไป เพราะนักวิชาการแตํละคน

พยายามสร๎างเครื่องมือในการทําความเข๎าใจการเมืองจากมุมมองของตนเอง ทําให๎มี Approach มากมายใน

การศึกษา

(อาจารย๑เคยออกข๎อสอบวํา จากมุมมองการเมืองที่แตกตํางกันไปยังผลให๎เกิด Approach ตําง ๆ

ตามมามากมาย จงยกตัวอยํางให๎เห็นอยํางชัดเจน)

พื้นฐานความเชื่อร่วมกันของค าว่าการเมือง

นักวิชาการแตํละคนอาจจะมองการเมืองแตกตํางกัน แตํนักวิชาการเหลํานี้มีพ้ืนฐานความเชื่อเกี่ยวกับ

การเมืองรํวมกันคือ

1. ทุกสังคมมีปัญหาหลักเหมือนกันคือการขาดแคลนทรัพยากร อุปสงค๑ (Demand) จะมีมากกวํา

อุปทาน (Supply) อยูํตลอดเวลา งบประมาณ กําลังคน เครื่องไม๎เครื่องมือของรัฐมีอยูํอยํางจํากัด แตํความ

ต๎องการของประชาชนมีมากมายเกินกวําที่งบประมาณของรัฐจะสนองได๎

2. ความจําเป็นที่ต๎องมีรัฐบาล เมื่อทรัพยากรมีน๎อยความต๎องการมีมากเพ่ือปกป้องไมํให๎เกิดความ

โกลาหลในสังคมอันเนื่องมาจากกลุํมคนที่แข็งแรงกวําเข๎ามาแกํงแยํงทรัพยากรของสังคมเพ่ือเอาประโยชน๑

ให๎แกํกลุํมของตน ทุกสังคมจึงจําเป็นต๎องจัดตั้งองค๑กรขึ้นมาทําหน๎าที่แจกแจงแบํงสรรทรัพยากรของสังคมคือ

รัฐบาล รัฐบาลจะทําหน๎าที่แจกแจงทรัพยากรบนพื้นฐานการยอมรับของสมาชิกในสังคม

3. ในกระบวนการของการแจกแจงทรัพยากรของรัฐจะมีทั้งคนที่ได๎ประโยชน๑และเสียประโยชน๑เพราะ

งบประมาณมีจํากัด

4. ในทุกสังคมคนที่ได๎ประโยชน๑ (Haves อํานวําแฮฟส๑ ไมํใชํฮาเวส ) เป็นคนจํานวนไมํมาก กลุํมที่เสีย

ประโยชน๑ (Have - nots) มีจํานวนมากกวําและมองวําตนเองไมํได๎รับความเป็นธรรม

5. กลุํมท่ีเสียประโยชน๑พยายามรวมตัวกันเข๎าไปมีสํวนรํวมทางการเมือง รุกเร๎าขอให๎รัฐดําเนินการเอ้ือ

ประโยชน๑ให๎กลุํมตนเองบ๎าง อาจดําเนินการตามกฎหมาย สันติวิธี หรือใช๎กําลังรุนแรง

6. ในขณะเดียวกันกลุํมที่ได๎ประโยชน๑อยูํแล๎วก็พยายามตํอต๎านกลุํมที่เรียกร๎องโดยอ๎างวํารัฐบาลทําดี

อยูํแล๎ว

Page 7: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 7 ~

7. กลุํมท่ีได๎ประโยชน๑อยูํในฐานะท่ีได๎เปรียบอยูํแล๎วมีโอกาสเหนือกลุํมอื่น ๆ จะใช๎วิธีการทุกอยํางเพ่ือ

รักษาสถานภาพที่ได๎เปรียบของตนเองเอาไว๎ โดยสํวนใหญํกลุํม Haves จะเป็นผู๎ปกครอง ชนชั้นสูง นายทุนซึ่ง

ได๎ประโยชน๑จากการดําเนินการของรัฐ ออกกฎเกณฑ๑กติกาป้องกันไมํให๎คนอ่ืนเข๎ามาแยํงชิงผลประโยชน๑ของตน

เชํน สร๎างความเชื่อวําที่ประชาชนเกิดมาอดอยากยากแค๎นเพราะชาติที่แล๎วทํากรรมไว๎มาก ผู๎ปกครองที่มี

อํานาจวาสนาบารมีเพราะชาติที่แล๎วทําบุญ เพราะฉะนั้นคนจนก็ควรก๎มหน๎ารับกรรมแล๎วทําสมาธิอยําไปคิด

อะไรให๎มาก

สรุป การเมืองจึงเป็นเรื่องของปฏิกริยาระหวํางผู๎ปกครองกับผู๎ถูกปกครอง และเป็นการแกํงแยํงสิทธิที่

จะมีอํานาจในการปกครองระหวํางผู๎ปกครองด๎วยกันเองอีกด๎วย การรัฐประหารก็คือการแยํงอํานาจระหวําง

ผู๎ปกครองด๎วยกันนั่นเอง

อุดมการณ์ทางการเมือง (Political Ideology)

อุดมการณ๑ คือ ระบบคํานิยมหรือความเชื่อที่บุคคลใด ๆ ยอมรับเสมือนวําเป็นข๎อเท็จจริงหรือความ

จริง เชํน

-อุดมการณ๑ประชาธิปไตย คนที่ยึดมั่นในอุดมการณ๑นี้ตํางยอมรับวําอํานาจอธิปไตยอันเป็นอํานาจสูงสุด

เป็นของปวงชน ไมํใชํของใครคนใดคนหนึ่ง คนเราตํางมีสิทธิเสรีภาพมีเหตุมีผลด๎วยกันทุกคน มีความสามารถใน

การปกครองตนเองได๎

-อุดมการณ๑ฟาสซิสต๑ คนที่เชื่อมั่นในอุดมการณ๑นี้ตํางยอมรับรํวมกันวําผู๎นําสูงสุดเป็นคนเดียวเทํานั้นที่

จะนําพาประเทศชาติไปสูํเป้าหมายความเป็นเอกภาพ คนเราเกิดมาไมํเทําเทียมกัน ผู๎นําเป็นบุคคลพิเศษในหมูํ

ชนชั้นนํา ไมํใชํใครก็เป็นผู๎นําได๎

ฯลฯ

อยํางไรก็ตามไมํได๎หมายความวําทุกความเชื่อจะจัดเป็นอุดมการณ๑ เชํน เชื่อวําวิญญาณลูกชายที่

เสียชีวิตไปมาสิงในรํางตัวเงินตัวทอง เลยจับมันมาอาบน้ําอาบทําเลี้ยงดู เหมือนเป็นคน ความเชื่อแบบนี้ไมํถือ

เป็นอุดมการณ๑ ความเชื่อท่ีอาจจัดได๎วําเป็นอุดมการณ๑ ได๎แกํ ความเชื่อท่ีมีลักษณะสําคัญดังตํอไปนี้

1. ความเชื่อนั้นต๎องเป็นที่ยอมรับรํวมกันของคนในสังคม

2. เป็นความเชื่อที่สัมพันธ๑กับเรื่องราวที่สําคัญของสังคม ถ๎าเป็นความเชื่อเก่ียวกับเรื่องราวของรัฐ เชํน

อํานาจรัฐ การใช๎อํานาจรัฐ รูปแบบการปกครอง ก็เป็นอุดมการณ๑ทางการเมือง ถ๎าความเชื่อนั้นเกี่ยวข๎องกับ

เรื่องราวทางเศรษฐกิจก็จัดเป็นอุดมการณ๑ทางเศรษฐกิจ

3. เป็นความเชื่อที่คนในสังคมตํางยึดเป็นแนวทางการปฏิบัติในชีวิตอยํางสม่ําเสมอ เชํน อุดมการณ๑

ประชาธิปไตยเชื่อวําทุกคนมีเหตุผล เพราะฉะนั้นวิถีชีวิตของคนในสังคมประชาธิปไตยจึงให๎เสรีภาพในการ

Page 8: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 8 ~

แสดงออก ยอมรับในเสียงข๎างมาก เหตุผลใดที่สามารถจูงใจให๎คนสํวนใหญํเห็นวําเป็นเหตุผลที่ดีที่ถูกต๎องจะ

ได๎รับการสนับสนุนโดยเสียงข๎างมาก เป็นมติที่ประชุมนําไปสูํการปฏิบัติตํอไป

4. เป็นเครื่องมือสําคัญในการยึดเหนี่ยวกลุํมคนให๎เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได๎ เชํน ความรักใครํในหมูํ

ชาวคํายอาสาพัฒนาชนบท ที่ยึดมั่นในอุดมการณ๑เดียวกันรู๎สึกวําพวกตนล๎วนเป็นพี่เป็นน๎องกัน เวลาได๎ยินเพลง

ของชาวคํายแล๎วน้ําตาพาลจะไหลคิดถึงบรรยากาศสมัยออกคําย

สมัยอาจารย๑เรียนอยูํธรรมศาสตร๑ชํวง พ.ศ. 2512 – 2515 เคยไปออกคํายที่โรงเรียนบ๎านเกิ้ง อําเภอ

บ๎านไผํ จังหวัดขอนแกํน เพื่อปลูกฝังแนวคิดประชาธิปไตยแกํเยาวชน (ไม๎อํอนดัดงําย) เด็กรุํนนั้นบางคน

ปัจจุบันเป็นนายอําเภออาวุโสไปแล๎ว อาจารย๑เป็นหัวหน๎าคํายมา 4 ปี รู๎ดีวํายามทุกข๑ก็ทุกข๑ด๎วยกัน สุขก็สุข

ด๎วยกัน ในการออกคํายมีปัญหามาให๎แก๎มากมาย เชํน อยูํไปไมํก่ีวันข๎าวสารหมด ลูกคํายไมํมีข๎าวกินต๎องวิ่งหา

กันให๎วุํนวายแตํนั่นคือความสามัคคีของทุกคนที่ต๎องฝ่าฟันแก๎ปัญหารํวมกัน ถึงวันปิดคํายทํากิจกรรมรอบกอง

ไฟร๎องเพลงประจําคําย “เราอาสาและพัฒนา ใจเริงรําและสามัคคี…” สมาชิกก็น้ําหูน้ําตาไหลกันไป อาจารย๑ยัง

จําภาพวันนั้นได๎ดี ผํานไปสามสิบปีประมาณ พ.ศ. 2545 หน๎าตาแตํละคนเปลี่ยนแปลงไปมาก อาจารย๑ได๎รับ

เชิญไปบรรยายในโครงการรํวมมือกับสถาบันทหารชั้นสูง ลูกศิษย๑เป็นทหารนั่งกันหน๎าสลอน อาจารย๑ก็สอน

เรื่องอุดมการณ๑ทางการเมืองเหมือนอยํางท่ีกําลังสอนให๎นักศึกษาฟังอยูํขณะนี้ พอพักเบรกมีนายทหารคนหนึ่ง

เดินเข๎ามาหาแล๎วตบป้าบเข๎าไปที่ไหลํอาจารย๑บอก “มึงจํากูได๎มั้ย ” ปรากฏวําเป็นพรรคพวกท่ีเคยออกคํายที่

บ๎านเกิ้งด๎วยกัน พอรู๎วําเป็นชาวคํายรํวมกันมากํอนทั้งอาจารย๑และเพ่ือนก็กอดกันกลม เกิดความรู๎สึกของความ

เป็นพวกเดียวกัน เคยตกทุกข๑ได๎ยากกินข๎าวหม๎อเดียวกันมากํอน เป็นคนรํวมอุดมการณ๑เดียวกัน

หน๎าที่ของอุดมการณ๑

1. เป็นเครื่องมือชํวยสร๎างความชอบธรรมให๎กับระบบการปกครองและสถาบันทางการเมืองในขณะนั้น

เชํน ประเทศไทยใช๎อุดมการณ๑ประชาธิปไตยเป็นอุดมการณ๑ทางการเมือง กระบวนการทางการเมืองภายใน

เป็นไปภายใต๎อุดมการณ๑ประชาธิปไตย

2. ชํวยสร๎างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและระดมสรรพกําลังของคนในชาติ เชํน เมื่อเกิดวิกฤต

รัฐบาลจะใช๎อุดมการณ๑ชาตินิยมปลุกจิตสํานึกประชาชนให๎สามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกัน ร๎องเพลงชาติวนกันทุก

จังหวัดมาจบลงที่กรุงเทพฯ เพลงปลุกใจถูกเปิดทุกวันเพื่อให๎คนไทยสามัคคีกัน

3. ชํวยปลุกเร๎ามวลชนโดยเฉพาะในยามที่บ๎านเมืองมีปัญหา เชํน ในยามสงคราม ยามเกิดวิกฤต

เศรษฐกิจ ประชาชนถูกปลุกเร๎าให๎รักชาติ ชํวยกันรัดเข็มขัด

4. ชํวยในการสื่อสารระหวํางกัน โดยใช๎สื่อภาษาท่ีเข๎าใจกันระหวํางผู๎มีอุดมการณ๑เดียวกัน

5. ชํวยให๎เราสามารถแสดงออกถึงความต๎องการ เป็นการชํวยปลดปลํอยแรงผลักดันจากภายในได๎ เชํน

ถ๎าเรามีความอัดอ้ันตันใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแตํถ๎ามีเพ่ือนรํวมอุดมการณ๑ที่เข๎าอกเข๎าใจเรา จะชํวยให๎เราระบาย

Page 9: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 9 ~

ความอัดอ้ันตันใจนั้นออกมาได๎ เพื่อนจะรับฟังอยํางเข๎าอกเข๎าใจและสื่อสารตํอเนื่องกัน แตํถ๎าไปคุยกับคนตําง

อุดมการณ๑จะคุยกันไมํรู๎เรื่อง

6. เป็นปัจจัยที่จะชํวยวิพากษ๑วิจารณ๑สังคมในตัวเอง ชํวยให๎เกิดความเชื่อใหมํที่ทนตํอการวิพากษ๑

อุดมการณ๑ที่ตั้งอยูํบนพื้นฐานความเชื่อที่ไมํอาจตอบคําถามของสังคมได๎ผู๎คนจะเสื่อมศรัทธา ไมํยอมรับ

อุดมการณ๑นั้น ๆ อีกตํอไปแตํจะหันไปยอมรับอุดมการณ๑หรือความเชื่อใหมํ

7. ชํวยให๎คนออกมาเคลื่อนไหวหรือกระทําการทางการเมืองในรูปแบบใด ๆ ก็ได๎ เชํน คนกัมพูชา

ออกมาเผาสถานทูตไทย

อุดมการณ์ทางการเมืองกับเศรษฐกิจ

ในทุกสังคมจะมีอุดมการณ๑ใหญํ ๆ สองอุดมการณ๑คืออุดมการณ๑ทางเศรษฐกิจและอุดมการณ๑ทาง

การเมือง

เขียนกราฟสองแกนให๎แกนนอนเป็นอุดมการณ๑เศรษฐกิจ แกนตั้งเป็นอุดมการณ๑ทางการเมือง

ประชาธิปไตย

A B

สังคมนิยม ทุนนิยม

C D เผด็จการเบ็ดเสร็จ

ถ๎าคนในสังคมเชื่อวําอํานาจอธิปไตยซึ่งเป็นอํานาจสูงสุดในทางการเมืองควรตกอยูํในมือของคนสํวน

ใหญํเรียกอุดมการณ๑ทางการเมืองนี้วํา ประชาธิปไตย ในทางตรงข๎ามถ๎าอํานาจอธิปไตยตกอยูํในมือคน ๆ เดียว

มีสิทธิใช๎อํานาจอธิปไตยเพียงลําพังเรียกอุดมการณ๑ทางการเมืองนี้วําเผด็จการเบ็ดเสร็จ (Totalitarianism) เชํน

นาซี ฟาสซิสม๑ (อํานาจสูงสุดอยูํในมือผู๎ปกครองเพียงคนเดียว)

แกนนอนเป็นความคิดความเชื่อเรื่องการจัดการทางเศรษฐกิจ (อุดมการณ๑ทางเศรษฐกิจ) ถ๎าเชื่อวํา

อํานาจในการกําหนดวิถีชีวิตทางเศรษฐกิจของประชาชนอยูํในมือของคนบางคนบางกลุํม เรียกอุดมการณ๑

เศรษฐกิจนี้วําทุนนิยม ในทางตรงข๎ามถ๎าเชื่อวําอํานาจในการกําหนดวิถีชีวิตทางเศรษฐกิจของประชาชนอยูํใน

มือของสังคมโดยรวม เรียกอุดมการณ๑เศรษฐกิจนี้วํา สังคมนิยม สังคมเป็นเจ๎าของปัจจัยการผลิต

ในแตํละประเทศยํอมยึดถืออุดมการณ๑ทางการเมืองและอุดมการณ๑ทางเศรษฐกิจอยํางใดอยํางหนึ่งในสี่

กลุํม

Page 10: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 10 ~

กลุํม A คือประเทศท่ีปกครองในระบอบประชาธิปไตยใช๎ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม เชํน กลุํม

ประเทศสแกนดิเนเวีย อาทิ นอร๑เวย๑ สวีเดน ฟินแลนด๑ เดนมาร๑ค มีการเลือกตั้ง พรรคการเมืองแขํงขันกัน เป็น

ประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา แตํรัฐบาลชูนโยบายสังคมนิยมเป็นรัฐสวัสดิการ

กลุํม B การเมืองเป็นประชาธิปไตย เศรษฐกิจทุนนิยม เชํน สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ไทย สิงคโปร๑ ญี่ปุ่น

ออสเตรเลีย

กลุํม C เผด็จการทางการเมือง เศรษฐกิจสังคมนิยม เชํน พมํา จีน เวียดนาม ลาว

กลุํม D เผด็จการทางการเมือง เศรษฐกิจทุนนิยม เชํน ประเทศในตะวันออกกลางหลายประเทศท่ี

อํานาจทางการเมืองตกอยูํในมือของผู๎ปกครอง หรือประเทศไทยสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต๑ เป็นเผด็จการทาง

การเมืองแตํระบบเศรษฐกิจเป็นแบบทุนนิยม นายทุนยังคงทํามาหากินได๎ตามปกติ

แตํละกลุํมประเทศยังมีความเข๎มข๎นของอุดมการณ๑ทางการเมืองและเศรษฐกิจแตกตํางกัน เชํน ในกลุํม

B สหรัฐอเมริกาประชาธิปไตยและทุนนิยมเกือบเต็มร๎อย ประเทศไทยมีความเป็นประชาธิปไตยและทุนนิยมต่ํา

กวําสหรัฐฯ การมีรัฐวิสาหกิจคือแนวคิดสังคมนิยม รัฐเป็นเจ๎าของปัจจัยการผลิตเพ่ือเป็นหลักประกันให๎คนใน

สังคมวําอยํางน๎อยคนที่มีฐานะยากจนที่สุดยังมีโอกาสได๎บริโภคกิจการสาธารณูปโภค ไมํวําจะเป็นประปา ไฟฟ้า

รถเมล๑ รถไฟ สมัยอาจารย๑เรียนธรรมศาสตร๑รถเมล๑เป็นของบริษัทเอกชนมีให๎เลือกมากมายไปหมดท้ังรถเมล๑

เขียว รถเมล๑ขาว รถนายเลิศ พอถึงสมัยรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ประกาศยึดรถเมล๑มาเป็นของรัฐตั้ง ข.ส.

ม.ก.ขึ้นมาดูแล เพ่ือสร๎างหลักประกันให๎กับประชาชนวํา คนในกรุงเทพฯ ที่ยากจนที่สุดยังมีเงินพอที่จะจํายคํา

รถเมล๑โดยสารได๎ ถ๎าปลํอยให๎เอกชนดําเนินการตํอไปอาจรวมหัวกันข้ึนคําโดยสารเพราะเป็นชํวงเกิด

วิกฤตการณ๑น้ํามัน

ทัศนคติทางการเมือง (Political Attitude)

นักศึกษาคงจะเคยได๎ยินวํา พวกนิสิตนักศึกษาเป็นพวกหัวเอียงซ๎าย ทหาร ตํารวจ กองกําลังจัดตั้ง

ลูกเสือชาวบ๎าน นวพลเป็นพวกหัวเอียงขวา เหตุการณ๑ 6 ตุลาคม 2519 ที่เขํนฆํากันจนนักศึกษาประชาชนกลุํม

หนึ่งต๎องหนีเข๎าป่า นักหนังสือพิมพ๑เรียกเหตุการณ๑นี้วํา “ขวาพิฆาตซ๎าย” การเอียงซ๎ายเอียงขวาเป็นเรื่องของ

ทัศนคติทางการเมือง

ทัศนคติทางการเมือง หมายถึง แบบแผนของคํานิยม ความเชื่อของบุคคลที่พึงมีตํอสรรพสิ่งในทาง

การเมือง นักวิชาการได๎แบํงทัศคติทางการเมืองเป็น 5 กลุํมตามแกนซ๎าย ขวา ดังนี้

Radical Liberal Moderate Conservative Reactionary

ซ๎าย กลาง ขวา

Page 11: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 11 ~

1. กลุํมท่ีอยูํซ๎ายสุดของแกนเรียกวําพวกท่ีมีทัศนคติทางการเมืองแบบ Radical หรือ พวกหัวก๎าวหน๎า

บางครั้งเรียกวํา พวกหัวรุนแรง ซ๎ายจัด ซ๎ายก๎าวหน๎า หรือซ๎ายตกขอบ

2. พวกเสรีนิยม (Liberal) มีความคิดแบบเสรี เป็นพวกซ๎ายแตํไมํรุนแรงแบบ Radical

3. พวกสายกลาง (Moderate) เป็นพวกที่มีทัศนคติที่เป็นกลาง

4. พวกอนุรักษ๑นิยม (Conservative) มีทัศนคติทางการเมืองที่เป็นขวา

5. พวกปฏิกิริยา (Reactionary) เป็นพวกขวาจัดหรือขวาตกขอบ

มาตรการที่ใช้ในการวัดทัศนคติทางการเมือง

1. ความคิดเห็นในเรื่องของการเปลี่ยนแปลง (Change) (Progression – Regression: ก๎าวหน๎า

– ถดถอย) พวกท่ีเป็นซ๎ายจะเห็นด๎วยกับการเปลี่ยนแปลงแบบก๎าวหน๎า สํวนพวกที่เป็นขวาจะเห็นด๎วยกับการ

เปลี่ยนแปลงแบบถดถอย

-พวกซ๎ายทั้ง Radical และ Liberal จะเห็นด๎วยกับการเปลี่ยนแปลงแบบก๎าวหน๎า (Progression) เชื่อ

วํา ในทุกสังคมความสามารถในการอยูํรอดขึ้นอยูํกับความสามารถในการปรับตัวให๎เข๎ากับการเปลี่ยนแปลงที่

ก๎าวหน๎าตลอดเวลา ไมํมีสังคมใดรอดพ๎นอิทธิพลของกระแสโลกาภิวัตน๑ได๎ พวก Radical เป็นพวกไวตํอ

ความรู๎สึก อะไรเป็นอุปสรรคที่ขัดขวางไมํให๎สังคมก๎าวหน๎าตํอไปต๎องเสนอให๎ผู๎มีอํานาจหาทางเยียวยาแก๎ไข

โดยใช๎วิธียื่นคําขาดให๎ดําเนินการภายในเวลาที่กําหนด ไมํสนใจกติกาบ๎านเมือง อะไรที่เป็นอุปสรรคขัดขวางการ

เจริญก๎าวหน๎าก็พร๎อมที่จะละเมิดทันที

พวก Liberal เห็นด๎วยกับการเปลี่ยนแปลงแบบก๎าวหน๎า เชื่อวําอนาคตต๎องดีกวําปัจจุบัน แตํไมํเห็น

ด๎วยกับการไมํเคารพกติกาบ๎านเมืองอยํางพวก Radical พวก Liberal ยังคงเคารพกฎกติกาบ๎านเมืองอยูํ นิยม

ใช๎ชํองทางที่มีแก๎ไขปัญหารํวมกัน ใช๎วิธีการที่กฎหมายกําหนด เชํน ยื่นข๎อเรียกร๎องผํานตู๎ ปณ.111 อาสาคลาย

ทุกข๑ สํานักงานรัฐสภา ฯลฯ ไมํนิยมการใช๎กําลัง เน๎นสันติวิธีประนีประนอม เจรจาหารือกันตามแผนปรองดอง

แหํงชาติ

-พวกสายกลาง เป็นพวกอะไรก็ได๎ยกเว๎นการใช๎กําลังรุนแรง นิยมการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น๎อย ๆ

-พวกขวาทั้ง Conservative และ Reactionary เชื่อในทางตรงข๎าม ไมํยอมรับการเปลี่ยนแปลงแบบ

ก๎าวหน๎า (Regression) ไมํอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงด๎วยเกรงวําการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะสํงผลตํอ

สถานภาพเดิม (Status Quo) ที่พวกตนอยูํในฐานะได๎เปรียบ เป็น The Haves ที่มีสถานะดีกวําคนทั่วไปใน

สังคม ถ๎าเกิดการเปลี่ยนแปลงผลประโยชน๑ที่พวกตนมีอยูํในขณะนั้นอาจสูญเสียไปก็ได๎ พวกนี้จึงไมํอยากเห็น

การเปลี่ยนแปลง สังเกตดูวําผู๎มีอํานาจมักมีทัศนคติทางการเมืองเป็นแบบ Conservative

สํวนพวก Reactionary ไมํเห็นด๎วยกับการเปลี่ยนแปลงอยํางแนํนอน เพราะไมํรู๎วําเปลี่ยนไปแล๎วอะไร

จะเกิดขึ้น ถ๎าเปลี่ยนแล๎วสังคมเลวร๎ายไปกวําเดิมใครจะรับผิดชอบ เราควรศึกษาบรรพบุรุษของเราที่บ๎านเมือง

Page 12: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 12 ~

สงบเรียบร๎อยเขาใช๎วิธีการใด และควรหวนกลับไปนําวิธีการแบบนั้นมาใช๎อีก นักการเมืองไทยหลายคนยังคิดถึง

การบริหารบ๎านเมืองแบบจอมพลสฤษดิ์ ที่บ๎านเมืองสงบไมํมีขโมยขโจร เพราะจอมพลสฤษดิ์มีมาตรา 17

จัดการกับภัยสังคมได๎ทันที

2. ค่านิยม (Humanism – Private Property: มนุษยนิยม – ทรัพย๑สินเอกชน)

-พวกท่ีเป็นซ๎าย จะให๎ความสําคัญกับแนวคิดมนุษยนิยม (Humanism) มองวําทุกคนในสังคมตํางมี

ศักดิ์ศรีความเป็นคนเหมือน ๆ กัน ต๎องการปัจจัยสี่ ต๎องการการใสํใจดูแลเหมือน ๆ กัน อยากอยูํอยํางมีศักดิ์ศรี

ความเป็นมนุษย๑ไมํใชํถูกปลํอยปละเลยเป็นสัตว๑ รัฐมีหน๎าที่ลดชํองวํางทําให๎คนในสังคมอยูํอยํางมีศักดิ์ศรีความ

เป็นมนุษย๑ให๎ทัดเทียมกันมากท่ีสุด

-พวกขวา จะมองตรงกันข๎าม เชื่อวําคนเราเกิดมาไมํเทําเทียมกัน บางคนฉลาด บางคนโงํ มนุษย๑มีสิทธิ

ที่จะใช๎สิ่งที่ตนเองได๎มาแสวงหาความสุขความสบายหรือทรัพย๑สิน พวกขวาจะให๎ความสําคัญกับแนวคิดเรื่อง

ทรัพย๑สินเอกชน (Private Property) อันหมายถึง ทรัพย๑สินที่ได๎จากการใช๎สถานะที่เหนือกวําไปแสวงหา

ประโยชน๑เพื่อตัวของตัวเองเป็นสําคัญ ในสังคมที่เป็นขวาคนยึดมั่นถือมั่นในแนวคิดเรื่องทรัพย๑สินเอกชน จะ

เป็นสังคมที่มีชํองวํางระหวํางชนชั้นกว๎างมาก ในสังคมแบบนี้คํารําพึงรําพันที่วํา “มือหน๎าไมํรู๎จะหาอะไรกินดี ”

ถ๎าออกจากปากคนรวยก็หมายความวํากินมาหมดแล๎วทุกอยํางจนเบื่ออยากจะหาอะไรแปลก ๆ มากินบ๎าง แตํ

ถ๎าเป็นคนจนก็หมายความวําไมํมีอะไรจะกินจริง ๆ ไมํรู๎จะค๎ุยจากกองขยะไหนมากิน

3. ความเชื่อเกี่ยวกับความเสมอภาค (Equalitarianism) และความเป็นชนชั้นน า (Elitism)

-พวกท่ีเป็นซ๎ายจะให๎ยึดมั่นถือมั่นกับหลักความเสมอภาคของคนในสังคม (Equalitarianism) เชื่อวํา

คนในสังคมตํางมีความเทําเทียมเสมอภาคกันในฐานะท่ีเป็นสมาชิกของสังคม มีสิทธิเทําเทียมกันในการเข๎าไปมี

สํวนรํวมทางการเมืองและเศรษฐกิจ มีโอกาสขึ้นเป็นผู๎นําของสังคมได๎เหมือน ๆ กัน

-พวกขวาจะให๎ความสําคัญกับหลักผู๎นํานิยม (Elitism) เชื่อวํา คนเราไมํได๎มีความเทําเทียมกัน บางคน

ฉลาด บางคนอํอนแอ เราจึงควรเลือกคนที่ฉลาด แข็งแรงมาเป็นผู๎ปกครอง

4. มาตรการในเรื่องหลักการแห่งเหตุผล (Rationalism) และไม่มีเหตุผล (Irrationalism)

-พวกซ๎ายเชื่อมั่นในหลักการแหํงเหตุผล (เหตุผลนิยม) เชื่อวํามนุษย๑ทุกคนตํางมีเหตุผลด๎วยกันทั้งสิ้น

เหตุผลจะนําพาสังคมไปสูํทิศทางท่ีถูกต๎อง จึงควรให๎สิทธิแกํประชาชนในการนําเสนอเหตุผล เหตุผลใดได๎รับ

การยอมรับจากเสียงข๎างมากจะนําไปสูํการปฏิบัติ

-พวกขวา ไมํเชื่อวําคนเราจะมีเหตุผล (Irrationalism) โดยเฉพาะเหตุผลเพื่อสํวนรวม สํวนใหญํเหตุผล

ที่คนยกมาอ๎างเป็นเหตุผลที่เป็นผลประโยชน๑สําหรับตนเองทั้งสิ้น เพ่ือไมํให๎สังคมแตกแยกทุกคนไมํต๎องอ๎างเหตุ

อ๎างผลปฏิบัติการตามคําสั่งของผู๎นําแคํนั้นเป็นพอ

5. หลักการที่เป็นสากล (Internationalism) และหลักการชาตินิยม (Nationalism)

Page 13: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 13 ~

-พวกซ๎าย จะเชื่อม่ันในหลักสากลนิยม (Internationalism) เป็นหลักการอันเป็นที่ยอมรับของคนท่ัว

โลก เชํน หลักการที่ปรากฏอยูํในปฏิญญาสากลวําด๎วยสิทธิมนุษยชนแหํงสหประชาชาติ เป็นหลักการสากลที่

มนุษย๑ทุกคนต๎องการไมํวําจะเป็นคนชาติใด (Beyond Boundary)

-พวกขวาเชื่อมั่นในหลักการชาตินิยม (Nationalism) มีความคิดอยูํในกรอบพรมแดนของตนเอง มอง

วําชาติเป็นสิ่งสําคัญอยํางยิ่งยวดที่ทุกคนต๎องให๎ความสนใจ ยิ่งขวาจัดยิ่งเรียกร๎องให๎ทุกคนเสียสละเพ่ือชาติ

ฟาสซิสต๑นั้นเรียกร๎องให๎ทุกคนเสียสละแม๎กระทั่งชีวิตเพ่ือความยิ่งใหญํของรัฐ

แนวการศึกษา (Approaches) ทางรัฐศาสตร์

ความหมายของ Approaches

1. อลัน ซ.ี ไอแซค (Alan C. Isaak) ให๎ความหมายของ Approach ไว๎วํา

-An approach is a general strategy for studying political phenomena. หรือ Approach

หมายถึง ยุทธวิธีโดยทั่ว ๆ ไปที่ใช๎สําหรับศึกษาหรือทําความเข๎าใจในเรื่องราวหรือปรากฏการณ๑ทางการเมืองที่

เกิดข้ึน หนึ่ง Approach คือหนึ่งยุทธวิธีที่นักรัฐศาสตร๑ใช๎ศึกษาทําความเข๎าใจกับเรื่องราวทางการเมือง

-An Approach might provide framework for, or even take form of, a model or

conceptual scheme or it might serve as the impetus for the development of a theory of

politics. หมายความวํา Approach หนึ่ง ๆ จะให๎กรอบความคิดในการศึกษา อาจจะอยูํในรูปของตัวแบบที่ใช๎

ในการศึกษาหรืออยูํในรูปของแนวคิด สามารถใช๎เป็นเครื่องมือในการพัฒนาเป็นทฤษฎีทางการเมืองได๎ แตํละ

Approach จึงเป็นกรอบหรือตัวแบบหนึ่งที่นําไปใช๎ในการศึกษา

-An approach is designed to include as wide a range of political phenomena as

possible within a single set of concepts. หมายถึง Approach หนึ่ง ๆ นั้นจะได๎รับการออกแบบให๎

ครอบคลุมปรากฏการณ๑ทางการเมืองได๎หลากหลายปรากฏการณ๑ โดยอาศัยแนวคิดหลักเพียงแนวคิดเดียว หรือ

ชุดคอนเซ็ปต๑เพียงชุดเดียวเป็นเครื่องมือในการทําความเข๎าใจปรากฏการณ๑ทางการเมือง เชํน Power

Approach นําไปใช๎ศึกษาปรากฏการณ๑ทางการเมืองได๎ทั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา การเปลี่ยนแปลงการปกครอง

พ.ศ.2475 การรัฐประหาร พ.ศ.2490 รัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ.2549 ทั้งหมดเป็นความพยายามแยํงชิง

และรักษาไว๎ซึ่งอํานาจ

2. William A. Welsh (วิลเลี่ยม เอ . เวลช์) ให๎ความหมายไว๎วํา Approach หมายถึงชุดหรือกลุํม

ของ Concept ที่มุํงเน๎นหรือให๎ความสําคัญกับประเด็นทางการเมืองด๎านใดด๎านหนึ่ง โดยปกติแล๎ว Approach

หนึ่ง ๆ จะประกอบด๎วย Concept หลักแตํเพียงแนวคิดเดียว Concept คือความคิดรวบยอด ภาษาไทยใช๎คํา

วํา สังกัป หมายถึง แนวคิดหลักหรือแนวคิดที่สําคัญ Concept ของ Approach จะบอกให๎ทราบวําเรากําลัง

ศึกษาประเด็นทางการเมืองในด๎านใด เชํน

Page 14: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 14 ~

-System Approach แนวคิดหลักสําคัญคือ Inputs เข๎าสูํระบบการเมืองออกมาเป็น Outputs มี

Feedback เป็น Inputs กลับเข๎าสูํระบบการเมืองอีกครั้งหนึ่ง

-Interest Group Approach การเมืองเป็นการตํอสู๎แยํงชิงผลประโยชน๑ระหวํางกลุํมตําง ๆ

3. Vernon Van Dyke (เวอร์นอน แวน ไดค์ ) กลําววํา Approach หนึ่ง ๆ จะประกอบด๎วย

มาตรการในการเลือกสรรปัญหาหรือคําถามที่จะนํามาพิจารณาและเลือกข๎อมูลที่จะนํามาใช๎ และยังบอกให๎

ทราบวําข๎อมูลชนิดใดใช๎ได๎หรือใช๎ไมํได๎อีกด๎วย การที่เราจะเลือก Approach ใด Approach หนึ่งมาเป็น

เครื่องมือศึกษาทําความเข๎าใจปรากฏการณ๑ทางการเมือง เชํน เลือก System Approach มาศึกษาเหตุการณ๑

พฤษภาทมิฬ คือการตั้งคําถามเพ่ือให๎ได๎ข๎อมูลเกี่ยวกับ Concept หลักของ Approach นั้น ได๎แกํ

-ข๎อเรียกร๎องของประชาชนตํอรัฐบาลในขณะนั้นคืออะไร

-เมื่อรัฐบาลรับข๎อเรียกร๎องไปแล๎วดําเนินการตอบโต๎อยํางไร

-มี Outputs ออกมาอยํางไร

-Outputs ที่ออกมาสามารถลดความตึงเครียดทางการเมืองได๎มากน๎อยแคํไหน

-Feedback เป็นอยํางไร

ข๎อมูลที่ไมํเก่ียวข๎องกับ Concept หลัก ไมํสามารถนํามาใช๎ใน Approach นี้ได๎ Approach จึงเหมือน

พิมพ๑กดวุ๎น ใช๎พิมพ๑รูปใดก็ได๎วุ๎นรูปนั้น ข๎อมูลที่จะใช๎ได๎ก็คือเนื้อวุ๎นที่อยูํในพิมพ๑ เนื้อวุ๎นนอกแบบใช๎ไมํได๎

Approaches เปรียบเสมือนมุมมองตํอเหตุการณ๑ทางการเมืองที่เราสนใจซึ่งมีอยูํหลายมุมมอง บางคน

ใช๎คําวําแนวพินิจ แตํละ Approaches มีมุมมองของตนเองตํอเหตุการณ๑ที่สนใจจะศึกษาและอาจจะแตกตําง

กันไป ภาพที่เห็นก็อาจจะแตกตํางกัน เชํน เกิดเหตุการณ๑ A ขึ้นมา

แตํละจุดรอบ ๆ เหตุการณ๑ A เปรียบเสมือนเป็น Approach หนึ่ง ๆ ที่จะใช๎ศึกษาเหตุการณ๑ A แตํละ

Approach มี Concept หลักของตนเอง เป็นเครื่องมือชํวยให๎เข๎าใจเหตุการณ๑นั้นได๎กระจํางขึ้น

Vernon Van Dyke แบํง Approaches ตามสาขาวิชาตําง ๆ ใช๎แนวคิดหลักของสาขาวิชาตําง ๆ เป็น

เครื่องมือในการศึกษาทําความเข๎าใจการเมือง ดังนี้

1. Historical Approach หมายถึง Approach ที่ใช๎ Concept ทางด๎านประวัติศาสตร๑เป็นเครื่องมือ

ในการศึกษาทําความเข๎าใจกับเรื่องราวทางการเมือง เชํน ศึกษาวิวัฒนาการของการเมืองไทย รํายยาวมาตั้งแตํ

ประวัติศาสตร๑การเมืองไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา รัตนโกสินทร๑ตอนต๎น จนถึงปัจจุบัน

A

Page 15: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 15 ~

2. Economic Approach หมายถึง Approach ที่ใช๎ Concept ทางด๎านเศรษฐศาสตร๑เป็นเครื่องมือ

ในการศึกษาการเมือง (สองศาสตร๑รวมกันเป็นเศรษฐศาสตร๑การเมืองหรือ Political Economy) มองวํา

ปรากฏการณ๑ทางการเมืองได๎รับอิทธิพลมาจากวิถีชีวิตทางเศรษฐกิจของคนในสังคม เชํน มาร๑กซศึกษาการ

ปฏิวัติในสังคมอันเป็นผลมาจากความขัดแย๎งทางเศรษฐกิจระหวํางเจ๎าของปัจจัยการผลิตกับผู๎ใช๎แรงงาน

3. Sociological Approach หมายถึง Approach ที่ใช๎ Concept ทางด๎านสังคมวิทยา เชํน

โครงสร๎าง กลุํม อิทธิพลของกลุํม บทบาทหน๎าที่ของคนในสังคม สถานภาพ ชนชั้น มาเป็นเครื่องมือใน

การศึกษาทําความเข๎าใจเรื่องราวทางการเมือง (สองสาขาวิชารวมกันเป็นสังคมวิทยาการเมืองหรือ Political

Sociology)

4. Psychological Approach หมายถึง Approach ที่ใช๎ Concept ทางด๎านจิตวิทยามาศึกษา

การเมือง จิตวิทยาเชื่อวําพฤติกรรมใด ๆ ของมนุษย๑นั้นเกิดจากแรงผลักภายใน (Internal Drive) ของตัวมนุษย๑

เอง เชํน ความคิด ความเชื่อ ปมเดํน ปมด๎อย ความเกลียด ความรัก ความกลัว เป็นต๎น เคยมีการศึกษา

พฤติกรรมของฮิตเลอร๑โดยใช๎ Concept ทางด๎านจิตวิทยา พบวํา แมํของฮิตเลอร๑เคยถูกเศรษฐีชาวยิวขํมขืน

สร๎างความคับแค๎นใจให๎เขาอยํางมาก เมื่อมีอํานาจจึงแก๎แค๎นชาวยิวอยํางรุนแรง พฤติกรรมทางการเมืองของ

เขาเป็นแรงผลักจากความเกลียดชังชาวยิว

5. Philosophical Approach หมายถึง Approach ที่ใช๎ Concept ทางด๎านปรัชญาเป็นเครื่องมือ

ในการศึกษาการเมือง เชํน รัฐที่ดีผู๎ปกครองที่ดีควรมีคุณลักษณะอยํางไร

6. Geographical Approach หมายถึง Approach ที่ใช๎ Concept ทางด๎านภูมิศาสตร๑และที่ตั้ง

ประเทศเป็นเครื่องมือในการศึกษา ประเทศท่ีตั้งอยูํในสภาพภูมิศาสตร๑ที่แตกตํางกันทําให๎พฤติกรรมทางการ

เมืองของประชาชนแตกตํางกันไปด๎วย

Systems Approach

Systems Approach ได๎รับอิทธิพลมาจากสาขาวิชาด๎านวิทยาศาสตร๑ 2 สาขาคือ

Concept หลักของ Approach นี้อยูํที่คําวํา “ระบบ” หมายถึง ปฏิสัมพันธ๑ระหวํางองค๑ประกอบตําง

ๆ จํานวนหนึ่ง ถ๎าองค๑ประกอบแตํละสํวนตํางทําหน๎าที่ของตนอยํางดีจะสํงผลให๎ระบบเกิดการพัฒนา สามารถ

ดํารงอยูํอยํางมีเสถียรภาพได๎

Systems Approach ได๎รับอิทธิพลมาจากสาขาวิชาด๎านวิทยาศาสตร๑ 2 สาขาคือ

1. อิทธิพลจากวิชาฟิสิกส์ ได๎แกํ แนวคิดท่ีเชื่อวําทุกสังคมมีแนวโน๎มที่จะรักษาเสถียรภาพของตนเอง

เมื่อมีแรงผลักตํอระบบ ๆ นั้นก็จะมีปฏิกิริยาตอบโต๎เพื่อรักษาดุลยภาพของระบบให๎เหมือนเดิมตลอดเวลา

เหมือนตุ๏กตาล๎มลุก ที่เราผลักไปมันก็จะเอนกลับมาอยูํที่เดิม Systems Approach เชื่อวํา เมื่อระบบการเมือง

Page 16: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 16 ~

ใด ๆ ได๎รับผลกระทบจากแรงผลักตําง ๆ เชํน มีการเดินขบวนประท๎วง เกิดการจลาจลวุํนวาย รัฐบาลต๎องหา

แนวทางแก๎ไขเยียวยาโดยการขอคืนพ้ืนที่เพ่ือให๎สังคมเกิดความสงบสุขอีกครั้งหนึ่ง

2. อิทธิพลจากวิชาชีววิทยา แนวคิดของชีววิทยาที่มีอิทธิพลตํอ Systems Approach ได๎แกํแนวคิด

ที่วําสัตว๑โลกทุกประเภทมีความเหมือนกันประการหนึ่งคืออวัยวะทุกสํวนจะแสดงออกซ่ึงความรํวมมือตํางทํา

หน๎าที่ในสํวนของตนเพ่ือประโยชน๑ของสํวนรวมเป็นสําคัญ เชํน เมื่อท๎องหิวสายตาก็สอดสํายหาอาหาร มือคว๎า

เข๎าปาก เคี้ยวกลืนลงสูํกระเพาะ ระบบการเมืองใด ๆ ก็ไมํได๎แตกตํางจากไปจากระบบของสิ่งมีชีวิต ระบบของ

สิ่งมีชีวิต มีลักษณะสําคัญดังตํอไปนี้

1. เป็นระบบ “เปิด” มุํงรักษาสถานภาพเดิมโดยผํานกระบวนการแปรเปลี่ยนกับสิ่งแวดล๎อม ระบบ

เปิดคือระบบที่ไมํสามารถปิดก้ันตัวเองออกจากสภาพแวดล๎อมภายนอกได๎อยํางเด็ดขาด สภาพแวดล๎อมจะมี

อิทธิพลตํอระบบตลอดเวลา ระบบการเมืองก็เชํนเดียวกันไมํสามารถอยูํได๎อยํางโดดเดี่ยว หากมีการ

เปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองต๎องได๎รับผลกระทบ เชํน การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสํงผลตํอ

ระบบการเมือง การเปลี่ยนแปลงทางสังคมประชาชนรวมตัวกันเป็นกลุํม องค๑กร สหภาพก็สํงผลกระทบตํอ

การเมือง เมื่อกลุํมเรียกร๎องทางการเมืองสูงขึ้น

2. มีกลไกในการรักษาตนเอง (Self Regulating System) ให๎อยูํรอด เป็นกลไกอัตโนมัติ เชํน เมื่อมีสิ่ง

แปลกปลอมเข๎าตา หนังตาจะปิดอัตโนมัติ เพื่อป้องกันไมํให๎สิ่งแปลกปลอมเข๎ามาสูํดวงตาได๎ ถ๎าปิดไมํทันกลไก

อัตโนมัติจะทําให๎น้ําตาไหลเพื่อชะล๎างสิ่งแปลกปลอมที่เข๎ามาได๎แล๎วนั้นออกจากดวงตาไป หรือเมื่อมีสิ่ง

แปลกปลอมเข๎าทางจมูกกลไกอัตโนมัติจะทําให๎รํางกายจามเพ่ือขับสิ่งแปลกปลอมนั้นออกไป

ระบบการเมืองก็เชํนกันเมื่อมีปัญหาเกิดข้ึนในบ๎านเมือง เชํน มีผู๎กํอการร๎ายลอบนํา RPG ไปยิงใสํถัง

น้ํามันเปลํา ไมํมีรัฐบาลใดจะปลํอยให๎เศษขยะเข๎าตาโดยไมํทําอะไรเลย ต๎องสุมหัวกันโดยอัตโนมัติหาทาง

เยียวยาแก๎ไขปัญหา เพื่อเสถียรภาพของรัฐบาล

3. ระบบของสิ่งที่มีชีวิตสามารถศึกษาแยกแยะโครงสร๎างออกจากหน๎าที่ได๎ เชํน ศึกษารํางกายของ

มนุษย๑โดยแยกออกเป็นระบบยํอย เชํน ระบบสมอง ระบบประสาท ระบบหายใจ ฯลฯ แล๎วดูวําอวัยวะแตํละ

สํวนทําหน๎าที่อะไรบ๎าง เมื่อนําการทําหน๎าที่ของอวัยวะทั้งหมดมารวมกันก็จะได๎โครงสร๎างของมนุษย๑หนึ่งคน

เชํนเดียวกันเราสามารถศึกษาระบบการเมืองไทยได๎โดยแยกออกมาเป็นโครงสร๎าง (สถาบัน) ยํอย ๆ

ได๎แกํ สภาผู๎แทนราษฎร วุฒิสภา รัฐบาล พรรคการเมือง องค๑กรอิสระ กลุํมประชาชนที่รวมตัวกันทางการเมือง

ฯลฯ แล๎วพิจารณาวําแตํละสถาบันทางการเมืองเหลํานั้นทําหน๎าที่ใด เมื่อรวมเข๎าด๎วยกันจะเห็นภาพของระบบ

การเมืองไทย

4. ระบบของสิ่งที่มีชีวิตจะมีระบบยํอยที่เป็นอิสระ แตํต๎องพ่ึงพาอาศัยซึ่งกันและกันและทํางานเพื่อ

ความมั่นคงของระบบใหญํ เชํน ระบบรํางกายมนุษย๑มีโครงสร๎างซับซ๎อนมีระบบยํอยภายในมากมาย แตํละ

Page 17: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 17 ~

ระบบทําหน๎าที่ของตนเองอยํางเป็นอิสระ ปอดก็ทําหน๎าที่ฟอกโลหิต หัวใจทําหน๎าที่สูบฉีดโลหิต ทุกระบบยํอย

ตํางทําหน๎าที่ของตนไป ถ๎าระบบยํอยทุกระบบทําหน๎าที่ของตนได๎อยํางมีประสิทธิภาพรํางกายก็ยํอมแข็งแรง

เชํนเดียวกันในระบบการเมืองทุกระบบถ๎าสถาบันทางการเมืองอันเป็นระบบยํอยภายในทําหน๎าที่อยํางดีมี

ประสิทธิภาพ ระบบการเมืองจะไมํวุํนวายไมํขัดแย๎ง ไมํต๎องมาร๎องเพลงชาติหาความสามัคคีให๎วุํนวายกันเหมือน

ทุกวันนี้

5. ระบบของสิ่งที่มีชีวิตจะมีลําดับชั้น (Hierarchy) ซึ่งศึกษาได๎จากความซับซ๎อนของโครงสร๎าง มนุษย๑

เป็นสัตว๑ชั้นสูงมีโครงสร๎างรํางกายที่ซับซ๎อนประกอบไปด๎วยอวัยวะภายในมากมาย แพทย๑ที่เรียนแคํ 6 ปีเป็นได๎

แคํแพทย๑ทั่วไปเทํานั้นถ๎าอยากจะเชี่ยวชาญด๎านใดด๎านหนึ่งโดยเฉพาะก็ต๎องไปเรียนตํอให๎ลึกซึ้งลงไป แตํอะมีบา

โปรโตซัว ไส๎เดือนเป็นสัตว๑ชั้นต่ําโครงสร๎างรํางกายไมํซับซ๎อน

ระบบการเมืองไมํแตกตํางจากระบบสิ่งมีชีวิต ระบบการเมืองที่มีความซับซ๎อนสูงคือระบบการเมืองที่

ประกอบไปด๎วยองค๑กร สถาบัน กลุํมทางการเมืองเกิดขึ้นมากมาย ถือเป็นระบบการเมืองที่ทันสมัย สํวนระบบ

การเมืองที่มีความซับซ๎อนต่ําเรียกวําระบบการเมืองแบบดั้งเดิม เชํน ระบบการเมืองในสังคมชนเผํา ไมํมี

กระทรวงทบวงกรม ไมํมีสภา ไมํมีการเลือกตั้ง ไมํมีการรวมกลุํมทางการเมืองใด ๆ

ลักษณะทั่วไปของระบบ

1. ระบบของสิ่งมีชีวิตและระบบการเมืองมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เชํน กระทรวงทบวงกรมเดี๋ยว

เพ่ิมเดี๋ยวลดเดี๋ยวยุบรวม

2. ทุกระบบจะมีขอบเขตเส๎นแบํง (Boundary) ในระหวํางระบบกับสภาพแวดล๎อมภายนอก

ขณะเดียวกันอาจจะมีระบบยํอยภายในตัวของมันเอง บางระบบมีระบบยํอยมาก บางระบบมีระบบยํอยภายใน

น๎อย

3. มีปัจจัยนําเข๎า (Input) ปัจจัยสํงออก (Output) และสํวนที่ย๎อนกลับ (Feedback) ปรากฏอยูํ สาม

ตัวนี้เป็น Concept สําคัญของ System Approach

4. ทุกระบบมีความสัมพันธ๑เชื่อมโยงกับระบบอ่ืน ๆ ที่อยูํในสภาพแวดล๎อมตลอดเวลา ตํางฝายตํางมี

อิทธิพลซึ่งกันและกัน

5. ทุกระบบอาจจะมีความม่ันคงหรือไมํม่ันคงก็ได๎

6. ทุกระบบพยายามแสวงหาดุลภาพให๎เกิดข้ึนกับตนเองตลอดเวลาผํานกลไกอัตโนมัติเพ่ือรักษาความ

อยูํรอดของระบบ

7. ระบบใดท่ีไมํสามารถแก๎ไขปัญหาหรือตอบโต๎อิทธิพลของสิ่งแวดล๎อมได๎ก็จะนํามาสูํความลํมสลาย

และแปรสภาพไปสูํระบบใหมํได๎

Page 18: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 18 ~

8. ทุกระบบมีเครือขํายในการสื่อสารคอยสํงข๎อมูลป้อนกลับ (Feedback) เพ่ือนําไปสูํการแก๎ไข

ปรับปรุงตัวเองตลอดเวลา ให๎สามารถเยียวยาปัญหาที่เกิดข้ึนได๎อยํางมีประสิทธิภาพ

ตัวแบบแนวการวิเคราะห์ระบบของเดวิด อีสตัน (David Easton)

จากตัวแบบมี Concept สําคัญอยูํ 4 ตัวใช๎ในการศึกษาทําความเข๎าใจปรากฏการณ๑ทางการเมือง

ได๎แกํ

1. Political System

2. Input

3. Output

4. Feedback

1. ระบบการเมือง (Political System หรือ Black Box)

-เดวิด อีสตัน (David Easton) เจ๎าของทฤษฎีระบบอธิบายวํา ระบบการเมือง หมายถึง ระบบการใช๎

อํานาจในการแจกแจงแบํงสรรทรัพยากรของสังคมโดยผลที่ได๎จากการตัดสินใจของผู๎มีอํานาจจะบังคับใช๎กับ

สมาชิกทุกคนในสังคม

องค์ประกอบของระบบการเมือง ทุกระบบการเมืองมีองค๑ประกอบที่สําคัญดังตํอไปนี้

1.1 Political Community ความเป็นประชาคมในทางการเมือง หมายถึง ความรู๎สึกของคนใน

ระบบการเมืองนั้น ๆ ที่รู๎สึกวําตนเป็นสํวนหนึ่งของระบบการเมือง มีความจงรักภักดีในความเป็นหนํวย

การเมืองเดียวกัน ยินดีจะเข๎าไปมีสํวนรํวมสร๎างสรรค๑ภายในระบบการเมืองด๎วยความเต็มใจ เชํน ยินดีที่จะเสีย

ภาษี เชื่อฟังปฏิบัติตามกฎหมาย ถ๎าความรู๎สึกแบบนี้มีมากความมั่นคงในชาติจะมากตามไปด๎วย

1.2 Political Regime ระบอบการปกครอง หมายถึง รูปแบบหรือวิธีการในการบริหารบ๎านเมือง

อาจจะเป็นประชาธิปไตยระบบประธานาธิบดี ระบบรัฐสภา เผด็จการทหาร เผด็จการพลเรือน อํานาจนิยม แตํ

ทุกระบบการเมืองจะมีรูปแบบการปกครองอยํางใดอยํางหนึ่งปรากฏอยูํ

Inputs Political System Outputs

Feedback

Environmen

t

Page 19: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 19 ~

1.3. Political Authorities ผู้มีอ านาจทางการเมือง หมายถึง รัฐบาลผู๎ทําหน๎าที่บําบัดทุกข๑ บํารุง

สุข แจกแจงแบํงสรรสิ่งที่มีคุณคําในสังคม แก๎ปัญหาให๎กับประชาชน

2. Input หมายถึง ปัจจัยที่อยูํในรูปของข๎อมูลหรือขําวสารที่นําเข๎าสูํระบบการเมือง แบํงได๎ 2 รูปแบบ

ใหญํๆ คือ ข๎อเรียกร๎อง (Demand) และการสนับสนุน (Support)

2.1 Demand (ข้อเรียกร้อง) คือ ข๎อมูลขําวสารที่สํงเข๎าสูํระบบการเมือง โดยมีจุดมุํงหมายให๎ระบบ

การเมืองดําเนินการหรือไมํดําเนินการในเรื่องใด ๆ เชํน ในวันแรงงานแหํงชาติสมาพันธ๑ผู๎ใช๎แรงงานเรียกร๎องให๎

รัฐบาลขึ้นคําแรงขั้นต่ําอีก 20 บาท หรือชาวบ๎านอําเภอจะนะ เรียกร๎องไมํให๎สร๎างโรงแยกก๏าซในพ้ืนที่ตน

สาเหตุที่กํอให๎เกิด Demand

2.1.1 สาเหตุภายใน เชํน

-วัฒนธรรม ความคิด ความเชื่อของคนในสังคมแปรเปลี่ยนไป มีระดับของ Secularization

(ความเชื่อแบบมีเหตุมีผล) สูงขึ้น ประชาชนไมํเชื่ออีกตํอไปวําผู๎ปกครองคือตัวแทนที่สวรรค๑สํงมาปกครองเรา

เป็นผู๎มีบุญญาวาสนาที่ประชาชนต๎องเชื่อฟัง จริง ๆ แล๎วผู๎ปกครองก็คือคนธรรมดา ๆ เหมือนเรา ไมํใชํเทวดา

มาจากไหน เมื่อเราเลือกตัวแทนไปแล๎วเขาไมํทําตามสัญญาประชาชนก็มีสิทธิรวมตัวกันเรียกร๎องตํอตัวแทนได๎

ในสังคมแบบนี้ Demand จะเพ่ิมสูงขึ้น

-ระดับการพัฒนาอุตสาหกรรม (Industrialization) สูงขึ้น ในสังคมทันสมัยคนเข๎ามาอาศัยอยูํ

ในเมืองเพ่ือทํางานในโรงงานอุตสาหกรรมมีโอกาสรับสื่อมากขึ้น ทําให๎ความคิดความเชื่อของคนเปลี่ยนไปและมี

Demand ตํอระบบการเมืองมากขึ้น

2.1.2 สาเหตุภายนอก คือ อิทธิพลจากตํางประเทศ การสื่อสารที่ทันสมัยทําให๎ประชาชนมี

โอกาสเห็นภาพขําวจากตํางประเทศ ได๎เห็นความเจริญของบ๎านเมืองที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย เปิด

โอกาสให๎ประชาชนเข๎าไปมีสํวนรํวมกําหนดชะตาชีวิตตนเองได๎อยํางเสรีก็นํามาเปรียบเทียบกับบ๎านเมืองของ

ตน นําไปสูํการเกิด Demand เพ่ิมข้ึน

ปัจจัยที่ทําให๎ Demand สัมฤทธิผล

1. ลักษณะของกลุํม ทั้งในแงํของขนาด การจัดองค๑กร และทรัพยากรของกลุํม กลําวคือถ๎ากลุํมมีขนาด

ใหญํโอกาสที่ข๎อเรียกร๎องของกลุํมจะได๎รับการสนองตอบยํอมีมากกวําข๎อเรียกร๎องของกลุํมที่มีขนาดเล็ก

-กลุํมใดมีการจัดองค๑กรดี มีการแบํงงานกันทําและประสานสอดคล๎องกันได๎เป็นอยํางดีข๎อเรียกร๎อง

ยํอมได๎รับการตอบสนองได๎เร็วกวํา

-กลุํมท่ีมีเงินหนาหนุนอยูํข๎างหลังได๎รับการสนับสนุนจาก NGOs กลุํมนั้นกลุํมนี้ ข๎อเรียกร๎องยํอมมี

โอกาสที่จะได๎รับการสนองตอบจากรัฐบาลมากกวํากลุํมท่ีมีทรัพยากรน๎อย เพราะกลุํมที่ยากไร๎เรียกร๎องได๎ไมํ

Page 20: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 20 ~

นานก็ต๎องกลับไปเพราะขาดทรัพยากรในการชุมนุมเรียกร๎อง แตํกลุํมที่มีเงินหนาสามารถประท๎วงได๎นานนับ

เดือนทําให๎รัฐบาลต๎องลงมารับฟังปัญหา

-กลุํมใดที่ผู๎นํามีภาวะผู๎นําสูง พูดจูงใจคนเกํง สามารถทําให๎นักหนังสือพิมพ๑สนใจมาทําขําวตลอดเวลา

ความต๎องการของกลุํมนั้นยํอมมีโอกาสที่จะได๎รับการสนองตอบจากรัฐบาลมากกวํา

-เป้าหมายของกลุํม ถ๎าชัดเจนและเป็นไปในทิศทางเดียวกับนโยบายของรัฐบาลพอดีโอกาสในการได๎รับ

การตอบสนองก็จะมีสูง

2. นโยบาย ถ๎าสิ่งที่กลุํมเรียกร๎องตรงกับท่ีรัฐบาลได๎วางนโยบายเอาไว๎แล๎ว ยํอมได๎รับการสนองตอบ

อยํางรวดเร็ว

3. โครงสร๎างของรัฐบาล ถ๎าข๎อเรียกร๎องนั้นเป็นข๎อเรียกร๎องที่มีหนํวยงานของรัฐบาลรองรับโอกาสที่

จะรับการตอบสนองจะมีสูง

2.2 Support (การสนับสนุน ) หมายถึง ข๎อมูลหรือขําวสารที่เข๎าสูํระบบการเมือง โดยมีทิศทางท่ี

เป็นไปในแงํบวกหรือสนับสนุนตํอระบบการเมืองที่เป็นอยูํในขณะนั้น Demand เป็นตัวสร๎าง Political Stress

ให๎รัฐบาลต๎องหาทางเยียวยาแก๎ไข แตํ Support ทําให๎รัฐบาลยิ้มได๎ เชํน ประชาชนมาชูป้ายสนับสนุนหรือมอบ

ดอกไม๎ให๎นายกรัฐมนตรี หรือการที่ประชาชนยินดีปฏิบัติตามกฎหมายและเสียภาษีถือวําเป็นสํวนหนึ่งของ

Support

Demand มีทิศทางเดียวคือเรียกร๎องตํอรัฐบาลหรือผู๎มีอํานาจทางการเมือง (Political Authority) แตํ

Support มีถึง 3 ทิศทาง ได๎แกํ

2.2.1 การสนับสนุนต่อความเป็นประชาคมทางการเมือง (Political Community)

หมายความวํา คนในสังคมมีความรู๎สึกเป็นเอกภาพกลมเกลียวกันในชาติสูง มีความรู๎สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

เต็มใจเคารพกฎกติกา ประเทศชาตินั้นก็จะมีความมั่นคงในชาติสูง ในทางตรงกันข๎ามถ๎าคนไมํให๎การสนับสนุน

ไมํยอมรับวําตนเองเป็นสํวนหนึ่งของประเทศชาติ ไมํยอมรับในสัญลักษณ๑ของความเป็นชาติ สิ่งที่จะตามมาคือ

สงครามแบํงแยกดินแดน เชํน กระเหรี่ยง KNU ที่พยายามแบํงแยกดินแดนเพราะไมํเคยยอมรับวําตนเองเป็น

สํวนหนึ่งของชาติพมํา สําหรับสามจังหวัดชายแดนภาคใต๎ของไทยอาจมีคนบางกลุํมเป็นกลุํมเล็ก ๆ คิดถึงการ

แบํงแยกดินแดน แตํไมํมีใครออกมาประกาศอยํางชัดเจน มีแตํการกลําวอ๎างตํอ ๆ กันมา

2.2.2 การสนับสนับสนุนต่อระบบการปกครอง (Political Regime) ถ๎าประชาชนยอมรับในระบอบการปกครองที่ใช๎อยูํระบอบการปกครองนั้นก็จะมีเสถียรภาพ แตํถ๎าประชาชนไมํให๎การสนับสนุนระบอบการปกครองก็จะล๎มล๎างระบอบนั้นนําระบอบใหมํมาแทนที่เรียกวําปฏิวัติ

2.2.3 การสนับสนุนต่อผู้มีอ านาจทางการเมือง (Political Authorities) หรือรัฐบาล ถ๎าประชาชน

ให๎การสนับสนุนรัฐบาล ๆ ก็จะมีเสถียรภาพ แตํถ๎าประชาชนไมํเอาด๎วยไมํให๎การสนับสนุนรัฐบาลอีกตํอไป สิ่งที่

จะเกิดขึ้นตามมาก็คือการรัฐประหารเพ่ือล๎มรัฐบาล เหตุการณ๑นี้มักเกิดข้ึนบํอยครั้งในประเทศกําลังพัฒนา

Page 21: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 21 ~

เรียนมาถึงตรงนี้นักศึกษาคงถึงบางอ๎อแล๎ววําปฏิวัติกับรัฐประหารนั้นไมํใชํเรื่องเดียวกัน อยําเรียกม่ัว ๆ อีก

ตํอไปอาจารย๑ขอร๎อง สื่อมวลชนมักเรียกผิดอยูํเสมอ แม๎แตํพวกทํารัฐประหารเองยังเรียกตัวเองวําคณะปฏิวัติ

เลย เมืองไทยมีปฏิวัติครั้งเดียวคือ 24 มิถุนายน 2475

3. Output หมายถึง ผลของการตัดสินใจของผู๎มีอํานาจหน๎าที่ทางการเมือง (รัฐบาล) ซึ่งเก่ียวข๎องกับ

การแจกแจงแบํงสรรสิ่งที่มีคุณคําของสังคม สร๎างความกินดีอยูํดีให๎กับประชาชน อาจออกมาในรูป มติ ครม.

กฎหมาย กฎกระทรวง ซึ่งผลจากการตัดสินใจจะมีผลผูกพันกับสมาชิกทุกคนของระบบการเมือง เชํน กรรมกร

เรียกร๎องให๎รัฐบาลเพิ่มคําแรงขั้นต่ํา อีก 20 บาท ครม.ตัดสินใจเป็นมติ ครม.ออกมาให๎เพ่ิมคําแรงขั้นต่ําอีก 5

บาท โดยเชื่อวํา 5 บาทนี้จะทําให๎กรรมกรพอใจ

4. Feedback หมายถึง กระบวนการในการสํงขําวสารเกี่ยวกับสภาพและผลที่ตามมาของการ

ตัดสินใจและการดําเนินการด๎านตํางๆของระบบการเมืองกลับสูํผู๎มีอํานาจทางการเมืองอีกครั้งหนึ่ง Feedback

จะเป็นตัวประเมินให๎ทราบวําการตัดสินใจของรัฐบาลสามารถแก๎ไขเยียวยาปัญหาความต๎องการที่ประชาชน

เรียกร๎องได๎จริงหรือไมํ มากน๎อยเพียงใด ยังมีกลุํมใดที่ยังยอมรับไมํได๎ กลุํมใดที่ยังมีข๎อแม๎หรือข๎อเรียกร๎องอยูํ

สําหรับกลุํมที่ยังไมํยอมรับเป็นเพราะอะไร จําเป็นหรือไมํที่จะต๎องออกมาตรการเสริม เชํน ให๎รัฐเพ่ิมสวัสดิการ

ให๎แกํกรรมกร มีประกันสุขภาพ ประกันการวํางงาน เป็นต๎น

*************************************************************

คําศัพท๑รัฐศาสตร๑ 1.domination [N] ; การมีอํานาจเหนือกวํา ,การปกครอง 2.colonial [ADJ] ; เกี่ยวกับอาณานิคม 3.independent [ADJ] ; ซึ่งเป็นอิสระ Syn. autonomous; self-governing; free Ant. dependent Relate. ซึ่งปกครองตนเอง, ซึ่งไมํอยูํในบังคับ, ซึ่งไมํเป็นเมืองขึ้น, ซึ่งเป็นเอกราช independent [N] ; คนที่พ่ึงตนเอง Ant. dependent Relate. ผู๎เป็นอิสระ, ผู๎เป็นเอกราช, ผู๎ไมํอยูํใต๎บังคับบัญชาของใคร independence [N] ; ความเป็นอิสระ Ant. dependence Relate. อิสรภาพ

Page 22: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 22 ~

4. participation [N] ; การมีสํวนรํวม Syn. cooperation; sharing Relate. การเข๎ารํวม, การรํวมมือ 5. familiar [ADJ] ; คุ๎นเคย Syn. customary; well-known Ant. strange; unfamiliar Relate. เคยชิน, ซึ่งเป็นที่รู๎จัก familiar [N] ; เพ่ือนสนิท Syn. comrade; friend; intimate Ant. enemy; foe Relate. คนคุ๎นเคย, คนสนิทสนม 6. democratic [ADJ] ; เกี่ยวกับประชาธิปไตย Syn. egilitarian Relate. เกียวกับความเสมอภาค 7. democracy [N] ; การปกครองแบบประชาธิปไตย Syn. republic commonwealth Relate. ระบอบประชาธิปไตย, ประเทศท่ีปกครองด๎วยระบอบประชาธปไตย democracy [N] ; ประชาธิปไตย Syn. citizentry egalitarianism Relate. ความเป็นประชาธิปไตย 8. youthful [ADJ] ; หนุํม,สาว,อํอนอายุ,เยาว๑,อายุน๎อย,ดรุณ , S. youthfulness n. , S. young,juvenile 9. progressive [ADJ] ; ที่ดําเนินตํอเนื่องไป (ทางไวยากรณ๑) Syn. continuous progressive [ADJ] ; ที่เคลื่อนที่ไปข๎างหน๎า

Page 23: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 23 ~

Syn. moving Ant. immovable progressive [ADJ] ; ที่ก๎าวหน๎าขึ้น Syn. successive; growing Ant. retrogressive Relate. ที่พัฒนาขึ้น 10. appreciate [VT] ; สํานึกบุญคุณ Syn. thank; welcome; be appreciative Relate. เห็นคุณคํา, สํานึกคุณคํา appreciate [VT] ; ยกยํอง Syn. value; esteem; cherish Ant. despise; disdain Relate. ชื่นชม appreciate [VI] ; (ราคา) ขึ้น appreciate [VT] ; ขึ้นราคา atmosphere [N] ; อากาศ Syn. air 11. atmosphere [N] ; ชั้นบรรยากาศ Syn. layer of air; gaseous envelope atmosphere [N] ; บรรยากาศที่นําสนใจของสถานที่ atmosphere [N] ; ภูมิอากาศ Syn. climate Relate. สภาวะอากาศ atmosphere [N] ; อารมณ๑หรือการให๎สีของงานศิลป์

Page 24: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 24 ~

monarchy [N] ; ประเทศท่ีมีพระมหากษัตริย๑เป็นประมุข 12. monarchy [N] ; การปกครองโดยมีพระมหากษัตริย๑เป็นประมุข Syn. kingship; sovereignty Relate. ราชาธิปไตย, ระบอบกษัตริย๑ 13. revolution [N] ; การหมุนหนึ่งรอบ Syn. circle; rotation 14. revolution [N] ; วัฏจักร Syn. cycle revolution [N] ; การเปลี่ยนแปลงอยํางสิ้นเชิง Syn. innovation; transformation revolution [N] ; การปฏิวัติ Syn. mutiny; rebellion; revolt regime [N] ; ระบอบการปกครอง Syn. management; system 15. southeast asia [N] ; ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต๎ 16. desire [VT] ; ปรารถนา Syn. demand; ask for; require Ant. hate; dislike; loathe Relate. อยาก, ต๎องการ, ประสงค๑ desire [N] ; ความปรารถนา Syn. will; wish; dun; hope Ant. distaste; dislike Relate. ความอยาก, ความประสงค๑, ความต๎องการ 16. demonstrate [VT] ; อธิบาย Syn. explain; describe; express Relate. ให๎เหตุผล

Page 25: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 25 ~

demonstrate [VI] ; ประท๎วง Syn. protest demonstrate [VT] ; พิสูจน๑ Syn. show; prove; confirm Relate. ทดลองให๎เห็น demonstrate [VT] ; สาธิต Syn. show; prove; exibit Relate. แสดง, แสดงให๎เห็น 17. promote [VT] ; ชํวยเหลือให๎ดีขึ้น Syn. push; boost; nourish; nurture Ant. discourage; weaken Relate. สํงเสริม, โฆษณา promote [VT] ; เลื่อนตําแหนํง Syn. advance; raise Ant. humble; demote 18. equality [N] ; ความเทําเทียม Syn. balance; parity; uniformity Relate. ความเสมอภาค 19. parliamentary democracy การปกครองแบบประชาธิปไตย(1) รัฐสภา การปกครองแบบประชาธิปไตยรัฐสภา 20. duplicate [N] ; สําเนา Syn. copy; replica; photocopy Ant. original Relate. สิ่งที่เหมือนกัน

Page 26: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 26 ~

duplicate [VT] ; เพ่ิมเป็น 2 เทํา Syn. redouble; repeat; reproduce; double Ant. halve Relate. ทําเป็น 2 เทํา duplicate [ADJ] ; เหมือนกัน Syn. identical; like; same Ant. different; opposed duplicate [VT] ; จําลอง Syn. reproduce; copy counterfeit 21. president [N] ; ประธาน Syn. director; chairman; VIP Ant. laborer Relate. อธิการบดี, ผู๎มีอํานาจในการบริหาร, บุคคลสําคัญขององค๑กร president [N] ; ประธานาธิบดี Relate. ทําซ้ํา, ถํายสํา 22. exception [N] ; คนที่ได๎รับการยกเว๎น Relate. คนที่ถูกยกเว๎น exception [N] ; ข๎อยกเว๎น Syn. irregularity Relate. การยกเว๎น region [N] ; ภูมิภาค Syn. country; district Relate. แคว๎น region [N] ; ขอบเขต Syn. area; land

Page 27: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 27 ~

Relate. แถบ, บริเวณ 23. political [ADJ] ; เกี่ยวกับพรรคการเมือง political [ADJ] ; เกี่ยวกับรัฐบาล Relate. เกี่ยวกับรัฐ political [ADJ] ; เกี่ยวกับการปกครอง Syn. legislative Relate. เกี่ยวกับการเมือง political [ADJ] ; เกี่ยวกับพลเมือ 24.firmly [ADV] ; อยํางหนักแนํน Relate. อยํางมั่นคง, อยํางเหนียวแนํน sultanate [N] ; อํานาจหรืออาณาจักรของสุลตําน 25.abundance [N] ; ความอุดมสมบูรณ๑ Syn. bounty; profusion Relate. ความอุดม, ความสมบูรณ๑, ความมากมาย 26. resource [N] ; ทรัพยากร Syn. reserved supply resource [N] ; แหลํงที่มา Syn. means; device Relate. วิธีการ resource [N] ; ปฏิภาน Syn. ability; cleverness; initiative Relate. ไหวพริบ 27.peaceful [ADJ] ; ซึ่งยอมตาม

Page 28: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 28 ~

Relate. ซึ่งโอนอํอน, ซึ่งผํอนตาม peaceful [ADJ] ; สงบ Syn. calm; even; impassive Ant. disturbed Relate. ซึ่งมีระเบียบ, เงียบสงบ 28.absolute monarchy [N] ; ราชาธิปไตยแบบสมบูรณาญาสิทธิราช (not limited by laws) 29.population [N] ; ประชากร Syn. inhabitants; dwellers; citizenry; group Relate. พลเมือง, ราษฎร population [N] ; กลุํมพืชและสัตว๑ที่อาศัยอยูํในบริเวณหนึ่ง 30. facility [N] ; สิ่งอํานวยความสะดวก facility [N] ; คุณสมบัติพิเศษของเครื่องจักรหรือการบริการตํางๆ Syn. extra feature 31. ivelihood [N] ; ความเป็นอยูํ Syn. sustenance; subsistence Relate. การดํารงชีวิต, การครองชีพ 32. gain [N] ; จํานวนที่เพ่ิมข้ึน Syn. increase; enlargement Ant. decrease; reduction Relate. ปริมาณที่ขยายออก gain [VT] ; ได๎รับ Syn. earn; obtain; procure; receive Ant. lose Relate. สําเร็จ, บรรลุ, ได๎กําไร, ได๎ประโยชน๑, เอาชนะจนได๎บางสิ่งมา

Page 29: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 29 ~

gain [VT] ; เพ่ิม Syn. increase; enlarge; expand Ant. decrease; lessen Relate. ทําให๎มากข้ึน gain [N] ; ผลประโยชน๑ Syn. benefit; advantage; profit Relate. ผลกําไร gain [VT] ; ไปถึง Syn. reach Relate. มาถึง 33. instability [N] ; ความไมํม่ันคง Relate. ความไมํแนํนอน, การไมํมีเสถียรภาพ, ความลังเลใจ 34. struggle [N] ; การตํอสู๎ Syn. battle; combat; fight Relate. การแขํงขัน struggle [N] ; ความพยายาม Syn. effort; exertion; strain Relate. การฝ่าฟัน, การดิ้นรน struggle [VI] ; ตํอสู๎ Syn. battle; combat; fight Relate. แขํงขัน struggle [VI] ; ดิ้นรน Syn. exert; strain; strive Relate. พยายาม 35. insurgence [N] ; การจลาจล Syn. rebellion; revolt

Page 30: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 30 ~

Ant. obedience; compliance Relate. การกํอจลาจล, การประท๎วง 36. led เป็นผู๎นํา(1) เป็นผู๎นํา 37. minority [N] ; ความเป็นผู๎เยาว๑ (ทางกฎหมาย) Syn. childhood; immaturity minority [N] ; คนกลุํมน๎อย Syn. small quantity Ant. majority Relate. ชนกลุํมน๎อย, เสียงข๎างน๎อย, สํวนน๎อย 38. caretaker [ADJ] ; ที่เข๎ามาดูแลชั่วคราว caretaker [N] ; ผู๎ที่รับจ๎างดูแล Syn. keeper; custodian 39. barrack [VT] ; จัดทหารเข๎าคํายพัก barrack [N] ; คํายทหาร Syn. billet Relate. โรงทหาร 40. attempt [N] ; ความพยายาม Syn. try; endeavor Relate. ความมานะ, ความอุตสาหะ attempt [VT] ; พยายาม Syn. try; endeavor Relate. หาทาง, ขวนขวาย

Page 31: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 31 ~

41. election [N] ; การเลือก Relate. การคัดสรร 42. risk [N] ; ภัยอันตราย Syn. danger; hazard; insecurity Relate. อันตราย, การเสี่ยงภัย risk [N] ; การเสี่ยง Syn. chance; gamble risk [VT] ; เสี่ยงทํา Syn. gamble; venture Relate. เสี่ยง, ลอง risk [VT] ; เสี่ยงภัย Syn. endanger; hazard Relate. เสี่ยงอันตราย 43. coup d'etat [N] ; การรัฐประหาร Syn. putsch; takeover Relate. การชิงอํานาจ, การปฏิวัต ิ 44. dictatorial [ADJ] ; เกี่ยวกับเผด็จการ Syn. tyrannical; autocratic Ant. democratic Relate. ซึ่งใช๎อํานาจสั่งให๎คนอ่ืนทําตามใจตัวเองโดยไมํมีเหตุผล , เกี่ยวกับการกดขี่ขํมเหง 45. state peace ความสงบเรียบร๎อย(1) สภาพ ความสงบเรียบร๎อยสภาพ peace [N] ; ความสงบเรียบร๎อย Syn. concord; conformity; harmony Ant. discord; conflict Relate. สันติภาพ, ความสงบ, สันติ

Page 32: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 32 ~

peace [N] ; สนธิสัญญาสันติภาพ 46. council [N] ; สภา Relate. สภาท๎องถิ่น, สภาเทศบาล council [N] ; การประชุมเพ่ือปรึกษาหารือ council [N] ; คณะกรรมการ Syn. committee 47. maintain [VT] ; รักษา Syn. sustain; keep up; preserve Relate. ดูแลตํอไป, คงอยูํ, ดํารง, คงเอาไว๎, ทรงไว๎, รักษาไว๎ 48. opposition [N] ; ฝ่ายค๎าน Ant. Government Relate. พรรคฝ่ายค๎าน opposition [N] ; การคัดค๎าน Syn. resistance; obstruction Ant. compliance; agreement Relate. การตํอต๎าน, การเป็นปรปักษ๑, การเป็นศัตรู opposition [N] ; ผู๎ตํอต๎าน Syn. antagonist; opponent Ant. ally; friend Relate. ผู๎คัดค๎าน, คูํตํอสู๎ opposition [N] ; ฝ่ายค๎าน Ant. Government Relate. พรรคฝ่ายค๎าน 49. democratic movement กระบวนการ(1) ประชาธิปไตย

Page 33: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 33 ~

กระบวนการประชาธิปไตย 50. national league สหพันธ๑(1) ประชาชน สหพันธ๑ประชาชน 51. ethnic [ADJ] ; เกี่ยวกับชาติพันธุ๑ Relate. เกี่ยวกับเชื้อชาติ, เกี่ยวกับเผําพันธุ๑ 52. maltreatment [N] ; การทารุณ Syn. injustice; injury; abuse; violation Relate. การกระทําผิด, การประทุษร๎าย, การปฏิบัติไมํดี 53. the american presidential democracy การปกครองแบบประชาธิปไตย(1) ประธานาธิบดีอเมริกา การปกครองแบบประชาธิปไตยประธานาธิบดีอเมริกา 54. implement [VT] ; ทําให๎มีผล Syn. achieve; carry out; execute; fulfill Relate. ทําให๎บรรลุผล, ทําให๎สําเร็จ, ทําให๎เกิดประโยชน๑ implement [VT] ; จัดเตรียมเครื่องมือหรือวิธีการไว๎ให๎ implement [N] ; อุปกรณ๑เครื่องใช๎ Syn. instrument; tool Relate. เครื่องมือ 55. apparent [ADJ] ; ชัดเจน Syn. obvious; evident Relate. เดํนชัด apparent [ADJ] ; ซึ่งเห็นได๎ Syn. visible

Page 34: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 34 ~

56. competition [N] ; การแขํงขัน Syn. rivalry; contest; contention 57. civilian [N] ; พลเรือน,นักศึกษากฎหมายแพํง 58. politician [N] ; ผู๎แสวงตําแหนํงอํานาจเพื่อประโยชน๑สํวนตน politician [N] ; ผู๎ดํารงตําแหนํงหน๎าที่ทางการเมือง politician [N] ; นักการเมือง Syn. party man; partisan; demagogue; congressman Relate. ผู๎เลํนการเมือง 59. tumultuously [ADV] ; อยํางอึกทึกครึกโครม 60. declare [VT] ; ประกาศ Syn. adjudge; announce; proclaim; pronounce Relate. กําหนด, แถลง, แจ๎ง declare [VI] ; ออกคําสั่ง Syn. adjudge; announce; proclaim; pronounce Relate. กําหนด, ประกาศ, แถลงการณ๑, แจ๎ง declare [VT] ; สําแดง Syn. make a declaration Relate. แสดงรายการตามข๎อกําหนด เชํน ภาษี, สินค๎า declare [VT] ; ยืนยัน Syn. affirm; express; give evidence of; reveal; show; state firmly Relate. รับรอง, แสดงหลักฐาน declare [VT] ; เปิดเผย Syn. break; bring out; disclose; discover; divulge; expose; give away; impart; let on; reveal; show

Page 35: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 35 ~

Ant. close; cover Relate. เผย (ความลับ), เปิดโป 61. martial law [N] ; กฎอัยการศึก 62. dictatorial [ADJ] ; เกี่ยวกับเผด็จการ Syn. tyrannical; autocratic Ant. democratic Relate. ซึ่งใช๎อํานาจสั่งให๎คนอ่ืนทําตามใจตัวเองโดยไมํมีเหตุผล , เกี่ยวกับการกดขี่ขํมเหง 63. against [PREP] ; ฝืน Relate. ฝ่าฝืน, ขัด, ตรงกันข๎ามกับ against [PREP] ; ปกป้องจาก against [PREP] ; ปะทะกับ Relate. กระทบกับ against [PREP] ; เปรียบเทียบกับ against [PREP] ; เพ่ือใช๎คืนให๎กับ against [PREP] ; ตํอต๎าน Syn. opposite to Relate. สู๎กับ against [PREP] ; ทาบ Relate. พิง, พาด, แนบ against [PREP] ; ต๎าน Relate. ทวน, ทวนน้ํา against [PREP] ; เกี่ยวข๎องกับเหตุการณ๑

Page 36: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 36 ~

against [PREP] ; ดูขัดแย๎งกับ Relate. ดูขัดกับ against [PREP] ; เป็นข๎อเสียของ 64. dutch troop ชาวเนเธอร๑แลนด๑(1) เดินขบวน(2) ชาวเนเธอร๑แลนด๑เดินขบวน 65. vigorously [ADV] ; อยํางคลํองแคลํว Syn. alertly; energetically; eagerly; nimbly Ant. calmly; aimlessly; slowly Relate. อยํางกระฉับกระเฉง, อยํางมีพลัง 66. wage [VT] ; เข๎ารํวม (ตํอสู๎) wage [N] ; คําจ๎าง Syn. emolument; pay; salary; wages Relate. คําแรง 67. drag [N] ; การดึง Syn. heave; tug; yank; pull Ant. push; shove; prod Relate. การลาก drag [N] ; การอัดควันบุหรี่เข๎าปอด Syn. inhalation; druff Ant. exhalation drag [N] ; คนนําเบื่อ (คําไมํเป็นทางการ) drag [VT] ; ลาก Syn. heave; tug; yank; pull Ant. push; shove; prod

Page 37: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 37 ~

Relate. ดึง, ขุด, สาว, ชัก drag [VI] ; พํนควัน Syn. smoke; suck 68. harsh [ADJ] ; แสบ (แก๎วหู) harsh [ADJ] ; หยาบ Relate. สาก, แข็ง harsh [ADJ] ; กระด๎าง Syn. aurtere; severe; stern Ant. easygoing; lenient; pleasant Relate. รุนแรง, ห๎าว, เกรี้ยวกราด, แข็งกร๎าว harsh [ADJ] ; ที่ไมํสามารถทนได๎ (ตํอสภาพอากาศหรือสภาพความเป็นอยูํ) 69. eradication [N] ; การทําลาย,การถอนรากถอนโคน,การกําจัด 70. establish [VT] ; แสดงให๎เห็น Syn. prove; verify Relate. พิสูจน๑ establish [VT] ; สร๎าง Syn. found; institute; set up Relate. สถาปนา, กํอตั้ง, จัดตั้ง 71. defeasance [N] ; การยกเลิก Relate. การทําให๎เป็นโมฆะ, การเพิกเฉย 72. defense [N] ; กองทัพบก Relate. กองทัพ

Page 38: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 38 ~

defense [N] ; ฝ่ายรับ (ทางกีฬา) Relate. ฝ่ายตั้งรับ defense [N] ; ทนายฝ่ายจําเลย defense [N] ; สิ่งคุ๎มกัน Syn. barricade; shield Relate. วิธีป้องกัน, เครื่องก้ันขวาง, ดําน, ปราการ defense [N] ; การค๎ุมครอง Syn. protection; safequard; offense; security Relate. การปกป้อง, การค๎ุมกัน, การอารักขา . defense [N] ; คําให๎การ Syn. argument; excuse; justification Relate. คําแก๎ตัว, คําอ๎างเหตุผล, คําแก๎ตําง, การแสดงหลักฐาน, หลักฐาน, การเป็นพยาน defense [N] ; กองทัพบก Relate. กองทัพ 73. merely [ADV] ; เพียงเทํานั้น Syn. only; exclusively Relate. เพียงแตํ, เทํานั้น, อยํางงํายๆ defense [N] ; ฝ่ายรับ (ทางกีฬา) Relate. ฝ่ายตั้งรับ defense [N] ; ทนายฝ่ายจําเลย defense [N] ; สิ่งคุ๎มกัน Syn. barricade; shield Relate. วิธีป้องกัน, เครื่องก้ันขวาง, ดําน, ปราการ defense [N] ; การค๎ุมครอง Syn. protection; safequard; offense; security Relate. การปกป้อง, การค๎ุมกัน, การอารักขา

Page 39: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 39 ~

defense [N] ; คําให๎การ Syn. argument; excuse; justification Relate. คําแก๎ตัว, คําอ๎างเหตุผล, คําแก๎ตําง, การแสดงหลักฐาน, หลักฐาน, การเป็นพยาน 74. dictatorship [N] ; ระบบเผด็จการ Syn. despotism; autarchy Relate. การปกครองแบบเผด็จการ dictatorship [N] ; รัฐบาลที่ปกครองแบบเผด็จการ 75. uprising [N] ; การปฏิวัติ Syn. revolt; rebellion 76. reintroduce [VT] ; แนะนําอีก 77. maladroit [ADJ] ; ไมํชํานาญ Syn. clumsy; inept; awkward Ant. adroit Relate. ไมํคลํองตัว, อ๎ุยอ๎าย, งุํมงําม 78. impeachment [N] ; การกลําวโทษเจ๎าหน๎าที่รัฐวําทําผิดศีลธรรมหรือจรรยาบรรณ Relate. การฟ้องร๎อง 79. compromise [VT] ; ประนีประนอม compromise [N] ; การประนีประนอม Syn. give-and-take; accommodation compromise [VI] ; ประนีประนอม 80. violence [N] ; การใช๎กําลังทําลาย Syn. force; savagery Relate. การทําลาย

Page 40: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 40 ~

violence [N] ; ความรุนแรง Syn. rampage; tumult violence [N] ; ความดุเดือด (ใช๎กับอารมณ๑หรือคําพูด) Syn. Ferver 81.erupt [VI] ; ระเบิด Syn. burst out; explode Relate. ปะทุ erupt [VT] ; ทําให๎ระเบิด Syn. burst out; explode Relate. 82. suspension [N] ; การให๎พักงาน Relate. การพักตําแหนํง suspension [N] ; การลอยตัวของอนุภาคในของเหลว Syn. dispersion of particles suspension [N] ; การหยุดชําระหนี้ Relate. การงดชําระหนี้ suspension [N] ; การเลื่อนคําตัดสิน Syn. postponement; deferment Relate. การเลื่อนการพิจารณาคดี suspension [N] ; ระบบกันสะเทือนของรถ suspension [N] ; การหยุดชั่วคราว Syn. interruption; abeyance; break Relate. การระงับชั่วคราว, การยกเลิกชั่วคราว

Page 41: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 41 ~

83. enactment [N] ; กฎหมาย Syn. law; legislation; regulation Relate. พ.ร.บ., พระราชบัญญัติ, กฎหมาย, พระราชกฤษฎีกา, กฎกระทรวง enactment [N] ; การประกาศใช๎เป็นกฎหมาย Relate. การบัญญัติ, การออกกฎหมาย 84.infamous [ADJ] ; นําอับอาย Syn. shameful; notorious; disreputable; dishonourable Relate. นําขายหน๎า 85. authorisation [N] ; การประพันธ๑,การอนุญาตหรืออํานาจที่ได๎มอบหมาย (sanction, approval) 86. pervasive [ADJ] ; แพรํหลาย,ซึ่งแผํซําน,ซึ่งกระจายไปทั่ว 87. consider [VT] ; พิจารณา Syn. think; reconsider; study Relate. คิดอยํางละเอียด consider [VI] ; พิจารณา Relate. คิดอยํางละเอียด 88. realization [N] ; ความเข๎าใจหรือความตระหนัก Syn. understanding; recognition 89. improvement [N] ; การปรับปรุง Syn. amelioration; development Ant. decay; deterioration Relate. การแก๎ไข, การทําให๎ดีขึ้น 90. divergent [ADJ] ; ซึ่งแตกตํางกัน Syn. different Relate. ซึ่งไมํสอดคล๎องกัน

Page 42: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 42 ~

91. deprive [VT] ; ปลดตําแหนํง deprive [VT] ; ยึดทรัพย๑ Syn. bereave; strip Ant. supply Relate. ริบทรัพย๑, ตัดทอน, ยึด, ถอดถอน 92. meaningful [ADJ] ; ซึ่งมีความหมาย Syn. significant; great Ant. insignificant; unimportant Relate. สําคัญ 93. abdicate [VT, V] ; ละเลยหน๎าที่ Syn. abandon; surrender abdicate [VI] ; สละราชสมบัติ Syn. renounce; relinguish Relate. สละราชบัลลังก๑, สละอํานาจ, ถอนตัว(จากอํานาจ, ตําแหนํง, สิทธิ์) abdicate [VT] ; ทําให๎สละราชสมบัติ Relate. ทําให๎สละราชบัลลังก๑, ทําให๎สละอํานาจ, ทําให๎ถอนตัว(จากอํานาจ, ตําแหนํง, สิทธิ์) 94. former monarch พระมหากษัตริย๑กํอน พระมหากษัตริย๑กํอ 95. arena [N] ; สนามกีฬา Syn. field; ground; coliseum Relate. สังเวียน, เวท ี arena [N] ; สถานที่เกิดเหตุ Relate. สถานการณ๑, ชํวงเวลาที่เกิดเหตุ 96. dictator [N] ; ผู๎เผด็จการ

Page 43: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 43 ~

Syn. authoritarian; despot; totalitarian Relate. ผู๎กดขี่ 97. leftist [ADJ] ; นิยมฝ่ายซ๎าย leftist [N] ; สมาชิกของพรรคการเมืองฝ่ายซ๎าย Syn. collectivist; left-winger Relate. พวกนิยมฝ่ายซ๎าย 98. leftward [ADJ,ADV] ; ไปทางซ๎าย,ทางด๎านซ๎าย 99. impose [VT] ; กําหนด Syn. enforce; inflict; levy Relate. เรียกเก็บ (ภาษ)ี, บังคับให๎มี, กําหนดโทษให๎ 100. military dictatorship ระบบเผด็จการ(1) ทหาร ระบบเผด็จการทหาร 101. brutal [ADJ] ; โหดร๎าย Syn. cruel Ant. kindly Relate. รุนแรง 102. invasion [N] ; การบุกรุก Syn. intrusion; encroachment Relate. การรุกล้ํา, การลํวงล้ํา invasion [N] ; การรุกราน Syn. attack; assult; inroad Ant. defense; protection Relate. การโจมตี 103. civil war [N] ; สงครามกลางเมือง

Page 44: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 44 ~

104. great power [N] ; มหาอํานาจ 105. apathetic [ADJ] ; ที่ไมํกระตือรือร๎น Syn. impassive Relate. เฉื่อยชา, ไมํแยแส 106. culminate [VT] ; ทําให๎ถึงจุดสูงสุด Syn. cap; climax culminate [VI] ; ถึงจุดสูงสุด 107. prosecution [N] ; การดําเนินให๎ลุลํวง prosecution [N] ; การฟ้องร๎อง Syn. pursuit; pursuance Relate. การดําเนินคดีตามกฎหมาย 108. intermittently [ADV] ; อยํางไมํตํอเนื่อง Syn. irregularly; spasmodically; sporadically Ant. regularly Relate. พลอมแพลม contest [VT] ; ท๎าทาย 109. Syn. challenge contest [N] ; การดิ้นรน contest [VT] ; เข๎ารํวมการประกวด Relate. เข๎ารํวมการแขํงขัน contest [N] ; การแขํงขัน Syn. competition; trial; match Relate. การประกวด

Page 45: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 45 ~

110. tend [VI] ; โน๎มเอียง Syn. conduce; direct; point; lead Relate. โน๎มน๎าว tend [VI] ; คอยรับใช๎ Syn. guard; attend tend [VT] ; เลี้ยง (สัตว๑) Syn. care 111. prospective [ADJ] ; ที่คาดหวังไว๎ Syn. hoped for; promised; planned Relate. ซึ่งหวังไว๎ 112. conciliate [VT] ; ทําให๎เป็นมิตร Syn. pacify; make friendly succumb [VI] ; ตาย Syn. cease; die; expire 113. succumb [VI] ; จํานน Syn. accede; submit; surrender; yield Relate. พํายแพ๎, ยอมจํานน prolong [VT] ; ทําให๎ขยายหรือยาวขึ้น Syn. extend; prolongate 114. prolong [VT] ; ยืดเวลา Syn. extend; prolongate 115. rival [N] ; คูํแขํง Syn. competitior; contestant Relate. คูํตํอสู๎, คูํปรับ rival [VT] ; แขํงขัน

Page 46: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 46 ~

Syn. compete rival [VT] ; มีความสามารถทัดเทียมกัน Syn. equal; match rival [N] ; ผู๎ที่มีความสามารถทัดเทียมกัน Relate. สิ่งที่พอจะทัดเทียมกันได๎ rival [VI] ; แขํงขัน Syn. compete rival [ADJ] ; ที่เป็นคูํแขํงกัน Syn. competing; opposing Relate. ที่เป็นคูํแขํงขัน 116. neutralist [N] ; ผู๎เป็นกลาง Syn. isolationist Relate. ผู๎ไมํฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง 117. rightist [N] ; ผู๎ถือลัทธิอนุรักษ๑นิยม Syn. conservative; right-winger rightist [ADJ] ; ซึ่งยึดถือลัทธิอนุรักษ๑นิยม Syn. right-wing nterference [N] ; สิ่งรบกวน Syn. hindrance; impediment; obstruction Relate. เหตุขัดข๎อง, อุปสรรค 118. interference [N] ; การเข๎าแทรกแซง Syn. intervention; meddlesomeness Relate. การเข๎าไปยุํงเรื่องคนอื่น 119. aspiration [N] ; การสูดลมหายใจเข๎า

Page 47: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 47 ~

aspiration [N] ; ความทะเยอทะยาน Syn. eagerness; yearning; ambition Relate. ความมักใหญํใฝ่สูง, ความมุํงมาดปรารถนา, ความทะยานอยาก aspiration [N] ; การออกเสียงพร๎อมกับปลํอยลมหายใจออก 120. field marshal [N] ; ตําแหนํงทหารสูงสุดของกองทัพอังกฤษ (สัญลักษณ๑ยํอคือ FM) 121. civilian politician นักการเมือง(1) พลเรือน(2) นักการเมืองพลเรือน 122. vanish [VI] ; หายไป Syn. disappear; fade away; pass away Ant. appear Relate. อันตรธาน, ล๎มหายตายจากไป, สูญหาย 123. unauspicious [ADJ] ; ซึ่งโชคร๎าย Syn. unpropitious; unfavorable Ant. hopeful; propitious 124. violence [N] ; การใช๎กําลังทําลาย Syn. force; savagery Relate. การทําลาย violence [N] ; ความรุนแรง Syn. rampage; tumult violence [N] ; ความดุเดือด (ใช๎กับอารมณ๑หรือคําพูด) Syn. ferver 125. usher [VI] ; ทําหน๎าที่เป็นผู๎นําทาง Syn. escort

Page 48: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 48 ~

usher [N] ; พนักงานที่นําไปยังที่นั่ง Syn. escort usher [VT] ; นําทาง Syn. guide; escort 126. constitutional [ADJ] ; ที่เป็นสํวนพื้นฐาน Syn. basic; essential Relate. ที่เป็นสํวนกําเนิด constitutional [ADJ] ; ที่เป็นสํวนหนึ่งที่จําเป็น Syn. component 127. concurrent [ADJ] ; ที่เกิดขึ้นพร๎อมกัน Syn. simultaneous; coexisting concurrent [ADJ] ; ที่ไปยังจุดเดียวกัน concurrent [ADJ] ; ที่เห็นพ๎องต๎องกัน Syn. agreeing; harmonious concurrent [ADJ] ; ที่กระทํารํวมกัน Syn. cooperating; mutual 128. implement [VT] ; ทําให๎มีผล Syn. achieve; carry out; execute; fulfill Relate. ทําให๎บรรลุผล, ทําให๎สําเร็จ, ทําให๎เกิดประโยชน๑ implement [VT] ; จัดเตรียมเครื่องมือหรือวิธีการไว๎ให๎ implement [N] ; อุปกรณ๑เครื่องใช๎ Syn. instrument; tool Relate. เครื่องมือ

Page 49: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 49 ~

129. intervene [VI] ; เกิดข้ึน Syn. happen; occur intervene [VI] ; สอดแทรก Syn. mediate; interfere Ant. ignore Relate. แทรก, ยื่นมือเข๎ามายุํง, เข๎าขวาง 130. territory [N] ; แนวความคิด territory [N] ; อาณาเขต Syn. area; region Relate. เขต, เขตแดน territory [N] ; ดินแดน Relate. พ้ืนที่ 131. referendum [N] ; ประชามติ Syn. plebiscite; vote Relate. มติม 132. autonomy [N] ; การปกครองตนเอง Syn. self government Relate. เอกราช 133. auspice [N] ; ฤกษ๑ดี Syn. favorable omen Relate. มงคล, ศุภมงคล 134. assembly [N] ; สัญญาณรวมพล assembly [N] ; การประกอบ Syn. construction; piecing together Relate. การทํา, การสร๎าง

Page 50: สรุป Ps 701 แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์

~ 50 ~

assembly [N] ; กลุํมคน Relate. คนที่รวมตัวกัน assembly [N] ; การรวมกลุํม Syn. assemblage; meeting; association Relate. การชุมนุม, การประชุม assembly [N] ; ชิ้นสํวน Relate. สํวนประกอบ