Upload
others
View
7
Download
0
Embed Size (px)
Citation preview
1-1
หน่วยที่1ประวัติความเป็นมาและวิวัฒนาการของ
กฎหมายอาญาและอาชญาวิทยา
รองศาสตราจารย์ภาณินีกิจพ่อค้า
รองศาสตราจารย์ณัฐฐ์วัฒน์สุทธิโยธิน
1-2
แผนผังแนวคิดหน่วยที่1
ประวัติความ
เป็นมาและ
วิวัฒนาการของ
กฎหมายอาญา
และอาชญาวิทยา
1.1ประวัติความเป็นมา
และวิวัฒนาการของ
กฎหมายอาญา
1.2ประวัติความเป็นมา
และวิวัฒนาการของ
อาชญาวิทยา
1.1.1วิวัฒนาการของกฎหมายโดยทั่วไป
1.1.2ความสำคญัของวชิาประวติัศาสตร์กฎหมาย
และความเป็นมาของวิชาประวัติศาสตร์
กฎหมายไทย
1.1.3กำเนิดกฎหมายอาญา
1.2.1ความหมายและลักษณะของอาชญาวิทยา
1.2.2กำเนิดอาชญาวิทยา
1.2.3การศึกษาอาชญาวิทยา
1-3
หน่วยที่1
ประวัติความเป็นมาและวิวัฒนาการของ
กฎหมายอาญาและอาชญาวิทยา
เค้าโครงเนื้อหาตอนที่1.1 ประวัติความเป็นมาและวิวัฒนาการของกฎหมายอาญา
1.1.1วิวัฒนาการของกฎหมายโดยทั่วไป
1.1.2 ความสำคัญของวิชาประวัติศาสตร์กฎหมายและความเป็นมาของวิชาประวัติศาสตร์
กฎหมายไทย
1.1.3กำเนิดกฎหมายอาญา
ตอนที่1.2 ประวัติความเป็นมาและวิวัฒนาการของอาชญาวิทยา
1.2.1ความหมายและลักษณะของอาชญาวิทยา
1.2.2กำเนิดอาชญาวิทยา
1.2.3การศึกษาอาชญาวิทยา
แนวคิด1.วิวัฒนาการของกฎหมายในสามรูปแบบหรือทฤษฎีกฎหมายสามชั้น แบ่งออกเป็น
ยุคกฎหมายชาวบ้าน (Volksrecht) ยุคหลักกฎหมายหรือยุคกฎหมายของนักกฎหมาย
(Juristenrecht)และยุคกฎหมายเทคนิค(Technicallaw)การศึกษาวิชาประวัติศาสตร์
กฎหมายทำให้ผู้ศึกษาเข้าใจ(1)หลักกฎหมายและ(2)วิวัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของ
มนุษยชาติ
2.อาชญาวิทยาเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับอาชญากรรมสาเหตุแห่งอาชญากรรมพฤติกรรม
การกระทำผิดพฤติกรรมอาชญากรการลงโทษผู้กระทำผิด การแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิด
และการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม
1-4
วัตถุประสงค์เมื่อศึกษาหน่วยที่1จบแล้วนักศึกษาสามารถ
1.อธิบายและวิเคราะห์ประวัติความเป็นมาและวิวัฒนาการของกฎหมายอาญาได้
2.อธิบายและวิเคราะห์ประวัติความเป็นมาและวิวัฒนาการของอาชญาวิทยาได้
กิจกรรม1.กิจกรรมการเรียน
1)ศึกษาแผนผังแนวคิดหน่วยที่1
2)อ่านแผนการสอนประจำหน่วยที่1
3)ทำแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียนหน่วยที่1
4)ศึกษาเนื้อหาสาระจาก
- แนวการศึกษาหน่วยที่1
- หนังสือประกอบการสอนชุดวิชา
5)ปฏิบัติกิจกรรมในแต่ละเรื่อง
6)ตรวจสอบคำตอบของกิจกรรมแต่ละกิจกรรมจากแนวตอบ
7)ทำแบบประเมินผลตนเองหลังเรียนหน่วยที่1
2.งานที่กำหนดให้ทำ
1)ทำแบบฝึกหัดทุกข้อที่กำหนดให้ทำ
2)อ่านเอกสารเพิ่มเติมจากบรรณานุกรม
แหล่งวิทยาการ1.สื่อการศึกษา
1)แนวการศึกษาหน่วยที่1
2)เอกสารประกอบการศึกษาค้นคว้า
(1)จุฑารัตน์ เอื้ออำนวย (2551) สังคมวิทยาอาชญากรรม กรุงเทพมหานครสำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
(2)ปุระชยัเปีย่มสมบรูณ์อาชญาวทิยา:สหวทิยาการวา่ดว้ยปญัหาอาชญากรรมกรุงเทพมหานครโรงเรียนนายร้อยตำรวจ
(3)อภิรัตน์เพ็ชรศิริ(2552)ทฤษฎีอาญากรุงเทพมหานครสำนักพิมพ์วิญญูชน(4)ชายเสวิกุล(2517)อาชญาวิทยาและทัณฑวิทยากรุงเทพมหานครโรงพิมพ์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
1-5
(5)ประเสริฐเมฆมณี(2523)หลักทัณฑวิทยากรุงเทพมหานครบพิธการพิมพ์
(6)ปุระชัยเปี่ยมสมบูรณ์(2545)การควบคุมอาชญากรรมจากสภาพแวดล้อม:
หลักทฤษฎีและมาตรการกรุงเทพมหานครสำนักพิมพ์บรรณกิจ
(7) เสรินปุณณะหิตานนท์ (2527)การกระทำผิดในสังคมสังคมวิทยาอาชญา-
กรรมและพฤติกรรมเบี่ยงเบน กรุงเทพมหานคร สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัย
ธรรมศาสตร์
(8)Beccaria, Cesare. (1764). On Crimes and Punishments,with
notesand introductionbyDavidYoung (Indianapolis, IN:Hackett,
1985) inT.bbetts, StephenG. andHemmens, StephenG. and
Hemmens,Craig,(2010).CriminologicalTheory.LosAngeles:Sage
Publications,Inc.
(9)Carrabine, Eamonn., Cox, Pam., Lee,Maggy, Plummer, Ken.,
South,Nigel. (2009). Criminology:A Sociological Introduction.
NewYork:Routledge.
(10)Lilly, Robert J.Cullen, FrancisT. andBall, RichardA. (2007).
Criminology Theory: Context andConsequences. Thousand
Oaks:SagePublications.
(12)McLaughlin,Eugene.Muncie,John.andHughes,Gordon.(2003).
CriminologicalPerspectivesEssentialReading.SecondEdition
London:SagePublications.
(13) Morrison,Wayne. (2006).Criminology,Civilisation&TheNew
WordOrder.Oxon:RoutledgeCavendish.
(14)Tibbetts,StephenG.andHemmens,Craig.(2010).Criminological
Theory.LosAngeles:SagePublications,Inc.
(15)EncyclopediaBritannicaCesare_Beccaria.
2.หนังสือตามที่อ้างไว้ในบรรณานุกรม
การประเมินผลการเรียน1.ประเมินผลจากการสัมมนาเสริมและงานที่กำหนดให้ทำในแผนกิจกรรม
2.ประเมินผลจากการสอบไล่ประจำภาคการศึกษา
1-6
แบบประเมินผลตนเองก่อนเรียน
วัตถุประสงค์ เพื่อประเมินความรู้เดิมของนักศึกษาเกี่ยวกับเรื่อง “ประวัติ ความเป็นมา และวิวัฒนาการ
ของกฎหมายอาญาและอาชญาวิทยา”
คำแนะนำ อ่านคำถามแล้วเขียนคำตอบลงในช่องว่างนักศึกษามีเวลาทำแบบประเมินชุดนี้30นาที
1. จงอธิบายทฤษฎีกฎหมายสามชั้น
2. จงอธิบายความมุ่งหมายของกฎหมายอาญา
3. จงอธิบายลักษณะเฉพาะของวิชาอาชญาวิทยา
4. จงอธิบายแนวคิดของซีซาร์เบ็คคาร์เรียในส่วนที่เกี่ยวกับกำเนิดอาชญาวิทยา
1-7
ตอนที่1.1
ประวัติความเป็นมาและวิวัฒนาการของกฎหมายอาญา
โปรดอ่านแผนการสอนประจำตอนที่1.1แล้วจึงศึกษาสาระสังเขปพร้อมปฏิบัติกิจกรรมในแต่ละเรื่อง
หัวเรื่องเรื่องที่1.1.1วิวัฒนาการของกฎหมายโดยทั่วไป
เรื่องที่1.1.2ความสำคัญของวิชาประวัติศาสตร์กฎหมายและความเป็นมาของวิชาประวัติ-
ศาสตร์กฎหมายไทย
เรื่องที่1.1.3กำเนิดกฎหมายอาญา
แนวคิด1. วิวัฒนาการของกฎหมายในสามรูปแบบหรือทฤษฎีกฎหมายสามชั้น แบ่งออกเป็น
ยุคกฎหมายชาวบ้าน (Volksrecht) ยุคหลักกฎหมายหรือยุคกฎหมายของนักกฎหมาย
(Juristenrecht)และยุคกฎหมายเทคนิค(Technicallaw)
2. การศึกษาวิชาประวัติศาสตร์กฎหมายทำให้เข้าใจ(1)หลักกฎหมายและ(2)วิวัฒนาการ
ทางประวัติศาสตร์ของมนุษยชาตินอกจากการศึกษาประวัติศาสตร์หลักกฎหมาย
3. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯให้มีการชำระและร่างประมวล
กฎหมายขึ้น โดยนำระบบกฎหมายซีวิลลอว์ตามแบบประเทศในภาคพื้นยุโรปมาเป็น
แนวในการปฏิรูประบบกฎหมายของไทยเหตุผลของการจัดทำประมวลกฎหมายเพื่อให้
บรรลุวัตถุประสงค์อย่างน้อย3ประการคือ(1)เพื่อรวบรวมบทบัญญัติของกฎหมายว่า
ด้วยลักษณะเดียวกัน(2)บทบัญญัติทางกฎหมายหลายฉบับโบราณเกินไปไม่สอดคล้อง
กับแนวความคิดสมัยใหม่ที่กำลังมีอิทธิพลมากขึ้นๆ ในประเทศสยาม และ (3) การจัด
ทำประมวลกฎหมายจะเป็นโอกาสให้ได้ตรวจชำระบทกฎหมายที่มีอยู่รวมทั้งนำเอาหลัก
กฎหมายใหม่ๆที่ยังไม่เคยมีอยู่ในกฎหมายสยามมาบัญญัติรวมไว้ด้วย
วัตถุประสงค์เมื่อศึกษาตอนที่1.1จบแล้วนักศึกษาสามารถ
1. อธิบายวิวัฒนาการของกฎหมายโดยทั่วไปได้
2. อธบิายความสำคญัของวชิาประวตัศิาสตร์กฎหมายและความเปน็มาของวชิาประวตัศิาสตร์
กฎหมายไทยได้
3. อธิบายกำเนิดกฎหมายอาญาได้
1-8
เรื่องที่1.1.1วิวัฒนาการของกฎหมายโดยทั่วไป
สาระสังเขปการทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิวัฒนาการของกฎหมายเป็นเรื่องสำคัญที่จะเสริมความเข้าใจถึงการ
เกิดขึ้นของกฎหมายซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมอย่างหนึ่ง
การอุบัติขึ้นของกฎเกณฑ์ในสังคมมีภาษิตละตินบทหนึ่งกล่าวว่า“ที่ไหนมีสังคมที่นั่นมีกฎหมาย”(UbiSocietas,lbiJus)ซึ่งแสดง
ให้เห็นว่ากฎหมายกับสังคมมีความเกี่ยวพันซึ่งกันและกัน กล่าวคือ เมื่อมนุษย์มาอยู่รวมกันเป็นหมู่คณะ
ก็จะต้องมีกฎเกณฑ์ที่ถือปฏิบัติเพื่อให้สังคมนั้นอยู่ได้โดยปกติสุขนักวิชาการได้มีกฎเกณฑ์ที่ว่านั้นเกิดขึ้น
ได้อย่างไร ในประเด็นนี้ได้มีข้อโต้แย้งทางวิชาการว่า กฎเกณฑ์ต่างๆนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร มีแนวคิดเป็น
2แนว1แนวหนึ่งคิดว่ากฎเกณฑ์ความประพฤติของมนุษย์เกิดจากมนุษย์หรือพระผู้เป็นเจ้าจงใจกำหนดขึ้น
ส่วนอีกแนวหนึ่งเห็นว่ากฎเกณฑ์ก่อตัวขึ้นเองในสังคมนุษย์แล้วค่อยๆคลี่คลายวิวัฒนาการเรื่อยๆโดยมิได้
เริ่มต้นหรือเกิดขึ้นด้วยความจงใจของมนุษย์คนใดคนหนึ่ง
อย่างไรก็ตามจากการศึกษาค้นคว้าทางวิชาการในเรื่องดังกล่าวโดยอาศัยการศึกษาพฤติกรรมของ
สัตว์(Ethology)และจากการศึกษาโดยอาศัยความรู้ทางมานุษยวิทยา(Anthropology)ก็พบว่ากฎเกณฑ์
ในสังคมมนุษย์ที่ถือปฏิบัติกันอยู่ โดยเฉพาะในสังคมดั้งเดิมนั้นเกิดขึ้นมาโดยมิได้มีใครจงใจสร้างขึ้น แต่
เป็นสิ่งที่เจริญพัฒนาขึ้นโดยมิได้อาศัยอำนาจบงการ หรือเจตจำนงจงใจของผู้ใด เป็นกฎเกณฑ์ที่เกิดขึ้น
เอง(SpontaneousOrder)ในชุมชนนั้นและเมื่อได้ถือปฏิบัติกันต่อมาเป็นเวลานานก็จะปรากฏตัวเป็นรูป
เป็นร่างชัดเจนขึ้นได้รับการยอมรับโดยทั่วไปในชุมชนว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง(OpinioJuris)และจำเป็นจะต้อง
ปฏิบัติเช่นนั้น(Opinionecessitates)2
วิวัฒนาการของกฎหมายในสามรูปแบบหรือทฤษฎีกฎหมายสามชั้นการอธิบายเรื่องวิวัฒนาการของกฎหมายให้มองเห็นภาพรวมอย่างเป็นระบบนั้น คือ การอธิบาย
ความเป็นมาของกฎหมายในสามรูปแบบหรือที่เรียกว่า“ทฤษฎีกฎหมายสามชั้น”ของศาสตราจารย์ดร.ปรีดี
เกษมทรัพย์ซึ่งอธิบายวิวัฒนาการของกฎหมายโดยแบ่งเป็นยุคดังนี้3
1ดูปรีดี เกษมทรัพย์นิติปรัชญา โครงการตำราและเอกสารประกอบการสอนคณะนิติศาสตร์พิมพ์ครั้งที่ 3พ.ศ.2539
หน้า2702เพิ่งอ้างหน้า2723 ดู ปรีดี เกษมทรัพย์ เอกสารประกอบการศึกษาวิชาสังคมกับกฎหมายคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ.
2531หน้า12-20และแสวงบุญเฉลิมวิภาสทฤษฎีกฎหมายสามชั้นมองในแง่กฎหมายอาญารวมบทความในโอกาสครบรอบ60ปี
ดร.ปรีดีเกษมทรัพย์กรุงเทพมหานครพี.เค.พริ้นติ้งเฮ้าส์พ.ศ.2531หน้า140-144
1-9
ยุคกฎหมายชาวบ้าน(Volksrecht)กฎหมายในยุคนี้เป็นกฎเกณฑ์ความประพฤติที่ปรากฏออกมา
ในรูปของขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นประเพณีง่ายๆ ที่รู้กันโดยทั่วไปเพราะเป็นกฎเกณฑ์ที่ตกทอดกันมา
แต่โบราณที่เรียกว่า“Thegoodoldlaw”กฎเกณฑ์ที่ว่านี้เกิดขึ้นมาจากเหตุผลธรรมดาของสามัญชนหรือ
สามัญสำนึกที่เรียกกันเป็นภาษาอังกฤษว่า“Simplenaturalreason”เป็นความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่เกิดจาก
การประพฤติปฏิบัติติดต่อกันมาเป็นเวลานานอาจกล่าวได้ว่าในยุคนี้กฎหมายกับศีลธรรมยังไม่ได้แยกจาก
กันโดยชัดแจ้งการกระทำผิดกฎหมายในยุคโบราณย่อมเป็นการฝ่าฝืนศีลธรรมด้วยกฎหมายในยุคนี้จึงเป็น
เรื่องที่ประชาชนสามารถรู้ได้ด้วยสามัญสำนึกของตนเองว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูกเพราะศีลธรรมและกฎหมายยัง
มิได้ถูกแยกจากกันโดยชัดแจ้ง
ยุคหลักกฎหมายหรือยุคกฎหมายของนักกฎหมาย (Juristenrecht) เป็นยุคที่กฎหมายเจริญขึ้น
ต่อจากยุคแรกโดยมีการใช้เหตุผลชั่งตรองเพื่อชี้ขาดข้อพิพาทเป็นเหตุผลปรุงแต่งทางกฎหมาย(Artificial
Juristicreason)ที่ปรุงแต่งขึ้นจากหลักดั้งเดิมในยุคแรกทำให้เกิดหลักกฎหมายขึ้นจากการชี้ขาดข้อพิพาท
ในคดีเป็นเรื่องๆติดต่อกันวิชานิติศาสตร์จึงได้ก่อตัวค่อยๆเจริญเติบโตขึ้นเป็นผลทำให้เกิดองค์กรตุลาการ
และวิชาชีพนักกฎหมายขึ้นหลักกฎหมายที่เกิดขึ้นจึงเรียกว่ากฎหมายของนักกฎหมายเพราะนักกฎหมาย
เป็นผู้มีวินิจฉัยปรุงแต่งขึ้นให้เหมาะสมกับข้อเท็จจริงในแต่ละเรื่องแต่ละคดีหลักกฎหมายจึงเป็นสิ่งที่ต้อง
ศึกษาเล่าเรียนจึงจะรู้ได้ ไม่เหมือนกฎหมายประเพณีซึ่งเกิดจากเหตุผลธรรมดาสามัญที่ใช้สามัญสำนึกค้น
คิดก็สามารถจะรู้ได้ตัวอย่างเช่นเรื่องอายุความกฎหมายได้กำหนดระยะเวลาไว้ในแต่ละเรื่องทั้งในคดีแพ่ง
และคดีอาญาถ้าผู้ที่ได้รับความเสียหายมิได้ฟ้องร้องภายในเวลาที่กำหนดไว้จะถือว่าคดีนั้นขาดอายุความที่
อีกฝ่ายยกเรื่องอายุความขึ้นต่อสู้ได้ เรื่องอายุความจึงเป็นหลักที่นักกฎหมายพัฒนาขึ้นมาเพื่อความจำเป็น
ในด้านพยานหลักฐาน เป็นการกำหนดให้ฟ้องในเวลาที่ยังสามารถรวมพยานหลักฐานมาดำเนินคดีได้ หลัก
ดังกล่าวจึงต่างกับสามัญสำนึกของคนทั่วไปที่เห็นว่าเมื่อเป็นหนี้ก็ต้องชำระจนกว่าจะหมดหนี้หมดสินหรือ
เมื่อคนทำผิดก็จะต้องถูกลงโทษจึงจะเกิดความยุติธรรมขึ้นได้ โดยไม่ได้คำนึงถึงเงื่อนไขในเรื่องระยะเวลา
อายุความเช่นนี้เป็นกฎหมายของนักกฎหมายที่นักกฎหมายพัฒนาขึ้นมาอีกตัวอย่างหนึ่งคือเรื่องการครอบ
ครองปรปักษ์ตามที่บัญญัติหลักเกณฑ์ไว้ในป.พ.พ.มาตรา 13824 ก็เป็นการกำหนดขึ้นมาโดยเหตุผลทาง
กฎหมายเพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับการโอนกรรมสิทธิ์อีกทั้งเป็นการรับรองกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ที่ได้ครอบครอง
ทรัพย์อยู่เป็นเวลานานพอสมควรทั้งยังเป็นการบังคับให้เจ้าของทรัพย์ต้องดูแลและติดตามเรียกคืนทรัพย์
ของตนภายในระยะเวลาอันสมควรถ้านอนหลับทับสิทธิไม่ดูแลก็ควรจะหมดสิทธิเหล่านี้เป็นต้น
4 ป.พ.พ.มาตรา 1382บัญญัติว่า “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนา
เป็นเจ้าของถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปี
ไซร้ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์”
1-10
ตัวย่างในกฎหมายอาญาที่เห็นได้ชัดก็เช่นเรื่องการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย5 หรือการกระทำ
ผิดด้วยความจำเป็น6 ถือได้ว่าเป็นหลักเกณฑ์ที่นักกฎหมายได้พัฒนาขึ้นโดยปรุงแต่งจากเหตุผลธรรมดาที่
ถือว่าในกรณีที่เกิดภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมายขึ้นกับบุคคลใดและภยันตรายนั้นใกล้จะถึง บุคคลนั้น
สามารถที่จะกระทำการเพื่อป้องกันได้ถ้าหากได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุ เพราะถ้าเกิดภยันตรายที่ใกล้
จะถึงขึ้นแล้ว การจะรอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ของรัฐคงจะไม่ทันการแต่การจะอ้างป้องกันได้เมื่อใด
ก็ไม่ใช่อาศัยเหตุผลแบบสามัญสำนึกเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ซึ่งนักกฎหมายได้ใช้
เหตุผลปรุงแต่งขึ้น ส่วนกรณีของการกระทำผิดด้วยความจำเป็นก็เช่นเดียวกัน ผู้กระทำจะยกเป็นข้ออ้าง
เพื่อยกเว้นโทษได้ก็ต่อเมื่อผู้กระทำได้กระทำไปภายในหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้เช่นกันคือผู้กระทำ
ผิดได้กระทำไปเนื่องจากอยู่ในที่บังคับหรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้หรือเพื่อให้ตนเองหรือ
ผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงหากผู้กระทำได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุย่อมเป็นการกระทำโดยจำเป็น
ที่ถือเป็นเหตุยกเว้นโทษได้
จะเห็นได้ว่าการกำหนดหลักเกณฑ์ในเรื่องป้องกันและจำเป็นดังกล่าว แม้จะอยู่บนพื้นฐานของ
สามัญสำนึกก็จริงแต่ก็ต้องใช้เหตุผลที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อนแบบนักกฎหมาย(Juristicreason)มาปรุง
แต่งเพิ่มเติม เพราะลำพังแต่ความคิดความรู้สึกที่เกิดจากสามัญสำนึกเพียงอย่างเดียวจะไม่สามารถอธิบาย
รายละเอียดในแต่ละกรณีได้ ข้อน่าสังเกตอีกประการหนึ่งก็คือ นักกฎหมายได้พยายามแยกให้เห็นความ
แตกต่างระหว่างการกระทำเพื่อป้องกันและการกระทำผิดความจำเป็น โดยถือว่าการกระทำเพื่อป้องกันนั้น
เป็นเรื่องที่ทำได้โดยชอบด้วยกฎหมายทีเดียว เพราะเป็นการกระทำต่อผู้ที่ก่อภยันตรายโดยมิชอบนั้นส่วน
การกระทำผิดด้วยความจำเป็นนั้น ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เพราะเป็นการกระทำต่อผู้บริสุทธิ์
(Innocentperson)ที่ไม่มีความผิดใดๆทั้งสิ้นกฎหมายจึงถือว่าเป็นเพียงเหตุยกเว้นโทษ(Excuse)เท่านั้น
และที่ยกเว้นโทษก็ด้วยเหตุผลที่ถือว่าผู้กระทำไม่มีความชั่ว(Schuld)กล่าวคือในสถานการณ์เช่นนั้นไม่อาจ
เรียกร้องให้ผู้กระทำกระทำอย่างอื่นได้
ยุคกฎหมายเทคนิค (Technical law)กฎหมายในยุคนี้เกิดจากการบัญญัติกฎหมายขึ้นเพื่อแก้
ปัญหาเฉพาะเจาะจงในบางเรื่อง ทั้งนี้เนื่องจากสังคมสลับซับซ้อน ข้อขัดแย้งในสังคมมีมากขึ้นและเป็น
ข้อขัดแย้งที่ต่างจากปัญหาในอดีตการจะรอให้ประเพณีค่อยๆพัฒนาตัวเองขึ้นมาย่อมไม่ทันกับเหตุการณ์
เฉพาะหน้าที่เกิดข้ึนโดยปัจจุบันทันด่วน จึงต้องมีการบัญญัติกฎหมายข้ึนเป็นพิเศษด้วยเหตุผลทางเทคนิค
(Technicalreason)กฎหมายเทคนคิจงึมไิด้เกดิจากศลีธรรมขนบธรรมเนยีมประเพณีโดยตรงแต่เปน็เหตผุล
5ป.อาญามาตรา68บัญญัติว่า“ผู้ใดจำเป็นต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิด
จากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ การกระทำนั้นเป็นการป้องกัน
โดยชอบด้วยกฎหมายผู้นั้นไม่มีความผิด”6ป.อาญามาตรา67บัญญัติว่า“ผู้ใดกระทำความผิดด้วยความจำเป็น
(1)เพราะอยู่ในที่บังคับหรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้หรือ
(2)เพราะเพือ่ให้ตนเองหรอืผู้อืน่พน้จากภยนัตรายที่ใกล้จะถงึและไม่สามารถหลกีเลีย่งให้พน้โดยวธิีอืน่ใดได้เมือ่ภยนัตราย
นั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน
ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุผลแล้วผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ”
1-11
ทางเทคนิคสำหรับเรื่องนั้นๆตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนในกฎหมายอาญาก็เช่นกฎหมายเกี่ยวกับการจราจร
ที่กำหนดให้ขับรถทางซ้ายของถนนกฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร หรือกฎหมายกำหนดให้ไปจดทะเบียนใน
บางเรื่อง จะเห็นได้ว่ากฎหมายเหล่านี้ ความถูกผิดเกิดจากกฎเกณฑ์ที่ตั้งขึ้นมามิใช่เกิดจากเหตุผลทางศีล
ธรรมโดยตรงเมื่อเหตุผลของการบัญญัติกฎหมายมิใช่เหตุผลทางศีลธรรมโดยตรงผู้ที่ทำผิดจึงไม่เกิดความ
รู้สึกว่าตัวกำลังกระทำความผิด เพราะการกระทำนั้นมิได้เป็นการกระทำที่ผิดต่อศีลธรรม เพราะฉะนั้นการ
ลงโทษตามกฎหมายเทคนิคจึงต้องกำหนดโทษให้รุนแรง และที่สำคัญมากก็คือ การบังคับใช้กฎหมายและ
การลงโทษต้องเป็นไปในลักษณะที่แน่นอนถ้าลำพังการกำหนดโทษให้รุนแรงแต่การบังคับใช้กฎหมายเป็น
ไปโดยขาดความสม่ำเสมอคนที่ทำผิดกฎหมายจะยังคงมีอยู่เพราะเขาคิดว่าโอกาสถูกจับมีน้อย
จากทฤษฎีวิวัฒนาการของกฎหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่าในระยะแรกเริ่มกฎหมายเป็นปรากฏการณ์
ทางสังคมที่ก่อตัวขึ้นเองและค่อยๆคลี่คลายวิวัฒนาการมาเป็นลำดับเมื่อเป็นดังนี้การศึกษาประวัติศาสตร์
กฎหมายจึงไม่ควรจำกัดอยู่เฉพาะกฎหมายลายลักษณ์อักษร แต่จะต้องสำรวจถึงความรู้สึกนึกคิดและ
ขนบธรรมเนียมประเพณีที่เกี่ยวกับกฎหมายในแต่ละเรื่อง จึงจะสามารถนำมาปรับใช้ได้อย่างถูกต้อง และ
เกิดความเข้าใจในหลักกฎหมายนั้นๆอย่างแท้จริง
(โปรดอา่นเนือ้หาสาระโดยละเอยีดในปรดีีเกษมทรพัย์(2531)นติปิรชัญาเอกสารประกอบการศกึษา
วิชาสังคมกับกฎหมาย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และแสวง บุญเฉลิมวิภาส (2531)
ทฤษฎกีฎหมายสามชัน้มองในแงก่ฎหมายอาญารวมบทความในโอกาสครบรอบ60ปีดร.ปรดีีเกษมทรพัย์
กรุงเทพมหานครพี.เค.พริ้นติ้งเฮ้าส์)
กิจกรรม1.1.1
ให้นักศึกษาอธิบายถึง“ทฤษฎีกฎหมายสามชั้น”
บันทึกคำตอบกิจกรรม1.1.1
(โปรดตรวจคำตอบจากแนวตอบในแนวการศึกษาหน่วยที่1ตอนที่1.1กิจกรรม1.1.1)
1-12
เรื่องที่1.1.2ความสำคัญของวิชาประวัติศาสตร์กฎหมายและ
ความเป็นมาของวิชาประวัติศาสตร์กฎหมายไทย
สาระสังเขป
1.ความสำคัญของการศึกษาวิชาประวัติศาสตร์กฎหมายจากการศึกษาเรื่องวิวัฒนาการของกฎหมายทำให้เราทราบว่ากฎเกณฑ์ความประพฤติหรือกฎหมาย
ในระยะเริ่มแรกนั้นเป็นสิ่งที่เจริญพัฒนาขึ้นตามลำดับโดยมิได้อาศัยอำนาจบงการหรือเจตนาของบุคคลใด
บุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ กฎหมายจึงเป็นระบบที่เกิดขึ้นจากวิวัฒนาการในเรื่องนั้นๆ ด้วยเหตุนี้ การศึกษา
กฎหมายที่มีผลบังคับอยู่ในปัจจุบันหรือที่เรียกว่ากฎหมายบ้านเมือง(Positivelaw)นั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่ง
ที่จะต้องศึกษาถึงภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ในอดีต โดยเพ่งเล็งถึงต้นตอของความรู้สึกนึกคิดที่ก่อให้เกิด
ขนบธรรมเนียมทางกฎหมายในแต่ละเรื่องนอกจากนี้หากได้ศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายในลักษณะที่เป็น
สากล(Universalhistoryoflaw)ก็จะทำให้มองเห็นวิวัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติในเรื่อง
ต่างๆด้วยการศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายจึงย่อมก่อให้เกิดประโยชน์ที่สำคัญใน2ประการคือ
1.1ทำให้เข้าใจ “หลักกฎหมาย” (Legal Dogmatics)ที่อยู่เบื้องหลังของตัวบท การเข้าใจ
หลักกฎหมายที่อยู่เบื้องหลังของตัวบท จะช่วยให้การตีความและการใช้กฎหมายเป็นไปโดยถูกต้องวิชา
ประวตัศิาสตร์กฎหมายจงึมีความสำคญัตอ่วชิานติศิาสตร์โดยแท้เพราะการศกึษาประวตัศิาสตร์หลกักฎหมาย
(History of Leagal Dogmatics)7 จะทำให้มองเห็นว่าตัวบทกฎหมายปัจจุบันมีความเชื่อมโยงกับอดีต
อย่างไรทำให้เกิดความเข้าใจในการใช้ตัวบทกฎหมายนั้นๆ เพราะการนำตัวบทกฎหมายเรื่องใดมาใช้คงมิใช่
เฉพาะการเพ่งเล็งถ้อยคำที่ปรากฏในตัวบทเท่านั้น แต่การใช้กฎหมายที่ถูกต้องจะต้องพิจารณาถึงเหตุผล
(reason)หรือเจตนารมณ์(intentionsofspirit)แห่งบทบัญญัติควบคู่ไปด้วยในการนี้จะต้องอาศัยการอ่าน
ข้อความแวดล้อม(incontext)และอ่านข้อความทั้งหมด(thewholetext)เพื่อค้นหาเหตุผลของกฎหมาย
(Ratiolegis)หรือบางทีเรียกว่าเจตนารมณ์หรือวิญญาณของกฎหมาย(Spiritofthelaw)และในหลายๆ
กรณีการค้าหาเจตนารมณ์ของกฎหมายได้จะต้องพิจารณาถึงความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ของบทบัญญัติ
นั้นๆด้วยทั้งนี้เพราะกฎหมายมิใช่มาจากเจตจำนงของบุคคลในกระบวนการนิติบัญญัติเท่านั้นแต่หากเป็น
ผลจากวิวัฒนาการมาเป็นเวลานานในอดีตการใช้กฎหมายจึงจำเป็นต้องหยั่งทราบเหตุผลในแต่ละเรื่องเช่น
ถ้าเป็นกฎหมายเทคนิค (Technical Law) สิ่งที่ผู้ใช้และผู้ตีความกฎหมายจะต้องค้นหาก็คือ เจตนารมณ์
7 ปรีดี เกษมทรัพย์ นิติปรัชญา โครงการตำราและเอกสารประกอบการสอนคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
พิมพ์ครั้งที่3พ.ศ.2539หน้า43
1-13
หรือความมุ่งหมายของการบัญญัติกฎหมายในเรื่องนั้นๆสำหรับกฎหมายประเภทอื่นๆสิ่งที่จะต้องค้นหาก็
คือเหตุผลทางศีลธรรมเหตุผลของเรื่อง(Natureofthings)และเหตุผลของหลักกฎหมายในเรื่องนั้นๆ
1.2ทำให้เข้าใจวิวัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของมนุษยชาตินอกจากการศึกษาประวัติศาสตร์
หลักกฎหมายเฉพาะเรื่องเฉพาะแขนงแล้ว การศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายยังครอบคลุมถึงการศึกษา
ประวัติศาสตร์กฎหมายสากล(Universalhistoryoflaw)ด้วยการศึกษาลักษณะนี้มาจากความคิดที่เชื่อ
ว่ามนุษย์มีธรรมชาติเหมือนกันทั้งประวัติศาสตร์ของแต่ละชาติอาจจะมีภูมิหลังความเป็นมาที่ต่างกันแต่ก็มี
ส่วนที่ร่วมกันอยู่ลักษณะที่ร่วมกันหรือเหมือนกันนี้แหละที่จะนำมาใช้อธิบายประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติได้
เช่นคำสอนของSirHenryMaineที่เสนอความคิดว่าสังคมมีความโน้มเอียงที่จะพัฒนาจากสถานะไปสู่
สัญญา(FromStatustoContract)โดยสอนว่าในสังคมโบราณความสัมพันธ์ถูกกำหนดโดยสถานะ(Sta-
tus)ของคนเช่นสถานะความเป็นพ่อเป็นลูกความเป็นนายทาสกับทาสพ่อเป็นทาสลูกที่เกิดมาก็มีสถานะ
เป็นทาสด้วย ไม่ได้เป็นไปตามความสมัครใจของแต่ละคนแต่เมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงไปมาในสมัยใหม่ก็มี
ความสัมพันธ์แบบใหม่เกิดขึ้นจากการตัดสินโดยจิตอิสระของแต่ละคนกลายเป็นความสัมพันธ์ทางสัญญา
เช่นการเข้าเป็นหุ้นส่วนกันหรือการตกลงทำสัญญาซื้อขายหรือทำสัญญากันในกรณีอื่นแต่ก็ไม่ใช่จะทำเป็น
สัญญากันได้ทุกเรื่อง8ในสถาบันครอบครัวความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในครอบครัวเริ่มจากการสมรสที่มี
ลักษณะเป็นสัญญาที่อาศัยเจตนาต้องตรงกันของคู่กรณีที่ต้องการเป็นสามีภริยากันหลังจากการหมั้นและ
การสมรสแล้วความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาก็เกิดขึ้นตามกฎหมายแล้วสิทธิหน้าที่ต่อกันระหว่างสามีภริยา
ระหว่างบิดามารดาและบุตรย่อมเป็นไปตามกฎหมายโดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องมีการตกลงยินยอมกันอีก
2.ความเป็นมาของการศึกษาวิชาประวัติศาสตร์กฎหมายไทยการสอนวิชาประวัติศาสตร์กฎหมายในประเทศไทยได้มีขึ้นตั้งแต่เมื่อตั้งโรงเรียนกฎหมายแล้ว
โดยในครั้งนั้นเรียกชื่อวิชาว่า “พงศาวดารกฎหมาย” แล้วเปลี่ยนเป็น “ตำนานกฎหมาย” ในเวลาต่อมา9
ครั้นเมื่อมีการยกฐานะโรงเรียนกฎหมายจนต่อมาเป็นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ก็ได้กำหนด
วิชาประวัติศาสตร์กฎหมายเป็นวิชาหนึ่งในหลักสูตรและได้มีการสอนวิชาดังกล่าวเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันหาก
แต่ว่าเมื่อพิจารณาถึงแนวการสอนที่ผ่านมาจะพบว่าการสอนวิชาประวัติศาสตร์กฎหมายแตกต่างกันไปเป็น
2แนวดังนี้
2.1การศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายแบบนิติประวัติศาสตร์ไทยตามแนวทฤษฎีกฎหมายของ
สำนักประวัติศาสตร์ (Historical School) ตามแนวทฤษฎีของสำนักประวัติศาสตร์ มีข้อความคิดพื้นฐาน
(Fundamentalconcept)ว่ากฎหมายเกิดจากจิตวิญญาณประชาชาติ(Volksgeist)และถือว่าVolksgeist
ย่อมมีรูปลักษณะของมันวิวัฒนาการไปตามประวัติศาสตร์และปรากฏออกมาในรูปของจารีตประเพณี
วัฒนธรรมและวิวัฒนาการต่อมาอีกชั้นหนึ่งในรูปที่เป็นกฎหมายของแต่ละชนชาติ10
8เพิ่งอ้างหน้า459ดูเดือนบุนนาคประวัติศาสตร์กฎหมายไทยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์พ.ศ.2487หน้า110ปรีดีเกษมทรัพย์อ้างแล้วหน้า216-217
1-14
แนวคิดในทฤษฎีกฎหมายดังกล่าว ได้มีการสอนในประเทศเมื่อมีการตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรม
ศาสตร์และการเมืองและกำหนดให้มีการสอนวิชาประวัติศาสตร์กฎหมายขึ้นโดยมอบหมายให้ศาสตราจารย์
ร.แลงกาต์ซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศสเป็นผู้สอนในช่วงเวลาที่อาจารย์ร.แลงกาต์รับผิดชอบสอนวิชานี้
สำหรับแนวการสอนวิชาประวัติศาสตร์กฎหมายไทยนั้น ศาสตราจารย์ ร.แลงกาต์เริ่มต้นด้วยการ
สอนบทนำทั่วไปก่อนโดยกล่าวถึงความเป็นมาของกฎหมายและในจุดนี้เองที่เห็นได้ชัดว่าแนวการสอนมีแนว
โน้มไปทางทฤษฎีกฎหมายของสำนักประวัติศาสตร์(HistoricalSchool)11
ศาสตราจารย์ ร.แลงกาต์ได้ชี้ให้เห็นว่าในสังคมดั้งเดิม กฎหมายยังมิได้กระทำขึ้นเป็นลายลักษณ์
อักษรคงเป็นเพียงจารีตประเพณี คือยังคงรวมอยู่ในขนบธรรมเนียมด้วยเหตุนี้การศึกษาประวัติศาสตร์
กฎหมายของศาสตราจารย์ร.แลงกาต์จึงมิได้จำกัดอยู่เฉพาะกฎหมายลายลักษณ์อักษรแต่จะศึกษาถึงจารีต
ประเพณีนัน้ๆดว้ยทา่นถอืวา่กฎหมายเปน็เพยีงเงาของจารตีประเพณ1ี2และการศกึษาประวตัศิาสตร์กฎหมาย
ไทยในแบบนี้จะทำให้เรารู้จักระเบียบต่างๆ ของชุมนุมในอดีต รู้จักความก้าวหน้าในทางขนบธรรมเนียม
ประเพณีและอารยธรรมของชาติ และความรู้จากประวัติศาสตร์กฎหมายจะสามารถเชื่อมโยงหรือเสริม
กฎหมายในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
2.2การศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายแบบตำนานตามแนวทฤษฎีกฎหมายของสำนักกฎหมาย
บ้านเมือง(LegalPostivism)คำว่า“LegalPositivism”เป็นคำที่แปลมาจากศัพท์ดังเดิมในภาษาเยอรมัน
ที่เรยีกวา่Rechtspostitvismusหมายถงึความคดิที่ถอืวา่กฎหมายที่ใช้บงัคบัอยู่ในบา้นเมอืง(Positivelaw)
เท่านั้นที่เป็นกฎหมายที่แท้จริงด้วยเหตุนี้จึงถือว่าเฉพาะกฎหมายบ้านเมืองเท่านั้นที่ควรจะเป็นวัตถุ(object)
ที่ศึกษาส่วนศีลธรรมความยุติธรรมหรือที่เรียกว่ากฎหมายธรรมชาตินั้นมิใช่กฎหมายจึงอยู่นอกขอบข่าย
การศึกษาของนักนิติศาสตร์โดยสิ้นเชิง13
ความคิดแบบLegal Positivism ได้มีการสอนในประเทศอังกฤษโดยนักปราชญ์คนสำคัญทาง
วิชาการนิติศาสตร์ของอังกฤษท่านหนึ่งชื่อJohnAustin(ค.ศ.1790-1859)คำสอนของJohnAustinเป็น
ที่ยอมรับอย่างมากในวงการกฎหมายของอังกฤษเมื่อนักเรียนไทยไปศึกษากฎหมายจึงได้รับแนวความคิดนี้
มาสอนต่อในโรงเรียนกฎหมายด้วยดังที่มีการบรรยายความหมายของคำว่ากฎหมายว่า“กฎหมายคือคำสั่ง
ทั้งหลายของผู้ปกครองว่าการแผ่นดินต่อราษฎรทั้งหลายเมื่อไม่ทำตามแล้วตามธรรมดาต้องโทษ”14
เมื่อมีการตั้งคณะนิติศาสตร์และมีการสอนวิชาประวัติศาสตร์กฎหมายการให้ความหมายของคำว่า
“กฎหมาย”จึงได้รับการสอนต่อๆมา
11ร.แลงกาต์ประวัติศาสตร์กฎหมายไทยเล่ม1มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์ฯพ.ศ.2526หน้า112เพิ่งอ้างหน้า313ปรีดีเกษมทรัพย์อ้างแล้วหน้า24114พระเจ้าพี่ยาเธอกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์เล็คเชอร์กฎหมายโรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนาการพ.ศ.2468หน้า1
1-15
ต่อมาอิทธิพลของกฎหมายอังกฤษได้ค่อยๆลดความสำคัญลงไปเมื่อประเทศไทยตัดสินใจจะจัด
ทำระบบกฎหมายแบบภาคพื้นยุโรปและได้จ้างนักกฎหมายชาวญี่ปุ่นและฝรั่งเศสมาเป็นที่ปรึกษาช่วยงานโร
ลังยัคมินส์ซึ่งเป็นชาวเบลเยี่ยมและทำหน้าที่ที่ปรึกษาราชการแผ่นดินอยู่ในเวลานั้นแต่ก่อนที่จะตัดสินใจจัด
ทำประมวลกฎหมายตามแบบอย่างของประเทศซีวิลลอว์(CivilLaw)
(โปรดอ่านเนื้อหาสาระโดยรายละเอียดในปรีดี เกษมทรัพย์ (2539)นิติปรัชญา โครงการตำรา
และเอกสารประกอบการสอนคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์พิมพ์ครั้งที่3)
กิจกรรม1.1.2
ให้นักศึกษาอธิบายถึงการศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายแบบตำนานตามแนวทฤษฎีกฎหมาย
ของสำนักกฎหมายบ้านเมือง(LegalPostivism)
บันทึกคำตอบกิจกรรม1.1.2
(โปรดตรวจคำตอบจากแนวตอบในแนวการศึกษาหน่วยที่1ตอนที่1.1กิจกรรม1.1.2)
1-16
เรื่องที่1.1.3กำเนิดกฎหมายอาญา
สาระสังเขป
1.การจัดทำประมวลกฎหมายอาญาของไทยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจ
ชำระและร่างประมวลกฎหมายขึ้น โดยนำระบบกฎหมายซีวิลลอว์ตามแบบประเทศในภาคพื้นยุโรปมาเป็น
แนวในการปฏิรูประบบกฎหมายของไทยเหตุผลของการจัดทำประมวลกฎหมายนั้นได้มีผู้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า
เป็นเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์อย่างน้อย3ประการคือ15
ประการแรก เพื่อรวบรวมบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยลักษณะเดียวกัน ซึ่งกระจัดกระจายอยู่
ในพระราชกำหนดกฎหมายต่างๆเข้าไว้เป็นหมวดหมู่ในประมวลกฎหมายอันเดียวกันเช่นในทางอาญานั้น
กฎหมายอาญาของสยามประกอบดว้ยกฎหมายโบราณหลายฉบบัแตล่ะฉบบัก็บญัญตัิลกัษณะความผดิแตล่ะ
ความผิดเป็นฐานๆไปเช่นลักษณะวิวาทลักษณะอาญาหลวงฯลฯนอกจากนี้ก็มีพระราชบัญญัติใหม่ๆใน
ช่วงหลังที่ออกมาเพื่อปราบปรามการกระทำผิดบางฐานเป็นเรื่องๆไปเช่นพระราชบัญญัติว่าด้วยอั้งยี่ร.ศ.
116พระราชบัญญัติลักษณะหมิ่นประมาทร.ศ.118ประกาศลักษณะฉ้อร.ศ.119เป็นต้นบทบัญญัติเหล่านี้
เกี่ยวกันใกล้ชิดกันมากเพราะอยู่ภายใต้หลักทั่วไปแห่งกฎหมายเดียวกัน เมื่อกระจัดกระจายอยู่หลายแห่ง
ดังนี้ย่อมทำให้เป็นการยากลำบากแก่ศาลในอันจะค้นคว้าหยิบยกมาพิจารณาพิพากษาคดี เพราะฉะนั้นจึง
จำเป็นจะต้องนำมารวบรวมไว้ด้วยกันเพื่อจะดูว่าอะไรเป็นแนวคิดพื้นฐานของกฎหมายเหล่านี้และจัดทำให้
สอดคล้องกันขึ้น
ประการที่สองบทบัญญัติทางกฎหมายหลายฉบับโบราณเกินไปไม่สอดคล้องกับแนวความคิดสมัย
ใหม่ที่กำลังมีอิทธิพลมากขึ้นๆในประเทศสยามและจำเป็นจะต้องรีบแก้ไขเช่นวิธีพิจารณาในสมัยโบราณ
ให้ช่องแก่คู่ความที่จะยื่นอุทธรณ์ฎีกาได้หลายชั้น
ประการสุดท้ายการจัดทำประมวลกฎหมายจะเป็นโอกาสให้ได้ตรวจชำระบทกฎหมายที่มีอยู่
รวมทั้งนำเอาหลักกฎหมายใหม่ๆที่ยังไม่เคยมีอยู่ในกฎหมายสยามมาบัญญัติรวมไว้ด้วยเป็นต้นว่ากฎหมาย
แพ่งแต่เดิมนั้นก็บัญญัติแต่เพียงเกี่ยวแก่ลักษณะบุคคลเช่นการสมรสการหย่าและการรับมรดกที่เกี่ยว
แก่สัญญาก็มีกฎหมายหลายฉบับบัญญัติถึงสัญญาที่มีใช้อยู่บ่อยๆเป็นเรื่องๆไปเช่นซื้อขายจำนองกู้ยืม
ฯลฯแต่ไม่มีบททั่วไปซึ่งบัญญัติถึงหลักกฎหมายว่าด้วยมูลแห่งหนี้และผลแห่งหนี้ เหตุดังนี้เพื่อจะวินิจฉัย
ถึงข้อนั้นๆก็จำต้องพิจารณาค้นคว้าหาจากบทเฉพาะเรื่องๆซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในกฎหมายต่างๆ
15เรอเน่กียองการตรวจชำระและรา่งประมวลกฎหมายในกรงุสยามวษิณุวรญัญูแปลวารสารนติศิาสตร์ฉบบัที่1มนีาคม
พ.ศ.2536หน้า100-101
1-17
การจัดทำกฎหมายลักษณะอาญาร.ศ.127โดยที่การจัดให้มีประมวลกฎหมายแบบสมัยใหม่เป็น
เงื่อนไขประการสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากข้อเสียเปรียบในเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตและ
ถือความจำเป็นที่จะต้องรีบจัดทำในเวลานั้น สำหรับเหตุผลที่เลือกยกร่างประมวลกฎหมายลักษณะอาญา
ก่อนประมวลกฎหมายอื่นนั้นนอกจากเหตุผลในเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตดังกล่าวมาแล้วมีผู้ให้ความ
เห็นว่า เนื่องจากในขณะนั้นคนไทยและเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายยังไม่ค่อยมีความรู้ความเข้าใจในการชำระ
กฎหมายแบบประมวล และในบรรดากฎหมายลักษณะต่างๆ กฎหมายอาญาเป็นประมวลกฎหมายที่ร่าง
ได้ง่ายที่สุด และศาลต่างๆสามารถเข้าใจได้ง่ายเช่นกันดังนั้นจึงเป็นการเหมาะสมที่จะเริ่มงานตรวจชำระ
และจัดร่างประมวลกฎหมายอาญาขึ้นก่อน
แต่เดิมกฎหมายอาญาของไทยมิได้จัดทำในรูปประมวลกฎหมายแต่มีลักษณะเป็นกฎหมายแต่ละ
ฉบับไป เช่นกฎหมายลักษณะโจรลักษณะวิวาท เป็นต้นต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว เนื่องจากความจำเป็นในด้านการปกครองประเทศ และความจำเป็นที่จะต้องเลิกศาลกงสุลต่าง
ประเทศ จึงได้มีการจัดทำประมวลกฎหมายอาญาขึ้น ทำนองเดียวกันกับกฎหมายอาญาของประเทศทาง
ตะวันออกและญี่ปุ่นเรียกว่ากฎหมายลักษณะอาญาร.ศ.127ซึ่งเป็นประมวลกฎหมายอาญาฉบับแรกของ
ไทยกฎหมายลักษณะอาญาได้ใช้บังคับมาเป็นเวลาประมาณ48ปีจนถึงพ.ศ.2500ก็ได้ยกเลิกไปและได้
ประกาศใช้ประมวลกฎหมายอาญาพ.ศ.2499ซึ่งเป็นฉบับปัจจุบันและใช้บังคับมาตั้งแต่วันที่ 1มกราคม
2500ซึ่งตรงกับวาระฉลองครบ25พุทธศตวรรษ
ในการจัดทำประมวลกฎหมายอาญานั้น ได้ยึดหลักปรัชญาและความมุ่งหมายของกฎหมายอาญา
ดังนี้คือ
1.1ปรัชญาของกฎหมายอาญา
วัตถุประสงค์กฎหมายอาญาคือมุ่งคุ้มครองส่วนได้เสียของสังคมให้พ้นจากการประทุษร้ายต่างๆ
กฎหมายอาญาจึงเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม
ทฤษฎีกฎหมายอาญาหมายถงึกลุม่แนวความคดิหรอืหลกัการที่ถอืวา่เปน็พืน้ฐานของกฎหมายอาญา
1.2ความมุ่งหมายของกฎหมายอาญากฎหมายอาญามีความมุ่งหมายในอันที่จะคุ้มครองประโยชน์
ของส่วนรวมให้พ้นจากการประทุษร้ายโดยอาศัยการลงโทษเป็นมาตรการสำคัญรัฐมีเหตุผลและความชอบ
ธรรมในการใช้อำนาจลงโทษผู้กระทำความผิดโดยประกอบกับเหตุผลหลักๆ3ประการคือ
1)หลักความยุติธรรม
2)หลักป้องกันสังคม
3)หลักผสมระหว่างหลักความยุติธรรมและหลักป้องกันสังคม
โดยในการใช้อำนาจในการลงโทษของรัฐนั้นอยู่ในข้อจำกัดโดยบทบัญญัติของกฎหมายกล่าวคือ
1)โทษนั้นจะต้องเป็นไปตามกฎหมาย
2)ในความผิดที่กฎหมายกำหนดโทษขั้นสูงไว้ รัฐจะลงโทษผู้กระทำความผิดเกินกว่านั้น
ไม่ได้เว้นแต่จะมีเหตุเพิ่มโทษตามกฎหมาย
1-18
3)ในความผิดที่กฎหมายกำหนดโทษขั้นต่ำไว้รัฐจะลงโทษผู้กระทำความผิดต่ำกว่านั้นไม่ได้
เว้นแต่จะมีเหตุลดโทษตามกฎหมาย
4)ในความผิดที่กฎหมายกำหนดโทษขั้นต่ำไว้และขั้นสูงไว้ รัฐมีอำนาจลงโทษได้ตามที่เห็น
สมควรในระหว่างโทษขั้นต่ำและขั้นสูงนั้น
2.ทฤษฎีกฎหมายอาญาทฤษฎีกฎหมายอาญาในทรรศนะกฎหมายระบบคอมมอนลอว์
นักทฤษฎีกฎหมายอาญาในระบบคอมมอนลอว์เห็นว่ากฎหมายอาญาแบ่งได้เป็น3ส่วนคือภาค
ความผิดหลักทั่วไปและหลักพื้นฐาน
ภาคความผิด เป็นส่วนที่บัญญัติเกี่ยวกับความผิดฐานต่างๆ หรือคำจำกัดความของความผิด
แตล่ะฐานและกำหนดโทษสำหรบัความผดินัน้ๆดว้ยเปน็สว่นที่มีความหมายแคบทีส่ดุแต่มีจำนวนบทบญัญตัิ
มากที่สุด
หลักทั่วไปเป็นส่วนที่มีความหมายกว้างกว่าภาคความผิดและนำไปใช้บังคับแก่ความผิดต่างๆเช่น
เรื่องวิกลจริตความมึนเมาเด็กกระทำความผิดความจำเป็นการป้องกันตัวพยายามกระทำความผิดตัวการ
ผู้ใช้ผู้สนับสนุนเป็นต้น
หลักพื้นฐาน ส่วนนี้ถือว่าเป็นหัวใจของกฎหมายอาญาและเป็นส่วนที่มีความหมายกว้างที่สุด ซึ่ง
ต้องนำไปใช้บังคับแก่ความผิดอาญาต่างๆ เช่นเดียวกับหลักทั่วไปหลักพื้นฐานของกฎหมายอาญา ได้แก่
(1)ความยุติธรรม(2)เจตนา(3)การกระทำ(4)เจตนาและการกระทำต้องเกิดร่วมกัน(5)อันตรายต่อสังคม
(6)ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผลและ(7)การลงโทษ
บทบัญญัติทั้ง 3 ส่วนนี้ย่อมสัมพันธ์กันกล่าวคือถ้าจะเข้าใจผิดฐานใดฐานหนึ่งได้ชัดแจ้งจะต้อง
นำหลักทั่วไปและหลักพื้นฐานไปพิจารณาประกอบด้วย เพราะลำพังแต่บทบัญญัติภาคความผิดนั้นมิได้ให้
ความหมายหรือคำจำกัดความที่สมบูรณ์ของความผิดแต่ละฐานจะต้องพิจารณาประกอบกับหลักทั่วไปและ
หลักพื้นฐานเสมอ
(โปรดอ่านเนื้อหาสาระโดยละเอียดในอภิรัตน์ เพ็ชรศิริ (2552)ทฤษฎีอาญากรุงเทพมหานคร
สำนักพิมพ์วิญญูชน)
กิจกรรม1.1.3
ให้นักศึกษาอธิบายถึงวัตถุประสงค์กฎหมายอาญาและความมุ่งหมายของกฎหมายอาญา
1-19
บันทึกคำตอบกิจกรรม1.1.3
(โปรดตรวจคำตอบจากแนวตอบในแนวการศึกษาหน่วยที่1ตอนที่1.1กิจกรรม1.1.3)
1-20
ตอนที่1.2
ประวัติความเป็นมาและวิวัฒนาการของอาชญาวิทยา
โปรดอ่านแผนการสอนประจำตอนที่1.2แล้วจึงศึกษาสาระสังเขปพร้อมปฏิบัติกิจกรรมในแต่ละเรื่อง
หัวเรื่องเรื่องที่1.2.1ความหมายและลักษณะของอาชญาวิทยา
เรื่องที่1.2.2กำเนิดอาชญาวิทยา
เรื่องที่1.2.3การศึกษาอาชญาวิทยา
แนวคิด1. อาชญาวิทยา(Criminology)หมายถึงการศึกษาเกี่ยวกับลักษณะของอาชญากรรมและ
การกระทำผิดสาเหตุแห่งอาชญากรรมและการกระทำผิดและวิธีการป้องกันและแก้ไข
อาชญากรรมและการกระทำผิด
2. อาชญาวิทยาเกิดขึ้นเมื่อซีซาร์เบ็คคาเรียนักปรัชญานักกฎหมายและนักอาชญาวิทยา
ได้ลุกขึ้นมาคัดค้านการใช้อำนาจรัฐอย่างไม่เป็นธรรมของกษัตริย์ศาล และผู้นำศาสนา
โดยนำเสนอความคิดไว้ในหนังสือชื่อว่าOnCrimesandPunishmentsซึ่งเป็นตำรา
อาชญาวิทยาเล่มแรกของโลก โดยเบ็คคาเรียอ้างถึงทฤษฎีสัญญาประชาคม เรียกร้อง
ให้ทบทวนวัตถุประสงค์ของการลงโทษเพื่อการจัดระเบียบสังคม เบ็คคาเรียเรียกร้องให้
ศาลมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาคดีเท่านั้นแต่ไม่ให้มีอำนาจในการออกกฎหมายและ
ไม่สามารถกำหนดโทษได้ตามอำเภอใจสำหรับเรื่องการลงโทษเบ็คคาเรียเห็นว่ามนุษย์
มีอิสระในการคิดและตัดสินใจที่จะทำอะไรทั้งนี้ตามทฤษฎีเจตจำนงอิสระ(FreeWill)
ดังนั้น เมื่อมนุษย์กระทำสิ่งใดลงไปเขาต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของเขา และหาก
เขาประกอบอาชญากรรม เขาก็สมควรที่จะต้องได้รับโทษการลงโทษมีไว้เพื่อข่มขู่ยับยั้ง
ผู้กระทำผิดโดยมีหลักการสำคัญคือการลงโทษจะต้องมีความแน่นอนการลงโทษจะต้อง
ทำด้วยความรวดเร็วและการลงโทษจะต้องได้สัดส่วนกับอาชญากรรม
1-21
3. การศึกษาอาชญาวิทยาแบ่งออกเป็นอาชญาเชิงชีววิทยา(Criminalbiology)อาชญาเชิง
จิตวิทยา(Criminalpsychology)อาชญาเชิงสังคมวิทยา(Criminalsociology)อาชญาวิทยา
เชงิกฎหมาย(Legalcriminolog)อาชญาวทิยาแนวรนุแรง(Radicalcriminologyอาชญา
วิทยาแนววิพากษ์(Criticalcriminology)อาชญาวิทยาแนวหลังสมัยใหม่(Postmod-
erncriminology)อาชญาวิทยาแนวสตรีนิยม(Feministcriminology)อาชญาวิทยา
แนวสันติวิธี (Peacekeeping criminology) และอาชญาวิทยาแบบบูรณาการ
(IntegratedCriminology)
วัตถุประสงค์เมื่อศึกษาตอนที่1.2จบแล้วนักศึกษาสามารถ
1. อธิบายความหมายและลักษณะของอาชญาวิทยาได้
2. อธิบายกำเนิดอาชญาวิทยาได้
3. อธิบายการศึกษาอาชญาวิทยาได้
1-22
เรื่องที่1.2.1ความหมายและลักษณะของอาชญาวิทยา
สาระสังเขป
1.ความหมายของอาชญาวิทยาอาชญาวิทยาเป็นคำสมาสระหว่างคำว่าอาชญาและวิทยา
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพุทธศักราช2542ให้นิยามคำว่า“อาชญา”ไว้ดังนี้
อาชญาน.อำนาจ;โทษ(มักใช้สำหรับพระเจ้าแผ่นดินหรือเจ้านาย)เช่นพระราชอาชญา.คดีที่เกี่ยว
กับโทษหลวงเรียกว่าคดีอาชญาหรือความอาชญาคู่กับความแพ่งซึ่งไม่เกี่ยวกับโทษหลวงเช่นความมรดก;
ศาลที่ชำระความเกี่ยวกับโทษหลวงเรียกว่าศาลอาชญาคู่กับศาลแพ่งซึ่งชำระความแพ่ง
ส่วนคำว่าวิทยาพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพุทธศักราช2542ให้นิยามคำว่า“วิทยา”ไว้
ดังนี้
วิทยาน.ความรู้มักใช้ประกอบกับคำอื่นเช่นวิทยากรวิทยาคารจิตวิทยาสังคมวิทยา
เมื่อรวมนิยามทั้งสองคำดังกล่าว สรุปความได้ว่า “อาชญาวิทยา” หมายถึง ความรู้เกี่ยวกับ
อาชญากรรมการกระทำผิดและการลงโทษ
หรืออีกนัยหนึ่งอาชญาวิทยาหมายถึงการศึกษาเพื่อให้มีความรู้เกี่ยวกับอาชญากรรมการกระทำ
ผิดและการลงโทษ
คำว่า การลงโทษ ในที่นี้หมายถึง วิธีการที่สังคมดำเนินการกับผู้ที่กระทำผิดนั่นเอง ซึ่งสอดคล้อง
กับการอธิบายของศาสตราจารย์ซุทเทอร์แลนด์ที่ใช้คำว่า การดำเนินการของสังคมต่อผู้ละเมิดกฎหมาย
ศาสตราจารย์ซุทเทอร์แลนด์ (Sutherland) (อ้างในประเทืองธนิยะผล2548)อธิบายความหมายของวิชา
อาชญาวิทยาไว้ในหนังสือชื่อPrincileofCriminologว่า“อาชญาวิทยาเป็นวิชาที่ศึกษาถึงอาชญากรรมใน
ฐานะที่เป็นปรากฏการณ์ของสังคมอันจะต้องศึกษาถึงแนวทางแห่งการบัญญัติกฎหมายความประพฤติที่
ละเมิดกฎหมายและการดำเนินการของสังคมต่อผู้ละเมิดกฎหมาย”
นักวิชาการด้านอาชญาวิทยาคนสำคัญ คือ Sutherland andCressey, 1970 (อ้างใน จุฑารัตน์
เอื้ออำนวย2551)อธิบายว่า“อาชญาวิทยา”ในมิติของศาสตร์เชิงเดี่ยว“เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับอาชญากรรม
อาชญากรและพฤติกรรมการกระทำความผิดว่าด้วยเรื่อง
1)การกำหนดกฎหมาย
2)การฝ่าฝืนกฎหมาย
3)ปฏิกิริยาของสังคม”
1-23
จากการศึกษาแนวคิดของนักวิชาการด้านกฎหมายอาญาและอาชญาวิทยาท่านหนึ่งคือดร.เอกูต์
(อ้างในอภิรัตน์เพ็ชรศิริ2552)ท่านได้กล่าวถึงวิชากฎหมายอาญาและการลงทัณฑ์ไว้ว่า
“...กฎหมายอาญา ไม่ใช่แต่เพียงเป็นการรวมข้อบังคับของกฎหมาย กฎหมายอาชญาประกอบไป
ด้วยการศึกษาวิธีอันดีซึ่งหมู่ประชาชนใช้เพื่อป้องกันต่อการกระทำผิด
เพราะฉะนั้น การสอนกฎหมายอาชญาไม่เฉพาะแต่ให้คำอธิบายในตัวบทเอาประมวลกฎหมาย
หรือกฎหมายพิเศษที่บัญญัติความผิดต่างๆยังต้องศึกษาเรื่องนี้ต่อไป เหตุใดจึงมีการกระทำผิด เหตุใดการ
กระทำผิดจึงมีจำนวนมากขึ้นในพฤติกรรมบางอย่าง(การสงครามขาดอาหารไม่มีงานทำโรคภัยการละทิ้ง
เด็กฯลฯจะบำบัดเหตุเหล่านี้ได้โดยวิธีใด (สร้างโรงพยาบาลที่อาศัย โรงรับเลี้ยงเด็กฯลฯ)จะต้องจัดการ
เรือนจำอย่างไรนักโทษจะต้องได้รับความเลี้ยงดูอย่างไรฯลฯ
ในประเทศที่ได้มีการศึกษากฎหมายอาชญาได้ครบถ้วนที่สุดในโลก คือประเทศเบลเยี่ยมอิตาลี
ฝรั่งเศส เขาใช้คำสองคำต่างกัน กล่าวคือ การศึกษาตัวบทเรียกว่ากฎหมายอาชญา และการศึกษาวิธีที่
ประชาชนใช้ป้องกันแก่ความผิดเหล่านี้เรียกว่าวิทยาศาสตร์ในการลงโทษ...”
จากคำอธิบายของดร.เอกูต์ดังกล่าวดร.อภิรัตน์เพ็ชรศิริได้ให้ความเห็นว่าวิทยาศาสตร์ในการ
ลงโทษนี้เองคือวิชาอาชญาวิทยาและทัณฑวิทยา
หากเราสรุปความจากคำอธิบายของ ดร.เอกูต์ ดังกล่าวนี้ เราสามารถสรุปความหมายของวิชา
“วิทยาศาสตร์ในการลงโทษ” หรือ “อาชญาวิทยาและทัณฑวิทยา” ได้ว่า เป็นการศึกษาถึงวิธีการที่ใช้เพื่อ
ป้องกันต่อการกระทำผิด รวมทั้งการศึกษาถึงสาเหตุของการกระทำผิดสาเหตุที่การกระทำผิดบางประเภท
มีจำนวนมากขึ้นและการศึกษาวิธีการแก้ไขเหตุแห่งการกระทำผิดดังกล่าวตลอดจนศึกษาวิธีการจัดการใน
การลงโทษของเรือนจำ
WalterC.Reckless(อ้างในประธานวัฒนวาณิชย์2546)อธิบายว่า“อาชญาวิทยาเป็นการศึกษา
ทางด้านพฤติกรรมต่างๆ อันฝ่าฝืนต่อกฎหมายอาญา โดยมีความมุ่งหมายว่า การเข้าใจพฤติกรรมอาจจะ
นำไปสู่การควบคุมอาชญากรรม”
จากแนวคิดเกี่ยวกับอาชญาวิทยาดังที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดจะเห็นได้ว่าอาชญาวิทยามีแนวคิดที่
สำคัญร่วมกันคือ
อาชญาวิทยาเป็นการศึกษาถึงอาชญากรรมและการกระทำผิด
อาชญาวิทยาเป็นการศึกษาถึงสาเหตุแห่งอาชญากรรมและการกระทำผิด
อาชญาวิทยาเป็นการศึกษาถึงวิธีการแก้ไขอาชญากรรมและการกระทำผิด
สรุปได้ว่าอาชญาวิทยา(Criminology)หมายถึงการศึกษาเกี่ยวกับลักษณะของอาชญากรรมและ
การกระทำผิด สาเหตุแห่งอาชญากรรมและการกระทำผิด และวิธีการป้องกันและแก้ไขอาชญากรรมและ
การกระทำผิด
1-24
2.ลักษณะของอาชญาวิทยาลักษณะโดยทั่วไปของอาชญาวิทยา
การศึกษาวิชาอาชญาวิทยา เป็นการศึกษาเกี่ยวกับการกระทำหรือพฤติกรรมมนุษย์ ซึ่งการกระทำ
หรือพฤติกรรมเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายทั้งที่เป็นพฤติกรรมรายบุคคลเช่นการลักทรัพย์การฆาตกรรมการ
โพสต์ข้อความผิดกฎหมายในเว็บไซต์หรือพฤติกรรมรายกลุ่มเช่นกลุ่มเด็กแว๊นกลุ่มแข่งรถซิ่งหรือฝ่าฝืน
ต่อกฎระเบียบของสังคม โดยมีความมุ่งหมายที่จะทำความเข้าใจและอธิบายสาเหตุแห่งการเกิดพฤติกรรม
นั้น เพื่อนำไปสู่การหาวิธีการแก้ไขบำบัดผู้กระทำพฤติกรรมนั้น รวมทั้งการหาวิธีการป้องกันมิให้เกิดการ
กระทำนั้นขึ้นอีก
ลักษณะการศึกษาอาชญาวิทยาตามระดับพฤติกรรม
วิลเล็มนาเก็ล(WillemNagel)(อ้างในประธานวัฒนวาณิชย์2546)อธิบายว่า“วิชาอาชญาวิทยา
ประกอบด้วยการศึกษาพฤติกรรมดังต่อไปนี้
1)พฤติกรรมปกติ
2)พฤติกรรมเบี่ยงเบนแต่ไม่รบกวนความสงบสุข
3)พฤติกรรมผิดปกติแต่ไม่เกี่ยวข้องหรือขัดแย้งกับกฎหมาย
4)พฤติกรรมผิดปกติและเกี่ยวข้องกับกฎหมายแต่ไม่เป็นอาชญากรรม
5)อาชญากรรม
ลักษณะเฉพาะของวิชาอาชญาวิทยา
ลักษณะแรก วิชาอาชญาวิทยา มีลักษณะเป็นสหวิทยาการ (Interdisciplinary science)
อาชญากรรมมีสาเหตุมาจากปัจจัยด้านต่างๆเช่นชีววิทยาจิตวิทยาสังคมวิทยามานุษยวิทยาวิทยาศาสตร์
รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ นิติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ฯลฯ การอธิบายสาเหตุแห่งอาชญากรรมต้องอาศัย
ความรู้จากศาสตร์ต่างๆ หลายๆ ศาสตร์ร่วมกันอธิบาย ไม่สามารถใช้ศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่งอธิบายได้
ครบถ้วนในตัวเองเราจึงกล่าวว่าอาชญาวิทยาเป็นสหวิทยาการ
ลักษณะที่สองวิชาอาชญาวิทยาเป็นวิชาที่สามารถศึกษาได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์(Scientific
methodofstudy)เราสามารถศกึษาพฤตกิรรมการกระทำผดิของบคุคลได้โดยการใช้วธิีการทางวทิยาศาสตร์
ในการสังเกต การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการสร้างข้อสรุป ทำให้ความรู้ที่ได้มีความ
เชื่อถือได้ตัวอย่างเช่นการศึกษาพฤติกรรมการกระทำผิดซ้ำของฆาตกรต่อเนื่อง
ลักษณะที่สาม วิชาอาชญาวิทยาเป็นวิชาที่ไม่มีขอบเขตแน่ชัด เนื่องจากวิชาอาชญาวิทยาสามารถ
ศึกษาได้จากมุมมองจากศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่ง แล้วอาจนำศาสตร์อื่นๆ มาร่วมอธิบาย โดยไม่มีข้อจำกัดว่า
จะใช้ศาสตร์ใดก่อนหลัง ศาสตร์ใดเป็นหลักศาสตร์ใดเป็นรอง ไม่มีข้อจำกัดว่าต้องใช้ศาสตร์กี่ศาสตร์มา
อธิบาย ข้อสำคัญอยู่ที่การค้นหาคำตอบเพื่ออธิบายให้ได้ว่า อาชญากรรมและการกระทำผิดนั้นมีลักษณะ
เป็นอย่างไร สาเหตุของอาชญากรรมและการกระทำผิดนั้นคืออะไร วิธีการแก้ไขอาชญากรรมและการ
กระทำผิดนั้นควรทำอย่างไร
1-25
(โปรดอ่านเนื้อหาสาระโดยละเอียดใน
(1)จุฑารัตน์ เอื้ออำนวย (2551) สังคมวิทยาอาชญากรรมกรุงเทพมหานครสำนักพิมพ์แห่ง
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
(2)ชาย เสวิกุล (2517) อาชญาวิทยาและทัณฑวิทยา กรุงเทพมหานคร โรงพิมพ์มหาวิทยาลัย
ธรรมศาสตร์
(3)อภิรัตน์เพ็ชรศิริ(2552)ทฤษฎีอาญากรุงเทพมหานครสำนักพิมพ์วิญญูชน
(4)EncyclopediaBritannicaCesare_Beccaria.
(5)WalterCReckless.(1967).theCrimeProblem,4thed.,NewYork:Meredith.
(6)Carrabine,Eamonn.,Cox,Pam.,Lee,Maggy,Plummer,Ken., South,Nigel. (2009).
Criminology:ASociologicalIntroduction.NewYork:Routledge.
(7)Lilly,RobertJ.Cullen,FrancisT.andBall,RichardA.(2007).CriminologyTheory:
ContextandConsequences.ThousandOaks:SagePublications.
(8)Morrison,Wayne.(2006).Criminology,Civilisation&TheNewWordOrder.Oxon:
RoutledgeCavendish.
(9)Tibbetts, Stephen G. and Hemmens, Craig. (2010). Criminological Theory.
LosAngeles:SagePublications,Inc.
(10)WillemH.Nagel. (1968).“OnCriminologist.” inCrimeandCulture,ed.,Marwin
E.Wolfgang.NewYork:JohnWileyandSons.
กิจกรรม1.2.1
ให้นักศึกษาอธิบายถึงความหมายของอาชญาวิทยา
บันทึกคำตอบกิจกรรม1.2.1
(โปรดตรวจคำตอบจากแนวตอบในแนวการศึกษาหน่วยที่1ตอนที่1.2กิจกรรม1.2.1)
1-26
เรื่องที่1.2.2กำเนิดอาชญาวิทยา
สาระสังเขปอาชญาวทิยา(Criminology)เกดิขึน้ในศตวรรษที่18โดยนกัปรชัญาชือ่“ซีซาร์เบค็คาเรยี”(Cesare
Beccaria)ชาวอิตาเลียนซึ่งถือว่าเป็นบุคคลแรกของโลกที่ให้กำเนิดวิชาอาชญาวิทยา
สมัยตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่17จนมาถึงคริสต์ศตวรรษที่18เป็นยุคที่กษัตริย์มีอำนาจมากการ
ปกครองบ้านเมืองมีความเข้มงวดมีการใช้อำนาจอย่างเด็ดขาดรุนแรงในการลงโทษผู้กระทำผิดช่วงเวลานั้น
ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิกมีอำนาจและมีอิทธิพลมากและแผ่อำนาจครอบงำเข้ามาในระบบการเมือง
การปกครอง แม้แต่ในกระบวนการยุติธรรมศาสนาคริสต์ก็แผ่อำนาจเข้ามาแทรกแซงผู้นำศาสนาใช้อำนาจ
โดยอ้างว่าเป็นการใช้อำนาจในนามของพระเจ้าการกระทำของผู้นำศาสนาเป็นการกระทำในนามของพระเจ้า
เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจึงถือว่าถูกต้องทั้งสิ้นผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งสอนของศาสนาเท่ากับไม่เชื่อฟังพระเจ้า
ลบหลู่พระเจ้าจะต้องถูกนำมาพิพากษาลงโทษโดยถือว่าเป็นคนนอกรีตมีความเชื่อในสิ่งที่ชั่วร้ายเป็นพวก
นับถือแม่มดจะต้องถูกลงโทษอย่างเด็ดขาดและรุนแรงนั่นคือการเผาทั้งเป็นผู้นำศาสนาจะอ้างอำนาจของ
พระเจ้าแล้วให้ผู้พิพากษาลงโทษผู้ฝ่าฝืนศาสนาอย่างรุนแรง
การใช้อำนาจพิจารณาพิพากษาในสมัยนั้นไม่มีความชัดเจนแน่นอนไม่มีใครรู้ว่ากฎหมายเขียนไว้ว่า
อย่างไรทำอะไรจึงผิดกฎหมายและบทลงโทษเป็นอย่างไรทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับกษัตริย์ผู้พิพากษาและ
ผู้นำศาสนามีการใช้วิธีการสอบสวนเพื่อพิสูจน์ความผิดด้วยการทรมานจนกว่าจะรับสารภาพและถึงแม้ว่า
จะรับสารภาพส่วนใหญ่ก็ต้องถูกประหารชีวิตอยู่ดีสมัยนั้นมีผู้ถูกลงโทษประหารชีวิตไปไม่น้อยกว่าสองหมื่น
คนประชาชนไม่มีสิทธิเสรีภาพไม่มีอำนาจต่อรองใดๆเลย
ซีซาร์เบ็คคาเรียจบการศึกษานิติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแห่งพาร์เวียเขาได้รับรู้เหตุการณ์เกี่ยวกับ
การปกครอง และกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่ไม่มีความเป็นธรรม เบ็คคาเรียได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่ง
ชื่อว่า “OnCrimes and Punishments” ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นตำราอาชญาวิทยาเล่มแรกของโลก
มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับการคัดค้านการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมของกษัตริย์ศาลและผู้นำศาสนาเบ็คคาเรีย
คัดค้านการใช้อำนาจรัฐโดยอ้างถึงทฤษฎีสัญญาประชาคมเบ็คคาเรียเรียกร้องให้ทบทวนวัตถุประสงค์ของ
การลงโทษเพื่อการจัดระเบียบสังคมเบ็คคาเรียการคัดค้านการลงโทษที่ไม่เป็นธรรมและคัดค้านการลงโทษ
ประหารชีวิต
เบค็คาเรยีเรยีกรอ้งให้มีการเปลีย่นอำนาจรฐัโดยแยกตวัออกมาจากระบบอำนาจตามขนบธรรมเนยีม
เดิมที่อำนาจเป็นของเจ้าขุนมูลนายและฝ่ายศาสนาโดยให้เปลี่ยนมาเป็นอำนาจของสภานิติบัญญัติซึ่งเป็น
ของตัวแทนประชาชน และอำนาจในการออกกฎหมายเป็นของสภานิติบัญญัติ และเป็นการออกกฎหมาย
อย่างมีเหตุผลรองรับ
1-27
เบ็คคาเรียเรียกร้องให้ศาลมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาคดีเท่านั้น แต่ไม่ให้มีอำนาจในการออก
กฎหมายและไม่สามารถกำหนดโทษได้ตามอำเภอใจ
สำหรับเรื่องการลงโทษเบ็คคาเรียเห็นว่ามนุษย์มีอิสระในการคิดและตัดสินใจที่จะทำอะไรทั้งนี้เป็น
แนวคิดที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีเจตจำนงอิสระ(FreeWill)ดังนั้นเมื่อมนุษย์กระทำสิ่งใดลงไปเขาต้อง
รับผิดชอบต่อการกระทำของเขาและหากเขาประกอบอาชญากรรมเขาก็สมควรที่จะต้องได้รับโทษ
การลงโทษมีไว้เพื่อข่มขู่ยับยั้งผู้กระทำผิด เบ็คคาเรียเห็นว่า การลงโทษจะต้องมีความแน่นอน
การลงโทษจะต้องทำด้วยความรวดเร็วและการลงโทษจะต้องได้สัดส่วนกับอาชญากรรม
ความคิดของเบ็คคาเรีย ได้รับการตอบสนองจากนักปราชญ์คนสำคัญของโลกอย่างเช่น โวลแตร์
โทมัสเจฟเฟอร์สันข้อเรียกร้องของเบ็คคาเรียสร้างผลกระทบต่อการเมืองการปกครองสมัยนั้นและนำไป
สู่การปฏิรูปกฎหมายและและกระบวนการยุติธรรมของประเทศต่างๆในยุโรป
ความคดิของเบค็คาเรยีกลายเปน็ทีม่าของสำนกัอาชญาวทิยาแหง่แรกของโลกคอืสำนกัอาชญาวทิยา
คลาสสิค(ClassicalSchoolinCriminology)
เบ็คคาเรียแสดงทัศนะที่สำคัญยิ่งต่อการเมืองการปกครอง กฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม
ไว้ว่า “ทุกคนควรเท่ากันในทัศนะของกฎหมาย” และที่สำคัญอีกประการหนึ่ง เบ็คคาเรียได้กล่าวถึงหัวใจ
สำคัญของกฎหมายอาญาและอาชญาวิทยาไว้ว่า “ไม่มีอาชญากรรมเมื่อไม่มีกฎหมาย” (nullumcriemen
siglego)
(โปรดอ่านเนื้อหาสาระโดยรายละเอียดใน
(1)จุฑารัตน์ เอื้ออำนวย (2551) สังคมวิทยาอาชญากรรมกรุงเทพมหานครสำนักพิมพ์แห่ง
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
(2)ชาย เสวิกุล (2517) อาชญาวิทยาและทัณฑวิทยา กรุงเทพมหานคร โรงพิมพ์มหาวิทยาลัย
ธรรมศาสตร์
(3)อภิรัตน์เพ็ชรศิริ(2552)ทฤษฎีอาญากรุงเทพมหานครสำนักพิมพ์วิญญูชน
(4)EncyclopediaBritannicaCesare_Beccaria.
(5)WalterCReckless.(1967).TheCrimeProblem,4thed.,NewYork:Meredith.
(6)Carrabine,Eamonn.,Cox,Pam.,Lee,Maggy,Plummer,Ken., South,Nigel. (2009).
Criminology:ASociologicalIntroduction.NewYork:Routledge.
(7)Lilly,RobertJ.Cullen,FrancisT.andBall,RichardA.(2007).CriminologyTheory:
ContextandConsequences.ThousandOaks:SagePublications.
(8)Morrison,Wayne.(2006).Criminology,Civilisation&TheNewWordOrder.Oxon:
RoutledgeCavendish.
1-28
(9)Tibbetts, Stephen G. and Hemmens, Craig. (2010). Criminological Theory.
LosAngeles:SagePublications,Inc.
(10)WillemH.Nagel. (1968) “OnCriminologist,” inCrime andCulture, ed.,Marwin
E.Wolfgang.NewYork:JohnWileyandSons.)
กิจกรรม1.2.2
ให้นักศึกษาอธิบายถึงแนวคิดของซีซาร์ เบ็คคาเรีย เกี่ยวกับอำนาจในการออกกฎหมายการ
พิจารณาคดีการลงโทษและทัศนะต่อกระบวนการยุติธรรม
บันทึกคำตอบกิจกรรม1.2.2
(โปรดตรวจคำตอบจากแนวตอบในแนวการศึกษาหน่วยที่1ตอนที่1.2กิจกรรม1.2.2)
1-29
เรื่องที่1.2.3การศึกษาอาชญาวิทยา
สาระสังเขปอาชญาวิทยามีความมุ่งหมายที่จะอธิบายลักษณะของอาชญากรรม สาเหตุแห่งอาชญากรรม และ
วิธีการแก้ไขอาชญากรรม อาชญาวิทยาจึงอาศัยศาสตร์หลายๆศาสตร์มาใช้ในการศึกษา ซึ่งอาจจำแนกได้
ดังต่อไปนี้
อาชญาเชิงชีววิทยา (Criminal biology) เป็นการศึกษาอาชญาวิทยาโดยอาศัยความรู้ทางด้าน
ชีววิทยามาใช้วิเคราะห์และอธิบายสาเหตุแห่งการกระทำผิดโดยศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างรูปร่างลักษณะ
ทางร่างกายของผู้กระทำผิดกับลักษณะการกระทำผิด โดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นนักโทษในเรือนจำ
จนนำไปสู่การเกิดทฤษฎีอาชญากรโดยกำเนิด
อาชญาเชิงจิตวิทยา(Criminalpsychology)เป็นการศึกษาอาชญาวิทยาโดยอาศัยความรู้ทางด้าน
จิตวิทยาเช่นทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของซิกมันด์ฟรอยด์ทฤษฎีบุคลิกภาพของจุงแอดเลอร์และเพียร์เจต์มาใช้
วิเคราะห์และอธิบายสาเหตุแห่งการกระทำผิดโดยศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความบกพร่องทางบุคลิกภาพ
กับอาชญากรรมรวมทั้งการศึกษาแบบแผนของการเกิดอาชญากรรมพฤติกรรมของอาชญากรเช่นฆาตกร
โรคจิตฆาตกรต่อเนื่องดังตัวอย่างที่ปรากฏในภาพยนตร์เรื่องSilenceoftheLambหรือภาพยนตร์เรื่อง
Seven
อาชญาเชิงสังคมวิทยา(Criminalsociology)เป็นการศึกษาอาชญาวิทยาโดยอาศัยความรู้ทางด้าน
สังคมศาสตร์อาทิโครงสร้างทางสังคมกระบวนการขัดเกลาทางสังคมทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่ทฤษฎีความ
ขัดแย้งทฤษฎีการตีตราทฤษฎีปฏิสัมพันธ์เชิงสัญลักษณ์ทฤษฎีวัฒนธรรมย่อยมาใช้วิเคราะห์และอธิบาย
สาเหตุแห่งการกระทำผิดโดยศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านสังคมกับอาชญากรรม
อาชญาวิทยาเชิงกฎหมาย (Legal criminology) เป็นการศึกษาอาชญาวิทยาโดยอาศัยความรู้ทาง
ด้านกฎหมาย โดยใช้วิธีการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพมาใช้วิเคราะห์และให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับอาชญากรรม
การกระทำผิดกระบวนการยุติธรรมเพื่อการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมการวิเคราะห์ตัวบทกฎหมายปัญหา
กฎหมายช่องโหว่ของกฎหมายแนวทางการพัฒนากฎหมายและแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย
อาชญาวิทยาแนวรุนแรง(Radicalcriminology) เป็นแนวการศึกษาของกลุ่มมาร์กซิสต์ โดยมอง
ว่าปัญหาอาชญากรรมเป็นผลผลิตมาจากความขัดแย้งเชิงโครงสร้างสังคมที่แบ่งออกเป็นชนชั้น ทำให้เกิด
ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นคือชนชั้นนายทุนที่เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตและชนชั้นแรงงานโดยชี้ให้เห็นว่า
ปัญหาอาชญากรรมเกิดจากระบบทุนนิยม เนื่องจากระบบทุนนิยมสร้างความแตกต่างระหว่างชนชั้น ชนชั้น
สูงจะมีเอกสิทธิ์ต่างๆมากกว่าชนชั้นล่าง ประกอบกับการเผยแพร่ของสื่อมวลชนที่ทำให้เห็นความแตกต่าง
ของคนในสังคมคนที่มีฐานะร่ำรวยล้วนมีความสุข ชีวิตความเป็นอยู่สะดวกสบายหรูหราฟุ้งเฟ้อ ขณะที่
ชนชั้นล่างมีความเป็นอยู่ที่ขัดสนจึงทำเกิดความต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิตให้มีความสุขเช่นเดียวกันโดยใช้
1-30
วิธีการต่างๆที่อาจฝ่าฝืนกฎหมายเพื่อให้ตนเองบรรลุถึงเป้าหมายในทัศนะของกลุ่มมาร์กซิสต์มองว่า“ผู้ที่
ได้รับผลประโยชน์จากผลผลิตส่วนเกินของสังคมคืออาชญากร” และ “อาชญากรรมคือผลสะท้อนของการ
ต่อสู้ทางชนชั้น”
อาชญาวิทยาแนววิพากษ์ (Critical criminology) เป็นการศึกษาอาชญาวิทยาที่ขยายผลมาจาก
แนวความคิดเรื่องความขัดแย้งของโครงสร้างสังคมของกลุ่มมาร์กซิสต์ แต่ไม่ได้มุ่งเน้นประเด็นเรื่องความ
ขัดแย้งเชิงโครงสร้างทางสังคมอาชญาวิทยาแนววิพากษ์มองปัญหาว่ามีกระบวนการปลูกฝังความคิดความ
เชื่อและอุดมการณ์ผ่านทางกลไกต่างๆของสังคมเพื่อครอบงำความคิดของคนในสังคมรวมทั้งการใช้กลไก
ทางอุดมการณ์ในการเปลี่ยนแปลงสังคมอาชญาวิทยาแนววิพากษ์จึงพยายามที่จะวิเคราะห์เพื่อให้เกิดความรู้
ความเข้าใจสภาพที่เป็นอยู่ สภาพแห่งการครอบงำทางความคิดการครอบงำจิตสำนึก และการครอบงำทาง
อุดมการณ์เพื่อที่จะหาทางปลดปล่อยตนเองให้หลุดพ้นจากการครอบงำนั้นอาชญาวิทยาแนววิพากษ์เชื่อว่า
อาชญากรรมมีสาเหตุมาจากความเหลื่อมล้ำทางสังคมแบบทุนนิยมคนรวยมักไม่ได้รับการลงโทษหรือได้รับ
การลงโทษเบากว่าคนจนอาชญาวิทยาแนววิพากษ์จึงให้ความสำคัญต่อกระบวนการใหม่ๆที่เป็นทางเลือกใน
การแก้ปัญหามากกว่าการแก้ปัญหาตามกระแสหลัก
อาชญาวิทยาแนวหลังสมัยใหม่ (Postmoderncriminology) เป็นการศึกษาอาชญาวิทยาของกลุ่ม
นักคิดหลังสมัยใหม่(Postmodernism)อย่างเช่นJeanFrancoisLyotard,FredericJameson,Jean
BaudrillardและMichaelFoucaultที่ปฏิเสธวิธีการของสังคมสมัยใหม่ที่เคร่งครัดในกฎเกณฑ์เคร่งครัด
ในรูปแบบระเบียบวิธีในการแสงหาความรู้ปฏิเสธโครงสร้างใหญ่แห่งการอธิบายปรากฏการณ์ตามที่ได้วาง
กรอบไว้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์หรือกรอบแห่งมายาคติของขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม
อาชญาวิทยาแนวหลังสมัยใหม่สนใจว่า อาชญากรรมสามารถพัฒนาความรู้สึกจากสิ่งที่มนุษย์มี
สัมพันธภาพต่อกันอยู่ไปสู่การตัดขาดสัมพันธภาพและลดทอนความเป็นมนุษย์(dehumanized)ได้อย่างไร
ซึ่งการค้นพบนัยความหมายที่อยู่เบื้องหลังพัฒนาการดังกล่าวนี้จะช่วยส่งสัญญาณกระตุ้นให้เกิดการนำวิธี
การควบคุมทางสังคมแบบประนอมข้อพิพาทอย่างไม่เป็นทางการเช่นการควบคุมโดยกลุ่มชุมชนเพื่อนบ้าน
ฯลฯมาใช้แทนระบบกฎหมายและการใช้ประบวนการยุติธรรมหลัก(จุฑารัตน์เอื้ออำนวย2551)
อาชญาวิทยาแนวสตรีนิยม(Feministcriminology)เป็นการศึกษาอาชญาวิทยาโดยกลุ่มแนวคิดที่
เน้นความเท่าเทียมและความไม่เท่าเทียมกันระหว่างเพศหญิงและเพศชายโดยมีพื้นฐานแนวคิดว่าสังคมส่วน
ใหญ่เพศชายมีอำนาจเหนือกว่าเพศหญิงเพศชายเป็นผู้ออกกฎหมายกฎเกณฑ์ต่างๆจึงออกกฎหมายและ
กฎเกณฑ์ที่ทำให้เพศชายได้เปรียบแต่เพศหญิงเสียเปรียบตัวอย่างเช่นกฎหมายเกี่ยวกับการข่มขืนและให้
ความสนใจในประเด็นเรื่องเหยื่ออาชญากรรมที่เป็นเพศหญิง
อาชญาวิทยาแนวสันติวิธี (Peacekeeping criminology) เป็นการศึกษาอาชญาวิทยาโดยกลุ่มนัก
อาชญาวิทยาชาวอเมริกันชื่อPepinkyandQuinnyที่สร้างอาชญาวิทยาแนวสันติวิธีขึ้นมาโดยการตั้งคำถาม
ว่า“สงครามอาชญากรรมทำให้สิ่งต่างๆเลวร้ายลงได้อย่างไร”ซึ่งเขาได้พบคำตอบว่า“...เหตุที่หนทางแก้
ปัญหาอาชญากรรมที่ผ่านมาไม่ได้ให้ความสำคัญต่อชุมชนรากเหง้าที่เกิดอาชญากรรมรวมทั้งไม่ได้ให้ความ
สำคัญต่อการสร้างรากฐานความสงบภายในจิตใจแก่ผู้คนในสังคมจึงทำให้อาชญากรรมที่เกิดขึ้น ไม่ได้รับ
1-31
การป้องกันแก้ไขอย่างตรงประเด็น...” กลุ่มนักอาชญาวิทยาแนวสันติวิธี จึงได้เสนอทางเลือกแทนการมอง
ปัญหาอาชญากรรมแบบคู่สงครามและความขัดแย้ง(จุฑารัตน์เอื้ออำนวย2551)
Fuller(อ้างในจุฑารัตน์เอื้ออำนวย2548)อธิบายว่าแนวคิดสันติวิธีพยายามรวบรวมการปฏิบัติ
งานยุติธรรมและวิชาการด้านอาชญาวิทยาเข้าด้วยกัน เพื่อนเน้ถึงวามเป็นธรรมทางสังคมการแก้ไขปัญหา
ความขัดแย้งการแก้ไขฟื้นฟูและความร่วมมือกันของสถาบันต่างๆว่ามีส่วนสำคัญในการพัฒนาความหมาย
และความสันติสุขของชุมชน
อาชญาวิทยาแนวบูรณาการ (IntegratedCriminology) เป็นการศึกษาอาชญาวิทยาโดยการนำ
ทฤษฎีและโมเดลทางทฤษฎีเดิมที่มีอยู่และเป็นทฤษฎีที่มีลักษณะเฉพาะของตนเอง ตั้งแต่สองทฤษฎีและ
สองโมเดลขึ้นไปมาประยุกต์ใช้ในการอธิบายปัญหาอาชญากรรมและการแก้ไข โดยนำทฤษฎีและโมเดล
ตั้งแต่สองโมเดลมาสร้างความสัมพันธ์ต่อกันเพื่อนำไปสู่การอธิบายปัญหาอาชญากรรมและการแก้ไข
(โปรดอ่านเนื้อหาสาระโดยละเอียดใน
(1)จุฑารัตน์ เอื้ออำนวย (2551) สังคมวิทยาอาชญากรรมกรุงเทพมหานครสำนักพิมพ์แห่ง
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
(2)ชาย เสวิกุล (2517) อาชญาวิทยาและทัณฑวิทยา กรุงเทพมหานคร โรงพิมพ์มหาวิทยาลัย
ธรรมศาสตร์
(3)อภิรัตน์เพ็ชรศิริ(2552)ทฤษฎีอาญากรุงเทพมหานครสำนักพิมพ์วิญญูชน
(4)EncyclopediaBritannicaCesare_Beccaria.
(5)WalterCReckless.(1967).TheCrimeProblem,4thed.,NewYork:Meredith.
(6)Carrabine,Eamonn.,Cox,Pam.,Lee,Maggy,Plummer,Ken., South,Nigel. (2009).
Criminology:ASociologicalIntroduction.NewYork:Routledge.
(7)Lilly,RobertJ.Cullen,FrancisT.andBall,RichardA.(2007).CriminologyTheory:
ContextandConsequences.ThousandOaks:SagePublications.
(8)Morrison,Wayne.(2006).Criminology,Civilisation&TheNewWordOrder.Oxon:
RoutledgeCavendish.
(9)Tibbetts, Stephen G. and Hemmens, Craig. (2010). Criminological Theory.
LosAngeles:SagePublications,Inc.
(10)WillemH.Nagel. (1968).“OnCriminologist.” inCrimeandCulture,ed.,Marwin
E.Wolfgang.NewYork:JohnWileyandSons.)
1-32
กิจกรรม1.2.3
ให้นกัศกึษาอธบิายถงึแนวคดิของอาชญาวทิยาแนวหลงัสมยัใหม่(Postmoderncriminology)
บันทึกคำตอบกิจกรรม1.2.3
(โปรดตรวจคำตอบจากแนวตอบในแนวการศึกษาหน่วยที่1ตอนที่1.2กิจกรรม1.2.3)
1-33
แนวตอบกิจกรรมหน่วยที่1
ประวัติความเป็นมาและวิวัฒนาการของกฎหมายอาญา
และอาชญาวิทยา
ตอนที่1.1ประวัติความเป็นมาและวิวัฒนาการของกฎหมายอาญา
แนวตอบกิจกรรม1.1.1
“ทฤษฎีกฎหมายสามชั้น”อธิบายวิวัฒนาการของกฎหมายโดยแบ่งเป็นยุคดังนี้
1)ยคุกฎหมายชาวบา้น(Volksrecht)กฎหมายในยคุนี้เปน็กฎเกณฑ์ความประพฤติที่ปรากฏ
ออกมาในรูปของขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นประเพณีง่ายๆที่รู้กันโดยทั่วไปเพราะเป็นกฎเกณฑ์ที่ตกทอด
กันมาแต่โบราณที่เรียกว่า “Thegood old law” กฎเกณฑ์ที่ว่านี้เกิดขึ้นมาจากเหตุผลธรรมดาของสามัญ
ชนหรือสามัญสำนึกที่เรียกกันเป็นภาษาอังกฤษว่า “Simple natural reason” เป็นความรู้สึกผิดชอบชั่วดี
ที่เกิดจากการประพฤติปฏิบัติติดต่อกันมาเป็นเวลานาน
2)ยุคหลักกฎหมายหรือยุคกฎหมายของนักกฎหมาย (Juristenrecht) เป็นยุคที่กฎหมาย
เจริญขึ้นต่อจากยุคแรก โดยมีการใช้เหตุผลชั่งตรองเพื่อชี้ขาดข้อพิพาท เป็นเหตุผลปรุงแต่งทางกฎหมาย
(Artificial Juristic reason) ที่ปรุงแต่งขึ้นจากหลักดั้งเดิมในยุคแรกทำให้เกิดหลักกฎหมายขึ้นจากการ
ชี้ขาดข้อพิพาทในคดีเป็นเรื่องๆติดต่อกัน วิชานิติศาสตร์จึงได้ก่อตัวค่อยๆ เจริญเติบโตขึ้น เป็นผลทำให้
เกิดองค์กรตุลาการและวิชาชีพนักกฎหมายขึ้นหลักกฎหมายที่เกิดขึ้นจึงเรียกว่ากฎหมายของนักกฎหมาย
เพราะนักกฎหมายเป็นผู้มีวินิจฉัยปรุงแต่งขึ้นให้เหมาะสมกับข้อเท็จจริงในแต่ละเรื่องแต่ละคดี
3)ยุคกฎหมายเทคนิค(Technical law)กฎหมายในยุคนี้เกิดจากการบัญญัติกฎหมายขึ้น
เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะเจาะจงในบางเรื่อง ทั้งนี้ เนื่องจากสังคมสลับซับซ้อน ข้อขัดแย้งในสังคมมีมากขึ้นและ
เป็นข้อขัดแย้งที่ต่างจากปัญหาในอดีต การจะรอให้ประเพณีค่อยๆพัฒนาตัวเองขึ้นมาย่อมไม่ทันกับ
เหตุการณ์เฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นโดยปัจจุบันทันด่วน จึงต้องมีการบัญญัติกฎหมายขึ้นเป็นพิเศษด้วยเหตุผล
ทางเทคนิค(Technicalreason)กฎหมายเทคนิคจึงมิได้เกิดจากศีลธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีโดยตรง
แต่เป็นเหตุผลทางเทคนิคสำหรับเรื่องนั้นๆ
1-34
แนวตอบกิจกรรม1.1.2
การศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายแบบตำนานตามแนวทฤษฎีกฎหมายของสำนักกฎหมายบ้านเมือง
(LegalPostivism)
คำว่า “Legal Positivism” เป็นคำที่แปลมาจากศัพท์ดังเดิมในภาษาเยอรมันที่เรียกว่า
Rechtspostitvismusหมายถึงความคิดที่ถือว่ากฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในบ้านเมือง(Positivelaw)เท่านั้น
ที่เป็นกฎหมายที่แท้จริง ด้วยเหตุนี้จึงถือว่าเฉพาะกฎหมายบ้านเมืองเท่านั้นที่ควรจะเป็นวัตถุ (object) ที่
ศึกษาส่วนศีลธรรมความยุติธรรมหรือที่เรียกว่ากฎหมายธรรมชาตินั้นมิใช่กฎหมายจึงอยู่นอกขอบข่าย
การศึกษาของนักนิติศาสตร์โดยสิ้นเชิงความคิดแบบLegal Positivism ได้มีการสอนในประเทศอังกฤษ
โดยนักปราชญ์คนสำคัญทางวิชาการนิติศาสตร์ของอังกฤษท่านหนึ่งชื่อ JohnAustin (ค.ศ. 1790-1859)
คำสอนของJohnAustinเป็นที่ยอมรับอย่างมากในวงการกฎหมายของอังกฤษเมื่อนักเรียนไทยไปศึกษา
กฎหมายจึงได้รับแนวความคิดนี้มาสอนต่อในโรงเรียนกฎหมายด้วยดังที่มีการบรรยายความหมายของคำ
ว่ากฎหมายว่า“กฎหมายคือคำสั่งทั้งหลายของผู้ปกครองว่าการแผ่นดินต่อราษฏรทั้งหลายเมื่อไม่ทำตาม
แล้วตามธรรมดาต้องโทษ”
เมื่อมีการตั้งคณะนิติศาสตร์และมีการสอนวิชาประวัติศาสตร์กฎหมายการให้ความหมายของคำว่า
“กฎหมาย”จึงได้รับการสอนต่อๆมาต่อมาอิทธิพลของกฎหมายอังกฤษได้ค่อยๆลดความสำคัญลงไปเมื่อ
ประเทศไทยตัดสินใจจะจัดทำระบบกฎหมายแบบภาคพื้นยุโรปได้จ้างนักกฎหมายชาวญี่ปุ่นและฝรั่งเศสมา
เป็นที่ปรึกษาช่วยงานโรลังยัคมินส์ซึ่งเป็นชาวเบลเยี่ยมและทำหน้าที่ที่ปรึกษาราชการแผ่นดินอยู่ในเวลานั้น
แต่ก่อนที่จะตัดสินใจจัดทำประมวลกฎหมายตามแบบอย่างของประเทศซีวิลลอว์(CivilLaw)
แนวตอบกิจกรรม1.1.3
วัตถุประสงค์กฎหมายอาญา คือ คุ้มครองส่วนได้เสียของสังคมให้พ้นจากการประทุษร้ายต่างๆ
กฎหมายอาญาจึงเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม
ความมุ่งหมายของกฎหมายอาญา
กฎหมายอาญามีความมุ่งหมายในอันที่จะคุ้มครองประโยชน์ของส่วนรวมให้พ้นจากการประทุษร้าย
โดยอาศัยการลงโทษเป็นมาตรการสำคัญ รัฐมีเหตุผลและความชอบธรรมในการใช้อำนาจลงโทษผู้กระทำ
ความผิดโดยประกอบกับเหตุผลหลักๆ3ประการคือ
1)หลักความยุติธรรม
2)หลักป้องกันสังคม
3)หลักผสมระหว่างหลักความยุติธรรมและหลักป้องกันสังคม
โดยในการใช้อำนาจในการลงโทษของรัฐนั้นอำนาจในการลงโทษของรัฐนั้นอยู่ในข้อจำกัดโดย
บทบัญญัติของกฎหมายกล่าวคือ
1-35
1)โทษนั้นจะต้องเป็นไปตามกฎหมาย
2)ในความผิดที่กฎหมายกำหนดโทษขั้นสูงไว้ รัฐจะลงโทษผู้กระทำความผิดเกินกว่านั้น
ไม่ได้เว้นแต่จะมีเหตุเพิ่มโทษตามกฎหมาย
3)ในความผิดที่กฎหมายกำหนดโทษขั้นต่ำไว้รัฐจะลงโทษผู้กระทำความผิดต่ำกว่านั้นไม่ได้
เว้นแต่จะมีเหตุลดโทษตามกฎหมาย
4)ในความผิดที่กฎหมายกำหนดโทษขั้นต่ำไว้และขั้นสูงไว้ รัฐมีอำนาจลงโทษได้ตามที่เห็น
สมควรในระหว่างโทษขั้นต่ำและขั้นสูงนั้น
ตอนที่1.2ประวัติความเป็นมาและวิวัฒนาการของอาชญาวิทยา
แนวตอบกิจกรรม1.2.1
ความหมายของอาชญาวิทยา “อาชญาวิทยาเป็นวิชาที่ศึกษาถึงอาชญากรรมในฐานะที่เป็นปรากฏ-
การณ์ของสังคม อันจะต้องศึกษาถึงแนวทางแห่งการบัญญัติกฎหมายความประพฤติที่ละเมิดกฎหมาย
และการดำเนินการของสังคมต่อผู้ละเมิดกฎหมาย”
แนวตอบกิจกรรม1.2.2
ซีซาร์เบ็คคาเรียแสดงทัศนะของตนไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า“OnCrimesandPunishments”
เบ็คคาเรียคัดค้านการใช้อำนาจรัฐ โดยอ้างถึงทฤษฎีสัญญาประชาคม เบ็คคาเรียเรียกร้องให้มีการเปลี่ยน
อำนาจรัฐโดยแยกตัวออกมาจากระบบอำนาจตามขนบธรรมเนียมเดิมที่อำนาจเป็นของเจ้าขุนมูลนายและ
ฝ่ายศาสนาโดยให้เปลี่ยนมาเป็นอำนาจของสภานิติบัญญัติซึ่งเป็นของตัวแทนประชาชนและอำนาจในการ
ออกกฎหมายเป็นของสภานิติบัญญัติและเป็นการออกกฎหมายอย่างมีเหตุผลรองรับ
เบ็คคาเรียเรียกร้องให้ศาลมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาคดีเท่านั้น แต่ไม่ให้มีอำนาจในการออก
กฎหมายและไม่สามารถกำหนดโทษได้ตามอำเภอใจ
สำหรับเรื่องการลงโทษ เบ็คคาเรียเห็นว่า มนุษย์มีอิสระในการคิดและตัดสินใจที่จะทำอะไรซึ่ง
เป็นแนวคิดที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีเจตจำนงอิสระ (FreeWill) ดังนั้น เมื่อมนุษย์กระทำสิ่งใดลงไป
เขาต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของเขา และหากเขาประกอบอาชญากรรม เขาก็สมควรที่จะต้องได้รับโทษ
การลงโทษมีไว้เพื่อข่มขู่ยับยั้งผู้กระทำผิด เบ็คคาเรียเห็นว่า การลงโทษจะต้องมีความแน่นอนการลงโทษ
จะต้องทำด้วยความรวดเร็วและการลงโทษจะต้องได้สัดส่วนกับอาชญากรรม
เบค็คาเรยีแสดงทศันะที่สำคญัยิง่ตอ่การเมอืงการปกครองกฎหมายและกระบวนการยตุธิรรมไว้วา่
“ทุกคนควรเท่ากันในทัศนะของกฎหมาย”และที่สำคัญอีกประการหนึ่งเบ็คคาเรียได้กล่าวถึงหัวใจสำคัญของ
กฎหมายอาญาและอาชญาวิทยาไว้ว่า“ไม่มีอาชญากรรมเมื่อไม่มีกฎหมาย”(nullumcriemensiglego)
1-36
แนวตอบกิจกรรม1.2.3
อาชญาวิทยาแนวหลังสมัยใหม่ (Postmoderncriminology) เป็นการศึกษาอาชญาวิทยาของกลุ่ม
นักคิดหลังสมัยใหม่(Postmodernism)อย่างเช่นJeanFrancoisLyotard,FredericJameson,Jean
BaudrillardและMichaelFoucaultที่ปฏิเสธวิธีการของสังคมสมัยใหม่ที่เคร่งครัดในกฎเกณฑ์เคร่งครัด
ในรูปแบบระเบียบวิธีในการแสงหาความรู้ปฏิเสธโครงสร้างใหญ่แห่งการอธิบายปรากฏการณ์ตามที่ได้วาง
กรอบไว้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์หรือกรอบแห่งมายาคติของขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม
อาชญาวิทยาแนวหลังสมัยใหม่สนใจว่า อาชญากรรมสามารถพัฒนาความรู้สึกจากสิ่งที่มนุษย์มี
สัมพันธภาพต่อกันอยู่ไปสู่การตัดขาดสัมพันธภาพและลดทอนความเป็นมนุษย์(dehumanized)ได้อย่างไร
ซึ่งการค้นพบนัยความหมายที่อยู่เบื้องหลังพัฒนาการดังกล่าวนี้ จะช่วยส่งสัญญาณกระตุ้นให้เกิดการนำ
วิธีการควบคุมทางสังคมแบบประนอมข้อพิพาทอย่างไม่เป็นทางการเช่นการควบคุมโดยกลุ่มชุมชนเพื่อน
บ้านฯลฯมาใช้แทนระบบกฎหมายและการใช้ประบวนการยุติธรรมหลัก
1-37
แบบประเมินผลตนเองหลังเรียน
วัตถุประสงค์ เพื่อประเมินความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของนักศึกษาเกี่ยวกับเรื่อง “ประวัติ ความเป็นมา
และวิวัฒนาการของกฎหมายอาญาและอาชญาวิทยา”
คำแนะนำ อ่านคำถามแล้วเขียนคำตอบลงในช่องว่างนักศึกษามีเวลาทำแบบประเมินชุดนี้30นาที
1. จงอธิบายทฤษฎีกฎหมายสามชั้น
2.จงอธิบายความมุ่งหมายของกฎหมายอาญา
3.ลักษณะเฉพาะของวิชาอาชญาวิทยา
4. จงอธิบายแนวคิดของซีซาร์เบ็คคาร์เรียในส่วนที่เกี่ยวกับกำเนิดอาชญาวิทยา
1-38
เฉลยแบบประเมินผลตนเองหน่วยที่1
ก่อนเรียนและหลังเรียน1. ทฤษฎีกฎหมายสามชั้นอธิบายวิวัฒนาการของกฎหมายโดยแบ่งเป็นยุคดังนี้
1)ยคุกฎหมายชาวบา้น(Volksrecht)กฎหมายในยคุนี้เปน็กฎเกณฑ์ความประพฤติที่ปรากฏ
ออกมาในรูปของขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นประเพณีง่ายๆที่รู้กันโดยทั่วไปเพราะเป็นกฎเกณฑ์ที่ตกทอด
กันมาแต่โบราณที่เรียกว่า “Thegood old law” กฎเกณฑ์ที่ว่านี้เกิดขึ้นมาจากเหตุผลธรรมดาของสามัญ
ชนหรือสามัญสำนึกที่เรียกกันเป็นภาษาอังกฤษว่า “Simple natural reason” เป็นความรู้สึกผิดชอบชั่วดี
ที่เกิดจากการประพฤติปฏิบัติติดต่อกันมาเป็นเวลานานยุคนี้กฎหมายกับศีลธรรมยังไม่ได้แยกจากกันโดย
ชัดแจ้ง การกระทำผิดกฎหมายในยุคโบราณย่อมเป็นการฝ่าฝืนศีลธรรมด้วยกฎหมายในยุคนี้จึงเป็นเรื่อง
ที่ประชาชนสามารถรู้ได้ด้วยสามัญสำนึกของตนเองว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก
2)ยุคหลักกฎหมายหรือยุคกฎหมายของนักกฎหมาย (Juristenrecht) เป็นยุคที่กฎหมาย
เจริญขึ้นต่อจากยุคแรก โดยมีการใช้เหตุผลชั่งตรองเพื่อชี้ขาดข้อพิพาท เป็นเหตุผลปรุงแต่งทางกฎหมาย
(Artificial Juristic reason) ที่ปรุงแต่งขึ้นจากหลักดั้งเดิมในยุคแรกทำให้เกิดหลักกฎหมายขึ้นจากการ
ชี้ขาดข้อพิพาทในคดีเป็นเรื่องๆติดต่อกัน วิชานิติศาสตร์จึงได้ก่อตัวค่อยๆ เจริญเติบโตขึ้น เป็นผลทำให้
เกิดองค์กรตุลาการและวิชาชีพนักกฎหมายขึ้นหลักกฎหมายที่เกิดขึ้นจึงเรียกว่ากฎหมายของนักกฎหมาย
เพราะนักกฎหมายเป็นผู้มีวินิจฉัยปรุงแต่งขึ้นให้เหมาะสมกับข้อเท็จจิงในแต่ละเรื่องแต่ละคดีหลักกฎหมาย
จึงเป็นสิ่งที่ต้องศึกษาเล่าเรียนจึงจะรู้ได้ ไม่เหมือนกฎหมายประเพณีซึ่งเกิดจากเหตุผลธรรมดาสามัญที่ใช้
สามัญสำนึกค้นคิดก็สามารถจะรู้ได้
3)ยุคกฎหมายเทคนิค(Technicallaw)กฎหมายในยุคนี้เกิดจากการบัญญัติกฎหมายขึ้น
เพือ่แก้ปญัหาเฉพาะเจาะจงในบางเรือ่งทัง้นี้เนือ่งจากสงัคมสลบัซบัซอ้นขอ้ขดัแยง้ในสงัคมมีมากขึน้และเปน็
ข้อขัดแย้งที่ต่างจากปัญหาในอดีตการจะรอให้ประเพณีค่อยๆพัฒนาตัวเองขึ้นมาย่อมไม่ทันกับเหตุการณ์
เฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นโดยปัจจุบันทันด่วน จึงต้องมีการบัญญัติกฎหมายขึ้นเป็นพิเศษด้วยเหตุผลทางเทคนิค
(Technical reason) กฎหมายเทคนิคจึงมิได้เกิดจากศีลธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีโดยตรง แต่เป็น
เหตุผลทางเทคนิคสำหรับเรื่องนั้นๆ
2. ความมุ่งหมายของกฎหมายอาญากฎหมายอาญามีความมุ่งหมายในอันที่จะคุ้มครองประโยชน์
ของส่วนรวมให้พ้นจากการประทุษร้ายโดยอาศัยการลงโทษเป็นมาตรการสำคัญรัฐมีเหตุผลและความชอบ
ธรรมในการใช้อำนาจลงโทษผู้กระทำความผิดโดยประกอบกับเหตุผลหลักๆ3ประการคือ
1)หลักความยุติธรรม
2)หลักป้องกันสังคม
3)หลักผสมระหว่างหลักความยุติธรรมและหลักป้องกันสังคม
1-39
โดยในการใช้อำนาจในการลงโทษของรัฐนั้นอยู่ในข้อจำกัดโดยบทบัญญัติของกฎหมายกล่าวคือ
1)โทษนั้นจะต้องเป็นไปตามกฎหมาย
2)ในความผิดที่กฎหมายกำหนดโทษขั้นสูงไว้ รัฐจะลงโทษผู้กระทำความผิดเกินกว่านั้นไม่
ได้เว้นแต่จะมีเหตุเพิ่มโทษตามกฎหมาย
3)ในความผิดที่กฎหมายกำหนดโทษขั้นต่ำไว้รัฐจะลงโทษผู้กระทำความผิดต่ำกว่านั้นไม่ได้
เว้นแต่จะมีเหตุลดโทษตามกฎหมาย
4)ในความผิดที่กฎหมายกำหนดโทษขั้นต่ำไว้และขั้นสูงไว้ รัฐมีอำนาจลงโทษได้ตามที่เห็น
สมควรในระหว่างโทษขั้นต่ำและขั้นสูงนั้น
3. ลักษณะเฉพาะของวิชาอาชญาวิทยา
ลักษณะแรก วิชาอาชญาวิทยา มีลักษณะเป็นสหวิทยาการ (Interdisciplinary science)
อาชญากรรมมีสาเหตุมาจากปัจจัยด้านต่างๆเช่นชีววิทยาจิตวิทยาสังคมวิทยามานุษยวิทยาวิทยาศาสตร์
รัฐศาสตร์เศรษฐศาสตร์นิติศาสตร์ประวัติศาสตร์ฯลฯการอธิบายสาเหตุแห่งอาชญากรรมต้องอาศัยความรู้
จากศาสตร์ต่างๆ หลายๆศาสตร์ร่วมกันอธิบาย ไม่สามารถใช้ศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่งอธิบายได้ครบถ้วน
ในตัวเองเราจึงกล่าวว่าอาชญาวิทยาเป็นสหวิทยาการ
ลักษณะที่สองวิชาอาชญาวิทยาเป็นวิชาที่สามารถศึกษาได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์(Scientific
methodofstudy)เราสามารถศกึษาพฤตกิรรมการกระทำผดิของบคุคลได้โดยการใช้วธิีการทางวทิยาศาสตร์
ในการสังเกตการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิเคราะห์ข้อมูลและการสร้างข้อสรุปทำให้ความรู้ที่ได้มีความเชื่อ
ถือได้ตัวอย่างเช่นการศึกษาพฤติกรรมการกระทำผิดซ้ำของฆาตกรต่อเนื่อง
ลักษณะที่สาม วิชาอาชญาวิทยาเป็นวิชาที่ไม่มีขอบเขตแน่ชัด เนื่องจากวิชาอาชญาวิทยาสามารถ
ศึกษาได้จากมุมมองจากศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่ง แล้วอาจนำศาสตร์อื่นๆ มาร่วมอธิบาย โดยไม่มีข้อจำกัดว่า
จะใช้ศาสตร์ใดก่อนหลัง ศาสตร์ใดเป็นหลักศาสตร์ใดเป็นรอง ไม่มีข้อจำกัดว่าต้องใช้ศาสตร์กี่ศาสตร์มา
อธิบาย ข้อสำคัญอยู่ที่การค้นหาคำตอบเพื่ออธิบายให้ได้ว่า อาชญากรรมและการกระทำผิดนั้นมีลักษณะ
เป็นอย่างไร สาเหตุของอาชญากรรมและการกระทำผิดนั้นคืออะไร วิธีการแก้ไขอาชญากรรมและการ
กระทำผิดนั้นควรทำอย่างไร
4. แนวคิดของเบ็คคาเรียในส่วนที่เกี่ยวกับอาชญาวิทยา
เบ็คคาเรียคัดค้านการใช้อำนาจรัฐโดยอ้างถึงทฤษฎีสัญญาประชาคมเบ็คคาเรียเรียกร้องให้ทบทวน
วตัถปุระสงค์ของการลงโทษเพือ่การจดัระเบยีบสงัคมเบค็คาเรยีคดัคา้นการลงโทษที่ไม่เปน็ธรรมและคดัคา้น
การลงโทษประหารชีวิต เบ็คคาเรียเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนอำนาจรัฐ โดยแยกตัวออกมาจากระบบอำนาจ
ตามขนบธรรมเนียมเดิมที่อำนาจเป็นของเจ้าขุนมูลนายและฝ่ายศาสนาโดยให้เปลี่ยนมาเป็นอำนาจของสภา
นิติบัญญัติซึ่งเป็นของตัวแทนประชาชนและอำนาจในการออกกฎหมายเป็นของสภานิติบัญญัติและเป็นการ
ออกกฎหมายอย่างมีเหตุผลรองรับนอกจากนี้ เบ็คคาเรียยังเรียกร้องให้ศาลมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณา
คดีเท่านั้นแต่ไม่ให้มีอำนาจในการออกกฎหมายและไม่สามารถกำหนดโทษได้ตามอำเภอใจ
1-40
สำหรับเรื่องการลงโทษเบ็คคาเรียเห็นว่ามนุษย์มีอิสระในการคิดและตัดสินใจที่จะทำอะไรซึ่งเป็น
แนวคิดที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของ“ทฤษฎีเจตจำนงอิสระ”(FreeWill)ดังนั้นเมื่อมนุษย์กระทำสิ่งใดลงไปเขา
ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของเขาและหากเขาประกอบอาชญากรรมเขาก็สมควรที่จะต้องได้รับโทษการ
ลงโทษมีไว้เพื่อข่มขู่ยับยั้งผู้กระทำผิดเบ็คคาเรียเห็นว่าการลงโทษจะต้องมีความแน่นอนการลงโทษจะต้อง
ทำด้วยความรวดเร็วและการลงโทษจะต้องได้สัดส่วนกับอาชญากรรมเบ็คคาเรียแสดงทัศนะที่สำคัญยิ่งต่อ
การเมืองการปกครองกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมไว้ว่า “ทุกคนควรเท่ากันในทัศนะของกฎหมาย”
และที่สำคัญอีกประการหนึ่ง เบ็คคาเรียได้กล่าวถึงหัวใจสำคัญของกฎหมายอาญาและอาชญาวิทยาไว้ว่า
“ไม่มีอาชญากรรมเมื่อไม่มีกฎหมาย”(nullumcriemensiglego)