Chiang RaiTravel

Destinations

วัดร่องขุ่นWat Rongkhun

เป็นวัดพุทธและวัดฮินดู ที่จังหวัด

เชียงราย ออกแบบและก่อสร้างโดย

เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2540

จนถึงปัจจุบัน โดยเฉลิมชัยคาดว่างาน

ก่อสร้างวัดร่องขุ่นจะไม่เสร็จลงภายในช่วง

ชีวิตของเขา วัดร่องขุ่นได้ต้นแบบการสร้าง

มาจาก วัดมิ่งเมือง ใน จังหวัดน่าน

เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ได้รับแรง

บันดาลใจในการสร้างวัดมาจาก 3 สิ่งต่อ

ไปนี้คือ

ชาติ : ด้วยความรักบ้านเมือง รัก

งานศิลป์ จึงหวังสร้างงานศิลปะที่ยิ่งใหญ่

ไว้เป็นสมบัติของแผ่นดิน

ศาสนา : ธรรมะได้เปลี่ยนชีวิต

ของอาจารย์เฉลิมชัยจากจิตที่ร้อนกลาย

เป็นเย็น จึงขออุทิศตนให้แก่พระพุทธ

ศาสนา

พระมหากษัตริย์ : จากการเข้า

เฝ้าฯ ถวายงานพระองค์ท่านหลายครั้ง

ทำาให้อาจารย์เฉลิมชัยรักพระองค์ท่าน

มาก จากการพบเห็นพระอัจฉริยะภาพ

ทางศิลปะและพระเมตตาของพระองค์

ท่าน จนบังเกิดความตื้นตันและสำานึก

ในพระมหากรุณาธิคุณ จึงปรารถนาที่จะ

สร้างงานพุทธศิลป์ถวายเป็นงานศิลปะ

ประจำารัชกาลพระองค์ท่าน

วัดร่องขุ่นแห่งนี้เป็นวัดพุทธ ซึ่งสังกัดอยู่ในฝ่ายมหานิกาย ไม่ใช่วัดฮินดูเหมือนดังที่จั่วหัวไว้ในวรรคแรก ซึ่งนั่นการนำาเอาวัฒนธรรม

แวดล้อมของตัวเองเข้ามาผสมผสานหรือถูกอิทธิของศาสนาอื่นเข้ามาแทรกแซงบ้าง ก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ

ความหมายของอุโบสถ

สีขาว : พระบริสุทธิคุณของพระพุทธเจ้า

สะพาน : การเดินข้ามจากวัฎสงสารสู่พุทธภูมิ

เขี้ยว หรือ ปากพญามาร : กิเลสในใจ

สันของสะพาน : มีอสูรอมกัน ข้างละ 8 ตัว 2 ข้าง

รวมกันแทนอุปกิเลส 16

กึ่งกลางของสะพาน : เขาพระสุเมรุ

ดอกบัวทิพย์ : มี 4 ดอกใหญ่ตรงทางขึ้นด้านข้าง

อุโบสถแทนซุ้มพระอริยเจ้า 4 พระองค์ คือ พระโสดาบัน

พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์

บันไดทางขึ้น : มี 3 ขั้นแทน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

หอนาฬิกาเฉลิมพระเกียรติหอนาฬิกาหลังใหม่ของจังหวัดเชียงราย โดยความ

ร่วมมือระหว่างเทศบาลนครเชียงรายและอาจารย์

เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ตัวหอนาฬิกามีสีทอง มีเสียงระฆัง

บอกเวลาทุกชั่วโมง และที่สำาคัญเมื่อถึงเวลา 2 ทุ่มและ 3

ทุ่มของทุกวัน จะมีการเล่น แสง สี เสียงประกอบเพลง

เชียงรายรำาลึก หอนาฬิกาจะเปลี่ยนสีจากสีทอง เป็นสี

แดง ชมพู ฟ้า เขียว และอื่นๆ สลับกันไปมา ตรงกลาง

อาคารจะมีดอกบัวค่อยๆโผล่ออกมา และบานออกใน

ที่สุด เป็นที่ตื่นตาตื่นใจต่อนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและ

ชาวต่างชาติ ที่มาเฝ้ารอเวลานั้นๆ

Golden Clock Tower

พระตำาหนักดอยตุงDoi Tung Palace

พระตำาหนักดอยตุง ตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ 7 บ้านมูเซอลา

บา ตำาบลแม่ฟ้าหลวง อำาเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัด

เชียงราย บริเวณสันเขาของเทือกดอยนางนอน ระดับความ

สูงประมาณ 1,200 ม. เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาดอย

ตุง เป็นที่ประทับแปรพระราชฐานเพื่อทรงงานของสมเด็จ

พระศรีนครินทราบรมราชชนนี พระ-ตำาหนักเป็นอาคารสอง

ชั้น มีรูปทรงผสมผสานระหว่างศิลปะล้านนากับชาเลย์ของ

สวิส มีการแกะสลักไม้ตามกาแล เชิงชายและขอบหน้าต่าง

เป็นลวดลายต่าง ๆ ฝีมือช่างชาวเหนือ พระตำาหนักดอยตุง

ตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ 7 บ้านมูเซอลาบา ตำาบลแม่ฟ้าหลวง อำาเภอ

แม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย บริเวณสันเขาของเทือกดอย

นางนอน ระดับความสูงประมาณ 1,200 ม. เป็นส่วนหนึ่ง

ของโครงการพัฒนาดอยตุง

พระตำาหนักดอยตุงอยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงราย

60 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข 110 ไป 45 กิโลเมตร

แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 1149 ไปประมาณ 15

กิโลเมตร สำาหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางโดยรถประจำาทาง

สามารถใช้บริการรถสองแถวสีม่วงบริเวณปากทาง รถออก

ตั้งแต่ 07.00 น. มีรถออกทุก 20 นาที

วัดเวียงคำา กาขาวWat Wiang Kham - Ka Khaw

ตั้งอยู่บ้านเทอดไทย ต.แม่สลองใน อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย มีองค์พระทรงชัยรัตนพลังแผ่นดิน ขนาดหน้าตักกว้าง 8 เมตร สูง 10

เมตร อยู่บนอาคาร 3 ชั้น สามารถขึ้นไปเที่ยวชมวิวได้อีกจุดหนึ่ง

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงMae Fah Luang University

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงได้รับการสถาปนาเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐตามพระราชบัญญัติจัดตั้ง เมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2541

โดยมีสถานภาพเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐที่มิใช่ส่วนราชการ การดำาเนินการด้านต่างๆ ได้มีการพัฒนามาเป็นลำาดับ ด้วยความ

มั่นคงและมีคุณภาพ จวบจนถึงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรด

เกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชดำาเนินแทนพระองค์ประกอบพิธีเปิดมหาวิทยาลัยแม่ฟ้า

หลวง พิธีเปิดศูนย์ภาษาและวัฒนธรรมจีนสิรินธร และพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำาเร็จการศึกษาประจำาปีการศึกษา 2545 ยัง

ความปลื้มปิติสำานึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น

ภูชี้ฟ้าPhu Chee Fah

“ภูชี้ฟ้า” เป็นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ

ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของจังหวัดเชียงราย และ

เป็นจุดหมายปลายทางของนักเดินทางท่ีชอบ

ความสวยงามของธรรมชาติและยังพอเรี่ยวแรง

ที่ฝันอยากจะมาสัมผัสกับความงามของสถานที่

แห่งนี้สักครั้งในชีวิต

“ภูชี้ฟ้า” ถ้าพูดถึงความหนาวเย็นก็

คงจะไม่แตกตางอะไรมากหนักกับหลาย ๆ ดอย

สูงทางภาคเหนือของไทย แต่สิ่งหนึ่งที่อยู่คู่

กับยอดภูแห่งนี้มาตลอดและสร้างความประทับ

ใจให้กับผู้ที่มาพบเห็น ก็คือ ความสวยงาม

แปลกตาของหน้าผาสูงที่ยื่นเด่นลอยออกไปใน

อากาศ สายลมหนาวที่วูบผ่านมาแล้วเลยผ่าน

ไป ทิวทัศน์เบื้องล่างคือ ภาพทะเลหมอกและ

ภาพของดวงอาทิตย์สีแดง ที่กำาลังเบียดเสียด

แทรกตัวออกมาท่ามกลางทะเลหมอกหนา และ

หุบเขาน้อยใหญ่ ภาพความสวยงามต่าง ๆ

เหล่านี้ ได้กลายเป็นสิ่งที่ดึงดูดผู้คนมากมาย

ให้หลั่งไหลมาที่นี่ ในแต่ละปีเมื่อลมหนาว

มาเยือนจะมีนักท่องเที่ยวมากมายจากทั่วทุก

สารทิศ เดินทางมาสัมผัสกับอากาศหนาวและ

ชมความงามของทะเลหมอกยามเช้าท่ีภูชี้ฟ้า

อย่างไม่ขาดสาย

โดยเฉพาะช่วงวันหยุดยาว บนยอดดอยสูงแห่งนี้

แทบไม่มีที่ยืนถ่ายรูป ทะเลหมอกและพระอาทิตย์

ขึ้นยามเช้าที่ภูชี้ฟ้า ได้รับการกล่าวขานว่าสวยงาม

กว่าที่ใดๆ ในประเทศ บริเวณทางเดินขึ้นสู่ยอดภูชี้ฟ้า

เป็นทุ่งหญ้ากว้าง มีทุ่งดอกโคลงเคลงขึ้นแซมเป็น

ระยะ ออกดอกสีชมพูอมม่วงในช่วงเดือนกรกฎาคม –

มกราคม ช่วงเพิ่มความสวยงามให้กับยอดภูแห่งนี้ได้อีก

ไม่ใช่น้อย ระหว่างทางขึ้นมายังภูชี้ฟ้ายังต้องผ่านภูเขา

ที่มีวิวทิวทัศน์งดงาม หากมาในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์

จะได้ชมความงามของดงดอกเส้ียวที่ออกดอกสีขาวอม

ชมพูบานสะพรั่งระหว่างทางขึ้นสู่ภูชี้ฟ้า

สามเหลี่ยมทองคำาChiangrai Golden Triangle

สามเหลี่ยมทองคำา (Golden Triangle) หมายถึงพื้นที่รอยต่อระหว่างสามประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย (จังหวัดเชียงราย) ลาว

(แขวงบ่อแก้ว) และพม่า (แขวงท่าขี้เหล็ก, รัฐฉาน) มีลักษณะเป็นพื้นที่สามเหลี่ยมบรรจบกัน โดยมีแม่น้ำาโขงตัดผ่านชายแดน

ไทยและลาว นับเป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่สำาคัญแห่งหนึ่งของภูมิภาค นอกจากนี้สามเหลี่ยมทองคำายังมีทิวทัศน์ที่งดงามโดยเฉพาะยาม

เช้า ที่ดวงอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางสายหมอก เดิมสามเหลี่ยมทองคำาเป็นที่รู้จัก ในฐานะเป็นแหล่งท่องเที่ยวรอยต่อระหว่างประเทศ แต่ใน

ปัจจุบันมีความสำาคัญในทางเศรษฐกิจมากขึ้น เนื่องจากเป็นแหล่งขนถ่ายสินค้าที่สำาคัญอีกแห่งหนึ่งของไทย

สามเหลี่ยมทองคำาในส่วนของประเทศไทย อยู่ในเขตบ้านสบรวก

อำาเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย มีท่าเรือขนาดเล็กขนส่งสินค้าไปยังประเทศ

จีน และลาว เมื่อมองจากฝั่งไทยไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ จะเห็นหมู่บ้าน

ในฝั่งลาวอย่างชัดเจน ส่วนทางพม่าซึ่งอยู่ด้านตะวันตกนั้น ไม่มีหมู่บ้านหรือ

สิ่งก่อสร้างให้เห็นในระยะใกล้ๆ

บริเวณดังกล่าวยังเป็นที่บรรจบกันของแม่น้ำาโขงและแม่น้ำา

รวก ที่เรียกว่า สบรวก บริเวณนี้มีเคยมีชนกลุ่มน้อย และ

กองกำาลังติดอาวุธอยู่หลายกลุ่ม พื้นที่ในแถบนี้เคยเป็นแหล่ง

ปลูกฝิ่นและผลิตยาเสพติดแหล่งใหญ่ เช่น มีโรงงานผลิตเฮโรอีน

และกระจายอยู่ตามชายแดน ส่วนการลำาเลียงฝิ่นจะไปเป็น

ขบวนลัดเลาะไปตามไหล่เขาพร้อมกำาลังคุ้มกัน ว่ากันว่ายาเสพ

ติดและฝิ่นจะถูกแลกเปลี่ยนด้วยทองคำาในน้ำาหนักที่เท่ากัน จึง

เป็นที่มาของชื่อ สามเหลี่ยมทองคำา

นักท่องเท่ียวนิยมเดินทางไปยังสามเหลี่ยมทองคำาใน

ช่วงฤดูหนาว และไปถ่ายรูปกับป้าย "สามเหลี่ยมทองคำา" ที่

ติดตั้งไว้ริมฝั่งแม่น้ำาโขงด้วย นอกจากนี้ยังนิยมนั่งเรือเที่ยวชม

ทิวทัศน์จุดบรรจบของพรมแดนไทย ลาว และพม่า ค่าเช่าเรือ

ประมาณ 300-400 บาท (นั่งได้ 6 คน) นอกจากนี้ยังสามารถ

ล่องแม่น้ำาโขงไปเที่ยวทางตอนใต้ของประเทศจีน เช่น สิบสอง

ปันนา คุนหมิง ได้อีกด้วย แต่หากต้องการจะชมทิวทัศน์มุมกว้าง

ของสามเหลี่ยมทองคำาบริเวณสบรวกและเพื่อนบ้าน ต้องขึ้นไป

บนดอยเชียงเมี่ยง ที่อยู่ริมแม่น้ำาโขง