Upload
yukti-mukdawijitra
View
113
Download
1
Embed Size (px)
Citation preview
�1
หลักประกันของงานชาติพันธ์ุนิพนธ์!
"สรุปและเรียบเรียงจาก Jack Katz. (1997) “Ethnography’s Warrant” Sociological Methods
and Research. 25: 391-423."
"นักสังคมวิทยาซึ่งส่วนมากใช้วิธีการเชิงปริมาณ หาค่าสถิติ จะตอบได้ว่างานของตนหาแบบแผนบางอย่าง
ผลงานของนักสังคมวิทยาจึงได้แก่แบบแผนของพฤติกรรม แต่นักมานุษยวิทยาซึ่งเขียนงานชาติพันธ์ุ
นิพนธ์จะบอกว่างานตนเองแสดงอะไร เนื่องจากนักชาติพันธ์ุนิพนธ์ศึกษาความหมายจากผู้คน ศึกษา
ประสบการณ์ของผู้คน แล้วเล่าสิ่งเหล่านั้นออกมาอย่างมีรายละเอียด แต่สิ่งเหล่านั้นก็น่าจะเป็นสิ่งที่ผู้คนที่
นักชาติพันธ์ุนิพนธ์ศึกษารู้ๆ กันอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นงานของชาติพันธ์ุนิพนธ์ก็ไม่มีอะไรเลยอย่างนั้นหรือ
เพราะเพียงแค่เล่าซ้ําสิ่งที่เจ้าของวัฒนธรรมเล่ามาก็พอแล้ว ถ้าไม่ใช่ออย่างนั้นแล้วงานชาติพันธ์ุนิพนธ์
เขียนอะไร "
"สิ่งหนึ่งที่ทําให้งานชาติพันธ์ุนิพนธ์มีค่าคือ การนําเสนอสิ่งที่คนอ่านไม่รู้จัก คือการเขียนงานที่ผู้อ่านคือ
“พวกเรา” กําลังอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับ “พวกเขา” หรือคนอื่นที่อยู่ต่างถิ่น นั่นก็ทําให้งานชาติพันธ์ุนิพนธ์มี
ค่าขึ้นมาได้อย่างชัดเจน "
"ความแตกต่างที่สําคัญระหว่างคนที่นักชาติพันธ์ุนิพนธ์กับคนอ่านของชาติพันธ์ุนิพนธ์ประการหนึ่งคือสิ่งที่
เคทซ์เรียกว่า moral character หรืออาจแปลว่าลักษณะของคุณค่าเชิงศีลธรรมเฉพาะตัว ซึ่งคนที่นั่นมี
แต่นักชาติพันธ์ุนิพนธ์ไม่เคยรู้จักมาก่อน คนอ่านก็ไม่รู้จักมาก่อน คนอ่านงานชาติพันธ์ุนิพนธ์ซึ่งก็มักจะเป็น
คนชั้นกลาง ในเมือง ที่มีการศึกษาพอสมควร ดังนั้นงานชาติพันธ์ุนิพนธ์ที่จะเป็นที่สนใจได้แก่เรื่องราว
ใหม่ๆ ที่ให้รายละเอียดของผู้คนกลุ่มคนที่ถ้าไม่อยู่ในฐานะทางสังคมที่ต่ํามาก ก็เป็นชนชั้นสูง "
"ในการนั้น ประเด็นสําคัญที่ควรพิจารณาคือ หนึ่ง การพรรณนาคนที่แตกต่างกับคนที่คุ้นเคย ว่าแตกต่าง
กันอย่างไร สอง ความแตกต่างระหว่างการให้ภาพพฤติกรรมที่อยู่ในกรอบของสังคม กับพฤติกรรมที่อยู่
ในบริบทที่เฉพาะเจาะจง "
"ดังนั้นไม่ว่าจะอย่างไร การเขียนของนักชาติพันธ์ุนิพนธ์จะนําไปสู่การรื้อสร้าง (deconstruct) มุมมองของ
คนนอก หรือไม่ก็เป็นการเปิดโปง (debunk) ให้เห็นถึงความจริงของผู้คนที่นักชาติพันธ์ุนิพนธ์ศึกษา สาม
เคทซ์เสนอสิ่งที่เขาเรียกว่า naturalistic approach"
"เพ่ือเป็นแนวทางการเขียนงานชาติพันธ์ุนิพนธ์ที่ดี ท้ายสุด เพ่ือเสนอว่าหลักประกันของงานเขียนชาติพันธ์ุ
นิพนธ์จะต้องได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง เคทจึงขอเสนอแนวทางต่างๆ ของการเขียนงานชาติพันธ์ุ
นิพนธ์อย่างมีประเด็น!
"เคทซ์เสนอวิธีการศึกษาบางแนวทางต่อไปนี้ ว่าอาจเป็นทางเลือกที่ดี แต่ก็มีข้อพึงระวังอยู่เหมือนกัน!
"พ้ืนที่เสี่ยงภัยและสังคมที่ท้าทายศีลธรรม"
"การศึกษาสังคมในพ้ืนที่เสี่ยงและสังคมที่ท้าทายศีลธรรม จะทําให้งานชาติพันธ์ุนิพนธ์มีประเด็นศึกษาอย่าง
ชัดเจน แต่อย่างไรก็ดี การศึกษาสังคมเหล่านี้ก็จะต้องไม่ใช่เพ่ือตอกย้ําภาพความน่าสะพรึงกลัวหรือความ
แปลกประหลาดให้กับสังคมเหล่านี้เข้าไปอีก แต่จะต้องเป็นไปเพ่ือแสดงให้เห็นถึงความปกติ ความมี
ระเบียบแบบแผน แสดงให้เห็นถึงความเหมืนกันระหว่างสังคมเหล่านี้กับสังคมที่เราคุ้นเคยมากกว่า!
"แม้ว่าในบางกรณีเราจะพบว่า กลุ่มคนเหล่านี้คิดแตกต่างจากที่เราเข้าใจจริงๆ หรือเขาตั้งใจจะต่อต้านกฎ
เกณฑ์ที่สังคมทั่วไปยึดมั่นจริงๆ สิ่งที่นักชาติพันธ์ุนิพนธ์ค้นหาก็จะเป็นเหตุผลเบ้ืองหลังของการกระทํา
�2
เหล่านั้น มากกว่าจะระบุว่าคนเหล่านั้นไม่เคารพกฎเกณฑ์ของสังคม การไม่ทําตามกฎเกณฑ์ของสังคมมี
ต้นทุนที่สูง แต่นักชาติพันธ์ุนิพนธ์ต้องพยายามทําความเข้าใจว่า ทําไมคนบางกลุ่มจึงยอมลงทุนที่สูงขนาด
นั้น!
"หากงานจะเน้นความแปลกประหลาด ก็จะเสี่ยงกับการโรแมนติกหลงใหลชื่นชมกับความประหลาด หรือ
ขับเน้นความประหลาดมากเกินไป ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วพวกเขาอาจจะไม่ได้ประหลาดมากมายนัก วิธีนี้อาจจะ
เป็นการให้ภาพกลุ่มคนที่เป็นแบบแผนตายตัวเกินไป หรือให้ภาพพวกเขาตามภาพที่คนมีอยู่แล้ว จึงไม่
เป็นการดีที่จะเข้าใจผู้คน วิธีการแก้อาจจะได้แก่การดูว่าความแตกต่างดังกล่าวถูกแสดงออกหรือใช้ใน
ชีวิตประจําวันอย่างปกติธรรมดาอย่างไร ไม่ใช่เน้นเฉพาะพฤติกรรมที่แปลกประหลาดโดยไม่ดูบริบทของ
การแสดงออกในชีวิตประจําวัน!
"แต่หากจะทําให้ผู้คนที่เราศึกษากลายเป็นเหมือนๆ กับคนทั่วๆไป หรือใช้มาตรฐานทั่วๆไปทําความเข้าใจ
พวกเขา ก็จะเสี่ยงกับการนําเอามาตรฐานของนักชาติพันธ์ุนิพนธ์ไปวัดพวกเขามากเกินไป ความสมดลุ
ระหว่างความหมายของผู้คนที่เราศึกษากับความหมายที่เราเป็นคนให้กับเขา เป็นสิ่งที่จะต้องให้ความ
สําคัญ "
"นอกจากนั้น ยังต้องเข้าใจด้วยว่า ความแตกต่างและความแปลกประหลาดที่ว่านั้น เปลี่ยนไปเรื่อยๆตาม
ยุคสมัยของชาติพันธ์ุนิพนธ์และผู้อ่านงานชาติพันธ์ุนิพนธ์ พฤติกรรมของคนบางกลุ่มที่เคยแปลก
ประหลาดในยุคหนึ่ง อาจหมดความแปลกไปในอีกยุคหนึ่ง!
"ศึกษากรอบทางสังคมกับศึกษาบริบทเฉพาะ"
"การศึกษากลุ่มคนบางทีไม่จําเป็นต้องศึกษาความเฉพาะเจาะจงหรือแปลกประหลาดของเขาเลยก็ได้ หาก
แต่เพียงศึกษาลักษณะทางสังคมทั่วๆ ไปของพวกเขาก็น่าสนใจแล้ว เช่น หากจะศึกษานักดนตรี แทนที่จะ
ศึกษาการเล่นดนตรีของเขาหรือศึกษาทักษะทางดนตรีของเขา ศึกษาการรวมกลุ่มทางสังคมของพวกเขา
แทน แต่วิธีนี้ก็อาจจะทําลายลักษณะเฉพาะของผู้คน ทําให้ไม่เห็นความพิเศษของผู้คนกลุ่มต่างๆ!
"ในทางกลับกันคือการศึกษาบริบทเฉพาะ เช่นหากจะศึกษาคติชาวบ้าน ก็จะเน้นศึกษาวัฒนธรรมโดยไม่
สนใจลักษณะของความสัมพันธ์ทางสังคมมากนัก หรือหากจะศึกษาแนว ethnomethodology ก็ดูราย
ละเอียดของปฏิบัติการบางอย่างของผู้คนว่าเขาทําอะไรอย่างไร มีขั้นตอนอะไรบ้าง อย่างไรก็ดี มีข้อระวัง
ว่า การบอกเล่ารายละเอียดจะนําไปซึ่งข้อมูล บทพรรณนาที่ไม่มีความหมาย ไม่มีการวิเคราะห์ มีแต่ข้อมูล
ยิบย่อย เสี่ยงกับการกลายเป็น thin description ไป!
"หนทางที่จะทําให้บทพรรณนาที่ละเอียดมีความหมายคือการชี้ให้เห็นถึง ความธรรมดาของสิ่งที่คนที่เรา
ศึกษาเข้าใจเอาเองว่าพิเศษ เช่น ของบางอย่างที่พวกชนชั้นสูงสะสมด้วยความเข้าใจว่ามีแต่พวกเขา
เท่านั้นที่สะสม หรือพฤติกรรมบางอย่างที่พวกเขาคิดว่ามีแต่พวกเขาเท่านั้นที่ทํา แต่นักชาติพันธ์ุนิพนธ์อาจ
เปิดโปงด้วยการค้นคว้าประวัติศาสตร์หรือการเปรียบเทียบกับคนกลุ่มอื่น ชี้ให้เห็นว่าพฤติกรรมเหล่านั้น
ของคนชั้นสูงก็ไม่ต่างจากคนธรรมดาสามัญทั่วไป!
"หรือน้อยกว่านั้นคือการแสดงให้เห็นว่า ความพิเศษบางอย่างของกลุ่มคนบางกลุ่ม แท้จริงแล้วถูกสร้างขึ้น
มาในกระบวนการทางสังคมอย่างไร หาใช่ความพิเศษเฉพาะของพวกเขาเองไม่ ศึกษาว่าหรือคุณค่าพิเศษ
ของสังคมนั้น เช่นคุณค่าทางศิลปะ หรือความรู้ แท้จริงแล้วถูกสร้างขึ้นมาในเงื่อนไขหนึ่งๆอย่างไร หาใช่
การที่สิ่งนั้นมีคุณค่าในตัวเองไม่ เช่นการศึกษาโลกของศิลปะ ที่ไม่ได้มีเฉพาะความงาน ฝีมือ แนวคิดทาง
ศิลปะ แต่ยังมีสังคมของศิลปิน ตลาดศิลปะ การเมืองกับศิลปะในประวติศาสตร์สมัยต่างๆ เป็นต้น หรือ
การศึกษาวิธีคิดวิธีการทํางานของนักวิทยาศาสตร์เป็นต้น"
"
�3
แนวทางอื่นๆ ของการทําให้งานชาติพันธ์ุนิพนธ์มีความหมาย"
"คําถามสําคัญคือ ใครที่ต้องการอ่านงานของเรา? นี่เป็นคําถามสําคัญของวิธีการศึกษาเชิงชาติพันธ์ุนิพนธ์
การที่นักสังคมวิทยามักศึกษาสังคมตนเองดูเป็นข้อเสียเปรียบของนักสังคมวิทยา แต่นักมานุษยวิทยาก็
เสียเปรียบตรงที่ แม้ว่าจะอยู่กับการศึกษาความแตกต่าง แต่ก็อาจจะกลับไม่ได้คํานึงถึงมันอย่างจริงจัง
มากนัก อาจจะไม่เห็นความแตกต่างมากนัก แนวทางต่างๆ ที่เคทซ์เสนอได้แก่ "
"- ศึกษากลุ่มคนที่เป็นที่สนใจของคนอ่าน "
"- ศึกษาความเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ วิธีนี้อาจช่วยให้เห็นอะไรที่แตกต่างออกไปได้ เราอาจศึกษา
วิธีที่คนที่ใดที่หนึ่งหรือในช่วงเวลาหนึ่งของประวัติศาสตร์ จัดการกับเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ที่แตกต่าง
ไปจากชีวิตปกติของพวกเขา "
"- ศึกษาเรื่องราว สืบสาวความเป็นมาของผู้คนที่เรารู้จักอยู่แล้ว แม้แต่คนในครอบครัวเรา แต่ไม่รู้ความ
เป็นมาโดยละเอียดของเขา เพ่ือให้เข้าใจเขาทั้งในฐานะที่เป็นบัจเจก และในฐานะที่เขาเป็นคนของสังคม
ของชุมชนเขา "
"- อีกวิธีหนึ่งคือ หาวิธีที่จะเขาใจกลุ่มคนหรือพฤติกรรมที่เคยเป็นที่เข้าใจมาแล้วอย่างหนึ่ง ด้วยความเข้าใจ
อย่างใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยหรือยังไม่ค่อยได้รับการอธิบาย!
"- หรือการใช้วิธีการพรรณนารายละเอียดชีวิตคนที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักอย่างละเอียด ซึ่งจะทําให้เห็นสิ่งที่ไม่
เคยเห็นมาก่อนหากศึกษาด้วยวิธีทางสถิติ เช่น การศึกษาการเลือกตั้งด้วยวีแบบชาติพันธ์ุนิพนธ์จะให้ราย
ละเอียดมากกว่าวิธีการทางพฤติกรรมศาสตร์และการใช้แบบสอบถามแบบรัฐศาสตร์ เป็นต้น!
"""""