56

Medleuddang Vol.15

Embed Size (px)

DESCRIPTION

An online version of Medluddang Vol.15

Citation preview

Page 1: Medleuddang Vol.15
Page 2: Medleuddang Vol.15

ในเชิงวิทยาศาสตร์ เม็ดเลือดแดง คือตัวนำาออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงร่างกาย

เป็นสิ่งจำาเป็น หากขาดซึ่งเม็ดเลือดแดงแล้วไซร้ มนุษย์ย่อมไม่สามารถดำารงชีพอยู่ได้

ในการศึกษารัฐศาสตร์ ข้อมูล ข่าวสารและสังคม เป็นสิ่งสำาคัญยิ่ง

หากขาดซึ่งสรรพสิ่งเหล่านี้ การศึกษารัฐศาสตร์ย่อมเป็นไปได้ยาก

ในที่นี้ ข้อมูลข่าวสารจึงประดุจดั่ง “เม็ดเลือดแดง”

ที่หล่อเลี้ยงนักศึกษารัฐศาสตร์ให้รอบรู้มากยิ่งขึ้น

วารสารเม็ดเลือดแดง จึงถือกำาเนิดขึ้น ด้วยประการฉะนี้ แล ๛

เม็ดเลือดแดง

Page 3: Medleuddang Vol.15

“รอไปก่อนนะ” ใครหลาย

คนคงรู้สึกเบื่อคำาพูดทำานองนี้ เพราะมัน

หมายความว่า สิ่งที่กำาลังคาดหวัง มันไม่

เป็นไปตามเงื่อนไขอย่างที่เราอยากให้เป็น

และยิ่งเราคาดหวังกับอะไรไว้มากเท่าไหร่

คำาว่า “รอไปก่อน” ก็ยิ่งมีพลังในการสร้างความรู้สึกเซ็ง ผิดหวัง มากขึ้นเท่านั้น

เหมือนอย่างเช่นเวลาที่คุณบอกรักใครสักคน แต่เขาคนนั้นกลับบอกกลับมาเพียงว่า “รอ

ไปก่อน” จนกว่าเขาจะพร้อมกว่านี้ แน่นอนท้ายที่สุดคุณก็ทำาอะไรไม่ได้นอกจาก รอ รอ

รอ แล้วก็รอ ว่าแต่จะต้องรอไปจนถึงเมื่อไหร่เนี่ย!!!

แต่ถึงแม้เราจะเซ็งกับคำาว่า “รอไปก่อน” มากเพียงใด แต่ในชีวิตของเราก็คง

หลีกเลี่ยงมันไม่ได้อยู่ดี ถึงแม้ 1 วันจะมี 24 ชั่วโมง แต่ 24 ชั่วโมงในความรู้สึก

ของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน บางคน 1 วันอาจจะสั้น บางคนอาจจะยาว เมื่อเวลาแต่ละ

คนเดินไม่เท่ากัน ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เราจะต้องหยุดรอให้เวลาของคนอื่นเดินตามเราทัน

ก่อน เม็ดเลือดแดงฉบับนี้หลังจากที่รอกันมาเกือบ 3 เดือนจากฉบับที่แล้ว ก็ได้ฤกษ์

เปิดโฉม ในฉบับนี้รวบรวมหลากหลายเรื่องราวการรอคอย ที่บางครั้งน่าตั้งคำาถามเป็น

อย่างยิ่งว่าทำาไมต้องรอด้วย ฉบับนี้ยังเป็นฉบับแรกที่น้องๆรุ่น 62 ได้มีโอกาสเข้ามา

ร่วมงานด้วย หวังว่าทุกคนจะยังสนุนต่อไปเรื่อยๆนะครับ แล้วพบกันใหม่ฉบับหน้า

ครับ ^_^

กองบรรณาธิการ

Page 4: Medleuddang Vol.15

อำ�นวยก�รผลิต

คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

จัดทำ�โดย

กลุ่มข้อมูลข่าวสารและวารสาร คณะรัฐศาสตร์

บรรณ�ธิก�รบริห�ร

ปริญญา เกิดนิคม (เบียร์)

เวทิตา นิลหลวง (เว)

คอลัมนิสต์

อลิษา จิตรภูษา (กวาง)

อัจฉราภรณ์ วงศ์สุบรรณ (อัจ)

สมปราชญ์ จิระนภารัตน์ (นิว)

เอกวีร์ มีสุข (เอก)

อเนกพล คงเกลี้ยง (เจมส์)

มารุต ศูนย์ตรง (บาส)

ออกแบบปก

ภัทรพงษ์ เชาว์ไว (มิว)

ศิลปกรรม

ณัฐพล สอนจรูญ (บูม) - Daylight

ติดต่อ

โทรศัพท์ 085-1306318 เบียร์

อีเมลล์ [email protected]

เว็บไซต์ http://medleuddang.hi5.com

พิมพ์ที่: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

จำานวน 500 เล่ม

ปัณฑ์ขนิต สุฤทธิ์ (เดือน)

ปวิณ์สุดา เข็มสำาฤทธิ์ (นุก)

อนุพงษ์ ปลิวทอง (แม็ค)

สิริพงษ์ นฤดีสมบัติ (ป๊อก)

เทียนธวัช ศรีใจงาม (เทียน)

วริษา อินทรัตน์ (พัศร์)

และที่มิได้ออกนามมา ณ ที่นี้

ศุภกิจ แดงขาว (ต้อม)

สารบัญฉบับที่ 15 รอไปก่อน (มิถุน�ยน-สิงห�คม 2552)

Young Blood: BTR ความหวังที่ต้อง

รอไปก่อนนะ.............................................................................3

นอกห้องเรียน: เพาะรัก....................................................6วิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมือง......................................9

เติมหัวใจไปรอบโลก: รอไปก่อนรัฐประหาร

ครั้งสุดท้าย...............................................................................11Young Blood: รอเพื่อ...................................................16ล้อก�รเมือง...........................................................................21“รัก” คำาสั้นๆ ของผม.......................................................22

เจ�ะเลือด: เรื่องอะไรในชีวิตคุณที่รอไปก่อน

ไม่ได้อีกแล้ว เพราะอะไร?...............................................27ก�รประกันคุณภ�พก�รศึกษ� (7).........................30

กวีกระว�ท: งานแต่งงานประจานตน.....................32ผู้สร้าง.......................................................................................33จิบช�.........................................................................................34มองสังคมผ่�นแผ่นฟิล์ม: Detroit Metal City

ความฝันที่ต้องรอไปก่อน.................................................35

Young Blood: การปล่อยตัวอองซาน ซูจี

กับประชาธิปไตยพม่าที่ต้องรอไปก่อน......................38สิงห์ลงพุง...............................................................................42 หัวใจติดปีก............................................................................44 สิงห์หนังสือ: รอ(อ่านหนังสือ)ไปก่อน.....................48จิบช� เฉลย...........................................................................52Special Thanks

2

Page 5: Medleuddang Vol.15

BRT : ความหวังที่ต้อง...

Shintaro Yamakura

ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไร ปัญหาการจราจรและ

การขนส่งสาธารณะก็ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ของคนกรุงเทพฯ

และสิ่งที่ทุกคนกำาลังรอคอยคือระบบขนส่งที่มีคุณภาพ

รวดเร็ว และสะดวกสบาย ที่สำาคัญคือสามารถกำาหนดเวลา

ที่แน่นอนได้ แต่ปัจจุบันเรายังคงต้องรอรถเมล์ที่มาบ้างไม่มาบ้าง รถไฟฟ้าที่มีผู้โดยสาร

มากจนไม่เพียงพอต่อความต้องการ คนฝั่งธนบุรียังเพิ่งได้เห็นรถไฟฟ้าข้ามแม่น้ำาไปถึง

แล้วคนกรุงเทพฯ ในอีกหลายพื้นที่ยังต้องรอต่อไปถึงเมื่อไหร่กัน

แน่นอนว่าเราทุกคนล้วนรอคอยอย่างมีความหวัง ภาครัฐเองก็ไม่ได้ต้องการ

ให้เราคอยนาน แต่ด้วยปัญหาหลายอย่างที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา เช่น ปัญหา

การเมืองภายในประเทศ ความล่าช้าของระบบราชการ และปัญหาความไม่ชอบมาพา

กลอย่างการทุจริตคอรัปชั่น ทำาให้โครงการที่จะสร้างประโยชน์ต่อพี่น้องคนกรุงเทพฯ

ต้องกลายเป็นความฝันต่อไปอีก

แต่ในวันนี้ ภาครัฐโดยกรุงเทพมหานครได้เตรียมเปิดตัวโครงการรถโดยสาร

ประจำาทางด่วนพิเศษที่เรียกว่า รถ BRT โดยจะเปิดให้บริการสายแรกคือ สุรวงศ์-

ราชพฤกษ์ โดยเส้นทางนี้ใช้งบประมาณกว่า 1,400 ล้านบาท

รถ BRT (Bus Rapid Transit) คือรถโดยสารประจำาทางที่มีลักษณะพิเศษกว่า

รถโดยสารทั่วไป ที่จะนำามาเสริมกับระบบขนส่งมวลชนที่มีอยู่เดิม คือ รถไฟฟ้า BTS

และรถไฟฟ้าใต้ดิน ให้ระบบขนส่งมวลชนสาธารณะเกิดความคล่องตัวมากขึ้น โดยรถ

BRT จะได้สิทธิพิเศษในเรื่องของช่องทางการเดินรถที่จะมีการกั้นช่องจราจรให้กับรถ

ชนิดนี้โดยเฉพาะ นอกจากนี้รถ BRT ยังให้บริการด้วยระบบขนส่งอัจฉริยะ ที่สามารถ

กำาหนดเวลาเดินรถได้อย่างแม่นยำา ทำาให้สะดวกแก่การให้บริการและยังไม่รบกวนการ

จราจรของรถอื่น ๆ บนท้องถนนอีกด้วย

รอไปก่อนนะ

3

Page 6: Medleuddang Vol.15

สำาหรับรถที่จะนำามาให้บริการนั้นเป็นรถที่ใช้ก๊าซ NGV เครื่องยนต์มาตรฐาน

EURO III มีระบบดิสก์เบรกหน้า-หลัง รูปทรงตัวถังโค้งมนตามหลักอากาศกลศาสตร์

โดยออกแบบให้เหมือนรถไฟฟ้า มีระบบกล้องส่องถอยหลัง นอกจากนี้ยังอำานวยความ

สะดวกให้แก่ผู้พิการด้วยการยกระดับพื้นรถเพื่อให้สามารถเดินเข้าสู่ตัวรถได้เหมือน

รถไฟฟ้า โดยออกแบบให้เข็นรถเข็นคนพิการเข้าสู่ตัวรถได้เลย และสามารถล็อครถเข็น

ไว้กับตัวรถได้อีกด้วย

สำาหรับการให้บริการนั้น จะใช้ตั๋วโดยสารระบบไร้สัมผัสเหมือนรถไฟฟ้า

BTS และรถไฟฟ้าใต้ดินโดยมีแบบตั๋วเที่ยวเดียวและตั๋วรายเดือน โดยในช่วงแรกทาง

กรุงเทพมหานครจะจัดทำาตั๋วโดยสารแบบไปหรือกลับเที่ยวเดียว แต่ใช้ตั๋วรายเดือนร่วม

กับรถไฟฟ้า BTS และรถไฟฟ้าใต้ดิน โดยกรุงเทพมหานครมีการวางแผนให้สามารถใช้

ตั๋วร่วมกันได้ทั้งหมด เพราะจะทำาให้ระบบขนส่งมวลชนเชื่อมถึงกันได้ง่ายขึ้นซึ่งจะส่งผล

ดีโดยทำาให้การเดินทางครอบคลุมทั่วกรุงเทพฯ สำาหรับราคาค่าโดยสารรถ BRT อยู่ที่

ประมาณ 12-18 บาทต่อเที่ยว แล้วแต่ระยะทางระหว่างสถานี ซึ่งเป็นราคาที่ไม่แพง

มากนักเมื่อเทียบกับ รถเมล์ 4,000 คัน

แต่โครงการก็เป็นอันต้องหยุดชะงักลงชั่วคราวเมื่อมีการกล่าวหาว่าโครงการ

นี้ส่อทุจริตเมื่อ คุณหญิง ณฐนนท์ ทวีสิน อดีตปลัดกรุงเทพมหานครได้เข้าพบ

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รักษาการอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อยื่นเรื่องว่ามีการกระทำา

ผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.

2542 (พ.ร.บ. ฮั้วประมูล) เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2551 ในกระบวนการจัดหารถมา

วิ่งบริการ ซึ่งส่งผลให้ผู้บริหาร กทม. ต้องสั่งให้หยุดการผลิตรถชั่วคราว เราเลยต้องรอ

ต่อไปอีก...

แต่แล้วความหวังก็เกิดขึ้น เมื่อสามารถพิสูจน์ได้

ว่าการประมูลไม่ได้มีการฮั้วเกิดขึ้น โดยเรื่อง

ที่ฮั้วเป็นเรื่องของบริษัท ไม่ได้เกี่ยวข้อง

กับ กทม. แม้แต่น้อย ทำาให้มีการเปิด

ประมูลใหม่อีกครั้ง โดยเมื่อวันที่ 26

กุมภาพันธ์ 2552 บริษัทไทยทราน

สมิชชั่น อินดัสทรี จำากัด ชนะการ

ประมูลด้วยราคารถทั้งหมด 397 ล้าน

5 แสนบาท โครงการนี้จึงเดินต่อไปได้

4

Page 7: Medleuddang Vol.15

และเนื่องจากเหตุการณ์

กล่ าวหาเรื่ องทุจริตคอรัปชั่น

ทำาให้โครงการที่จะมีกำาหนดเปิด

ในปลายปี พ.ศ.2552 ต้องเลื่อน

ออกไปโดยไม่สามารถกำาหนด

เวลาได้ โดยคาดว่าน่าจะเปิด

เดินรถช่วงเดือนพฤษภาคม พ.ศ.

2553

แต่ผลกระทบที่จะเกิด

ขึ้ น ในอนาคตหลั ง จากที่ มี รถ

บัส BRT สายนี้คือช่องทางการ

จราจรจะเล็กลง ถ้าจะไม่ให้รถติด

ต้องห้ามรถจอดข้างทาง ทำาให้

ฉุกคิดได้ว่ารถบัส BRT เหมาะ

กับกรุงเทพมหานครจริงหรือ ?

เพราะว่าระบบ BRT ในประเทศ

อื่น ๆ ส่วนใหญ่จะสร้างบนถนน

ที่มีช่องการจราจรฝั่งละ 3 ช่อง

เมื่อสร้างระบบแล้วจะเหลือ 2

ช่องการจราจร ซึ่งถนนแบบนี้ใน

กรุงเทพมีไม่กี่สาย

แต่ในท้ายที่สุดโครงการ

นี้ก็ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง ทั้ง ๆ ที่เรายังต้องรอไปก่อนเพราะว่าเปิดเดินรถครั้งแรก

คาดการณ์ว่าประมาณเดือนพฤษภาคม 2553 เรายังต้องรออีกว่าเส้นทางอื่น ๆ อีก

4 เส้นทางจะดำาเนินการสร้างเมื่อไหร่ นอกจากนี้จะมีเส้นทางที่จะมาถึงมหาวิทยาลัย

ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิตหรือไม่ สุดท้ายความหวังของเราคงจะต้อง...

...อีกตามเคยรอไปก่อนนะ

5

Page 8: Medleuddang Vol.15

เพาะรัก พีรชา ภาวัชร์

“ในสังคมแห่งการแสวงหา ดิ้นรนและแข่งขันสูง คนกลุ่มหนึ่งมีโอกาสได้เรียนสูงๆ มีงานที่ดีเพื่อสร้างฐานะให้กับตนเอง คนกลุ่มหนึ่งได้อุทิศชีวิตทำางานเพื่อสังคมและคนบนโลกนี้ แต่กลับกัน อีกด้านหนึ่งของสังคมยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งยังขาดโอกาสทางสังคม ยังรอคอยความหวังและความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมสังคมเดียวกัน”

เมื่ออ่านข้อความข้างต้นแล้วผมเชื่อ

ว่าหลายคนคงรู้สึกเหมือนๆกับผม ยิ่งใน

ฐานะนักศึกษาด้วยแล้วยิ่งทำาให้มองเห็นภาพ

ที่ข้อความนี้ได้ฉายสะท้อนภาพของสังคมไทย

หรือสังคมอื่นๆ ได้อย่างชัดเจน ประเทศ

ที่ ได้ชื่ อว่ า เป็นประเทศที่ จะพัฒนาอย่าง

ประเทศไทย แม้บางส่วนกำาลังพัฒนาไปสู่

ความเป็นศิวิไลซ์ แต่บางส่วนของประเทศดู

ราวกับว่ามีอะไรมาปกคลุมไม่ให้ความเจริญ

ดังกล่าวนี้สามารถกร่ำากรายเข้าไปได้ ผู้คน

ขาดแคลนทั้งปัจจัยในการดำารงชีพและโอกาส

อีกมาก ไม่เหมือนกับพื้นที่กำาลังพัฒนาที่

ดูเหมือนว่าจะมีให้ไขว่ขว้ากันอยู่ดาษดื่น...

ผมว่านี่คงเป็นเหตุผลหลักที่ทำาให้นักศึกษาผู้มองว่าตัวเองนั้นเป็นคนที่มีโอกาสที่ดี คิด

ที่จะลุกขึ้นมาทำากิจกรรมเพื่อสังคมกันอย่างมากมาย

จุดเริ่มต้นของเจ้าของข้อความที่ผมคัดลอกมาข้างต้นก็เช่นเดียวกัน ที่เกิดจาก

นักศึกษาผู้มีอุดมการณ์กลุ่มหนึ่งได้มีโอกาสเข้าร่วมกับกิจกรรมในรูปแบบของการออก

ค่าย แต่ด้วยมุมมองที่แตกต่าง หลังจากการทำาค่ายนี้จึงได้รวมตัวจัดตั้งกลุ่มกิจกรรม

เพื่อสังคมภายใต้ชื่อ “กลุ่มอิสระเพาะรัก ศูนย์ประสานงานนักศึกษาเพื่อสังคม”

“จุดเริ่มของเพาะรักเกิดขึ้นได้อย่างไรครับ” ผมถามพี่แพร...หนึ่งในผู้ประสานงานกลุ่ม

6

Page 9: Medleuddang Vol.15

“เพ�ะรักเกิดจ�กที่รุ่นพี่กลุ่มหนึ่งได้มีโอก�สไปทำ�กิจกรรมในรูปแบบของ

ค่�ย แล้วมองเห็นข้อเสียบ�งอย่�ง โดยเห็นว่�แม้เร�จะมีคว�มตั้งใจที่ดีที่ไปสร้�ง

อะไรให้กับชุมชน แต่ก�รไปอยู่หรือก�รไปสร้�งอะไรบ�งอย่�งก็เป็นก�รสร้�งภ�ระ

ให้กับชุมชนด้วย จึงได้รวมตัวกันเพื่อจัดตั้งกลุ่มเพ�ะรักนี้ขึ้นม�เพื่อทำ�กิจกรรมเพื่อ

สังคมโดยให้เกิดผลกระทบในเชิงลบให้น้อยที่สุด คือ เร�จะไม่ทำ�ในสิ่งที่เร�อย�ก

ทำ� แต่จะทำ�ในสิ่งที่เข� (สังคม) ต้องก�ร ให้ทำ�” เธอเล่�ให้ผมฟังด้วยน้ำ�เสียง

มุ่งมั่น

เมื่อฟังแล้วโดยส่วนตัวผมคิดว่�เป็นแนวคิดที่น่�สนใจ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้

กับคำ�ที่พี่แพรบอกว่� ทำ�ในสิ่งที่เข�(สังคม) อย�กให้ทำ� นั้นเป็นอย่�งไร ซึ่งเธอก็ได้

เล่�ให้ผมฟังว่� รูปแบบในก�รทำ�กิจกรรมของเพ�ะรัก คือท�งกลุ่มจะประส�น

ง�นไปยังองค์กร มูลนิธิ หรือหน่วยง�นที่ต้องก�รอ�ส�สมัครให้ไปช่วยง�น จ�ก

นั้นก็ประก�ศรับอ�ส�สมัครที่มห�วิทย�ลัยเพื่อไปร่วมทำ�กิจกรรม

“กิจกรรมที่เพ�ะรักทำ�เป็นประจำ�มีอะไรบ้�งครับ”

“ก็อย่�งเช่น ดนตรีบำ�บัดที่โรงพย�บ�ลเด็ก โดยท�งโรงพย�บ�ลได้

ติดต่อให้เร�ไปทำ�กิจกรรมระหว่�งที่เด็กๆและผู้ปกครองรอพบคุณหมอ เพร�ะใน

ช่วงนี้จะเกิดคว�มเครียดสูง โดยกิจกรรมที่ทำ�ก็จะมีเล่นดนตรี เล่นเกม แสดง

ตุ๊กต�หุ่นมือ หรือพ�น้องๆว�ดภ�พระบ�ยสี อย่�งน้อยก็ช่วยให้ลืมคว�มเครียดไป

ช่วงหนึ่ง

อีกที่ก็ไปที่มูลนิธิเพื่อก�รพัฒน�เด็ก คือไปเล่นกับเด็กที่ชุมชนริมท�งรถไฟ

ที่หัวลำ�โพง ไปสอนเข�เล่นดนตรี สอนหนังสือ พ�เล่นเกม หรืออ่�นหนังสือให้

ฟัง อย่�งที่รู้กันว่�เด็กๆที่นี่ส่วนใหญ่ข�ดคว�มอบอุ่นเพร�ะครอบครัวมีปัญห�

7

Page 10: Medleuddang Vol.15

นอกจ�กนี้เพ�ะรักยังได้ทำ�กิจกรรมอื่นๆ อีก เช่น ไปเก็บขยะที่ชุมชน

คลองเตย ไปทำ�กิจกรรมที่มูลนิธิสอนคน ต�บอด เป็นต้น และเมื่อถ�มถึงคว�ม

รู้สึกและสิ่งที่ได้รับจ�กก�รไปทำ�กิจกรรมของเพ�ะรักพี่แพรก็บอกว่� “ในฐ�นะของ

คนประส�นง�นนั้นก็มีบ้�งที่รู้สึกเหนื่อย แต่เมื่อเวล�ทำ�กิจกรรมที่เป็นก�รได้ช่วย

เหลือผู้คนหรือสังคมทำ�ให้รู้สึกดี บ�งครั้งที่ตัวเองมีปัญห�แต่ไปเจอคนที่เข�มีปัญห�

ที่ม�กกว่�เร� ทำ�ให้เร�ได้กลับม�คิดทบทวนปัญห�ของตัวเองว่�มันก็เป็นเพียง

ปัญห�เล็กๆ และพี่รู้สึกว่�...ชีวิตได้เติมเต็ม”

“คว�มแตกต่�งของเพ�ะรักอยู่ที่คว�มเป็นอิสระ ไม่ได้มีกรอบว่�เร�จะ

ต้องทำ�กิจกรรมรูปแบบไหน ต้องทำ�กับคนกลุ่มไหน อย�กให้กลุ่มเพ�ะรักเป็นอีก

ตัวเลือกหนึ่งสำ�หรับคนที่อย�กจะทำ�กิจกรรมเพื่อสังคม” เธอกล่�วทิ้งท้�ยเมื่อจบบท

สนทน�ของเร�

ที่ผมนำ�เสนอกลุ่มกิจกรรมเพ�ะรักที่มีรูปแบบหรือแนวคิดต่�งไปจ�กกลุ่ม

กิจกรรมของนักศึกษ�ทั่วไปนี้ ผมไม่ได้ต้องก�รจะบอกว่�ก�รทำ�กิจกรรมในรูปแบบ

อื่นนั้นไม่ดี เพร�ะอย่�งน้อยก�รคิดและลงมือทำ�เพื่อสังคมโดยไม่รีรอนั้นก็เป็นสิ่ง

ที่ดี... ห�กแต่เร�ต้องลองคิดพิจ�รณ�ให้ถ้วนถี่ก่อนหรือไม่ ว่�สิ่งที่เร�จะทำ�นั้นมี

ประโยชน์กับคนที่เร�ต้องก�รจะทำ�เพื่อเข�จริง

ติดต่อ “กลุ่มอิสระเพ�ะรัก ศูนย์ประส�นง�นนักศึกษ�เพื่อสังคม”

แพร : 081-3060203 แนน : 089-6308891

www.porhrak.multiply.com

8

Page 11: Medleuddang Vol.15

เบื้องหลัง...เด็กโอลิมปิก

“...เด็กไทยสร้างชื่ออีก ซิว 1 ทอง 5 เงินคณิตศาสตร์โอลิมปิก...”

ทุกๆปีเรามักจะได้ยินข่าวประเภทนี้

ดูเผินๆ ก็เหมือนจะเป็นข่าวที่น่ายินดี ที่คนไทย

สร้างชื่อให้ประเทศ ทำาให้รู้สึกภูมิใจที่ประเทศนี้มีคนเก่งๆแบบนี้อยู่ แต่ควบคู่กับข่าวนี้

กลับมีอีกข่าว 1 ควบคู่มา ซึ่งสร้างความสงสัยในระบบการศึกษาไทยเป็นอย่างยิ่ง

“วิจัยเด็กไทยอ่อนคณิต-วิทย์ เทียบกับ 59 ชาติ เรียนหนักที่สุดแต่ต่ำากว่ามาตรฐาน”

นี่ยังไม่กล่าวถึงสถิติผลคะแนน O-Net ซึ่งปรากฏว่านักเรียนไทยทำาคะแนนได้

ต่ำากว่าครึ่งในเกือบทุกวิชา โดยเฉพาะคณิตศาสตร์ที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะในขณะ

ที่เป็นวิชาที่มีผู้ทำาคะแนนเต็มร้อยได้มากที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นวิชาที่มีค่าเฉลี่ย

ต่ำาสุดเช่นเดียวกัน ข่าวเล็กๆ 2 ข่าวนี้ แม้หลายคนอาจจะมองว่าไม่สำาคัญ กลับซ่อน

อะไรหลายอย่างเกี่ยวกับการเมือง การศึกษา และสังคมไทยได้เป็นอย่างดี

ข่าวสองชิ้นข้างตนแสดงให้เห็นถึงการกระจุกตัวของการศึกษา ที่เฉพาะคน

บางกลุ่มเท่านั้นที่จะได้รับโอกาสในการศึกษาดีกว่าคนทั่วไป และระยะห่างของคนทั้ง

สองกลุ่มนั้นนับวันก็ยิ่งห่างขึ้นทุกที เรามีเด็กโอลิมปิกเพิ่มขึ้นทุกปี แต่ก็คะแนนเฉลี่ยทั้ง

ประเทศของเราก็ต่ำาลงทุกปีเช่นกัน ปัญหาเกี่ยวกับการศึกษาของไทยนี้มานานแล้ว แต่

แล้วทำาไมจึงไม่ได้รับการแก้ไขสักที อันที่จริง ทุกๆรัฐบาลต่างก็กล่าวถึงความพยายาม

ในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับการศึกษา แต่การศึกษาเป็นระบบที่กินระยะเวลานาน เฉพาะ

ภาคบังคับก็ 12 ปี การจะปรับเปลี่ยนอะไร จึงเห็นผลค่อนข้างช้า เมื่อเทียบกับอายุรัฐ

บาลหนึ่งๆ ซึ่งมีแค่ 4 ปี (แต่ในความจริงแล้วน้อยกว่านั้น) แต่ละรัฐบาลจึงมุ่งเน้นที่การ

พัฒนาตัวเลขทางการศึกษามากกว่าพัฒนาที่ตัวคุณภาพ เพราะมันเห็นผลเร็ว

9

Page 12: Medleuddang Vol.15

สามารถนำาไปใช้เป็นเครื่องมือในการหาเสียงในสมัยหน้าได้ เราจึงเห็นตัวเลขโรงเรียนที่

เพิ่มขึ้น ตัวเลขคนเข้าเรียนที่เพิ่มขึ้น ตัวเลขเงินอุดหนุนที่เพิ่มขึ้น โดยที่คุณภาพไม่เคย

เพิ่มขึ้นเลย

อย่างที่เคยได้ยินข่าวมา ทุกๆปีเรามักจะทราบ

ว่าเด็กไทยได้รางวัลโอลิมปิกกันทุกปี ไม่ว่าจะฟิสิกส์ เคมี

คณิตศาสตร์ ฯลฯ และนั่นมันก็ทำาให้เกิดคำาถามเล็กๆ ว่าใน

เมื่อเรามีเด็กเก่งขนาดนี้ แล้วทำาไม่ประเทศไทยถึงไม่พัฒนา

สักที เราน่าจะสามารถดึงศักยภาพของพวกเขามาทำาให้

ประเทศไทยก้าวหน้าได้กว่านี้ แต่เหตุที่ทำาไม่ได้ก็เพราะตัว

ระบบสังคมและค่านิยมของไทยเอง เด็กเก่งเหล่านี้อันที่จริงก็

น่าสงสารทีเดียว เพราะสำาหรับประเทศไทยที่นิยามตัวเองว่า

เป็นประเทศกำาลังพัฒนานั้น เราชื่นชอบที่จะดัดแปลงและรับ

เทคโนโลยีจากต่างชาติมาใช้ มากกว่าที่จะคิดค้นเทคโนโลยี

ขึ้นมาเอง ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ศาสตร์ประยุกต์อย่าง

วิศวะ สถาปัตย์ แพทย์ จึงได้รับความนิยมกว่าศาสตร์บริสุทธิ์

อย่างวิทยาศาสตร์ เมื่อถึงคราวเลือกคณะในมหาวิทยาลัย

ค่านิยมเหล่านี้รวมถึงผู้ปกครองก็จะทำาให้เด็กโอลิมปิกหลาย

คนเลือกวิศวะ แพทย์มากกว่าวิทยาศาสตร์ ซึ่งพวกเขาเห็น

ว่าอนาคตอาจเป็นได้แค่ครูเท่านั้น ทำาให้ประเทศสูญเสียนัก

วิทยาศาสตร์เก่งๆไปมากมาย ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ คณิต แม้

ไม่สามารถนำาไปใช้ประกอบอาชีพได้โดยตรง แต่ก็สามารถนำา

มาสร้างให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ได้ ประเทศไทยคงไม่สามารถ

พัฒนาไปได้ไกลกว่านี้แน่ ถ้ายังแค่รับเอาเทคโนโลยีจากต่างชาติมาใช้โดยไม่เคยคิด

ประดิษฐ์อะไรขึ้นมาเอง ยิ่งมาเจอระบบราชการและนโยบายที่ปิดกั้นไม่ให้เด็กเหล่านี้

สามารถแสดงความรู้ความสามารถของตนมาได้อย่างเต็มที่ น่าแปลกที่หลายๆอย่าง

เราผลิตได้และดีกว่าต่างประเทศแต่รัฐบาลกลับสนุนให้ใช้ของต่างประเทศซะงั้น ถ้าให้

เลือกระหว่างเงินเดือนราชการอันแสนน้อยนิดแถมยังถูกขัดแข้งขัดขาอีกกับทำางานใน

บริษัทต่างประเทศที่เงินเดือนสูง เป็นเราก็คงเลือกอย่างหลังเป็นแน่แท้ ก็แบบนี้แหละ...

ประเทศไทย

10

Page 13: Medleuddang Vol.15

สุดท้ายข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งที่เคยมีคนตั้งข้อสงสัยกับเด็กโอลิมปิกรวมถึง

เด็กเก่งอื่นๆ ก็คือเรามักสังเกตเห็นว่าพวกเขาส่วนใหญ่มักจะหมวยและตี๋ ตรงนี้ไม่มี

อะไรมาก เพราะถ้าลองสังเกตมหาเศรษฐีส่วนใหญ่ในประเทศไทยก็ล้วนมีเชื้อสายจีน

ที่เข้า มาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองทั้งสิ้น อันนี้ไม่เกี่ยวกับความโง่ความฉลาด

แต่เป็นเพราะในช่วงนั้นประเทศไทยมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจค่อนข้างมาก แล้วคน

ที่ได้รับผลประโยชน์โดยตรงก็คือกลุ่มคนจีนที่ยึดอาชีพค้าขายเป็นหลัก ทำาให้สร้างตัว

ได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ สังคมไทยเป็นสังคมชนชั้น

ที่ไพร่ต้องขึ้นอยู่กับมูลนาย ต้องเข้าเดือนออกเดือน ในขณะที่ชาวต่างชาติไม่เฉพาะคน

จีนเท่านั้นไม่ต้องรับภาระนี้ ทำาให้ในอดีตเป็นต้นมาชาวต่างชาติมักมีฐานะทางเศรษฐกิจ

ดีกว่า และด้วยความที่คนไทยอยู่ในระบบไพร่มาเป็นเวลานาน เมื่อเปลี่ยนระบอบการ

ปกครองหลายคนก็เคว้งและทำาตัวไม่ถูก อีกทั้งคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่นิยมทำาอาชีพ

ค้าขายเลยทำาให้ปัจจุบันกลุ่มชนชั้นกลางส่วนใหญ่ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดีมักเป็น กลุ่ม

คนเชื้อสายจีน และพวกเขาก็มีเงินที่จะอุดหนุนการศึกษาของบุตรหลานของเขาได้

มากกว่ากลุ่มคน อื่นๆ แต่อย่างไรก็ตามปัจจุบันรัฐไทยก็ได้แก้ปัญหานี้โดยการสร้างคติ

ความเป็นไทย ให้กับกลุ่มคนเชื้อสายต่างชาติเหล่านี้ไว้แล้ว แน่นอนผมได้มีปัญหาอะไร

กับเรื่อง เพราะสเป็คของผมก็ยังชอบแบบหมวยๆเหมือนเดิม 555

Dk_toM

“รอไปก่อน” รัฐประหาร

ครั้งสุดท้าย

นิ ย า ม ข อ ง คำ า ว่ า

รัฐประหาร(Coup d’etat) นั้น

มีมากมายในทางรัฐศาสตร์ ซึ่ง

อย่างน้อยที่สุดอาจจะมีความ

หมายในแง่ลบ หากถูกอธิบายโดยทฤษฎี

การพัฒนา

(Development Theory)ในแบบรัฐศาสตร์

สมัยใหม่ที่มองว่ากระบวนการทำาให้เป็น

ประชาธิปไตย (Democratization) ซึ่ง

ได้แก่การเลือกตั้งและการมีส่วนร่วม

ทางการ เมื อ งนั้ น เป็ นองค์

ป ร ะกอบที่ สำ า คัญของการ

พัฒนาทางการเมือง (Political

development) และแน่นอน

ว่าการรัฐประหารย่อมเป็น

อุปสรรคที่สำาคัญประการหนึ่ง

ที่ขัดขวางไม่ให้เกิดการพัฒนาดังกล่าว

11

Page 14: Medleuddang Vol.15

ซึ่ ง อ ง ค์ ก ร ร ะ ดั บ โ ล ก อย่ า ง

องค์การสหประชาชาติและประเทศ

มหาอำ านาจอย่ า งสหรั ฐอ เมริ ก า ได้

พากันให้นิยามของคำาว่าประชาธิปไตย

และรัฐประหารในลักษณะและแง่มุมดัง

กล่าวและพยายามแสดงบทบาทที่จะเป็น

ผู้สร้างและพัฒนาประชาธิปไตยให้แก่

ประเทศโลกที่สามซึ่งส่วนใหญ่ถูกมองว่า

ยังเป็นประเทศที่ด้อยพัฒนา (underde-

velopment) ทั้งในทางเศรษฐกิจ

และการเมือง

แ ล ะ ไ ม่ ว่ า จ ะ ด้ ว ย

ส า เ หตุ ใ ด ก็ ต าม

ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร

ใ น ก า ร พั ฒ น า

ท า ง ก า ร เ มื อ ง

ต า ม แ บ บ ข อ ง

สหป ร ะ ช า ช า ติ

หรือสหรัฐอเมริกาเองก็ตามดูเหมือนจะยัง

ไม่เป็นผลเท่าใดนัก เพราะเพียงแค่ระยะ

เวลาเกือบหนึ่งทศวรรษ (2000-2009)

ได้เกิดการรัฐประหารและความพยายาม

ในการก่อการรัฐประหารขึ้นในภูมิภาค

ต่างๆทั่วโลกรวมแล้วไม่ต่ำากว่า 30 ครั้ง*

ซึ่งแน่นอนว่าส่วนใหญ่เกิดในประเทศ

โลกที่สามซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการ

พัฒนา และทุกๆครั้งที่เกิดการรัฐประหาร

บรรดานักวิชาการหรือประเทศที่พัฒนา

แล้วก็ได้แต่เฝ้ามองและคาดการณ์ว่าจะ

เป็นการรัฐประหารครั้งสุดท้าย

แต่การรัฐประหารครั้งสุดท้าย

ก็ไม่ ได้หมายความว่าจะเป็นท้ายที่สุด

เพราะล่าสุดนี้สิ่งที่เกิดขึ้นในสาธารณรัฐ

ฮอนดูรัสนั้นก็อาจเรียกได้ว่าเป็นการ

รัฐประหารที่เกิดกับประเทศยากจนหรือ

ที่เรียกกันว่าด้อยพัฒนาประเทศหนึ่งใน

ภูมิภาคอเมริกากลาง แต่หากพิจารณา

ในทางการเมืองแล้ว นับแต่สิ้นสุดยุค

กองทัพครองอำานาจเมื่อต้นทศวรรษ

1980 การเมืองของฮอนดูรัสจัดว่ามี

เสถียรภาพดีในระดับหนึ่ง และแม้ว่าการ

รัฐประหารครั้งนี้จะนับเป็นครั้งแรกของ

ทวีปอเมริกาใต้นับแต่ยุคสงครามเย็นสิ้น

สุด แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถทำานายได้คือ มัน

คงไม่ใช่การรัฐประหารครั้งสุดท้ายอย่าง

แน่นอน...

ทำ�ไมประเทศที่มีก�รเมืองที่เข้มแข็งได้วกกลับม�ที่วงจรนี้ได้?

ปี พ.ศ. 2549 นายมานูเอล

เซเลยา (Manuel Zelaya) ซึ่งเป็นนักธุรกิจ

ป่าไม้ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีใน

นามพรรคเสรีนิยม เขามีแนวคิดทางการ

เมืองและดำาเนินนโยบายแบบขวา-กลาง

(centrist right) ซึ่งแตกต่างจากผู้นำาอื่นๆ

12

Page 15: Medleuddang Vol.15

ในภูมิภาคอเมริกากลางและอเมริกาใต้ แต่

หลังจากได้อำานาจแล้ว เขาทำาให้ประเทศ

นี้โน้มเอียงไปทางสังคมนิยมอย่างชัดเจน

โดยผูกมิตรกับบรรดาผู้นำาที่มีชื่อเสียงใน

ด้านนี้ไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดีฮิวโก

ชาเวซ แห่ง เวเนซุเอล่า ประธานาธิบดี

อีโว่ โมราเลส แห่งโบลิเวีย ไปจนถึงฟิเดล

คาสโตร แห่งคิวบา ทำาให้ความนิยมใน

หมู่ชนชั้นกลางและข้าราชการระดับสูง

ของฮอนดูรัสที่มีต่อเขาลดลงอย่างรวดเร็ว

หากแต่ความนิยมในกลุ่มประชาชนชั้นล่าง

ของสังคมกลับสูงขึ้น

เมื่อจวนถึงกำาหนดครบวาระการ

ดำารงตำาแหน่ง ประธานาธิบดีมานูเอล

เซเลยา พยายามจัดให้มีประชามติแก้ไข

รัฐธรรมนูญให้ประธานาธิบดีสามารถ

ดำารงตำาแหน่งได้สองวาระ จากเดิมที่

รัฐธรรมนูญให้แค่วาระเดียว ซึ่งประชาชน

ส่ ว น ใ หญ่ ใ นป ร ะ เ ท ศมี แ น ว โ น้ ม ว่ า

เห็นด้วย แต่เขาถูกศาลฎีกาตัดสินว่า

ละเมิดรัฐธรรมนูญและให้พ้นจากตำาแหน่ง

อย่างไรก็ตามเขาไม่ยอมลาออก อีกทั้ง

ยังปลดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

ที่ออกมาแสดงตัวชัดเจนว่าไม่สนับสนุน

เขาอีกต่อไป การกระทำาเหล่านี้สร้าง

ความไม่พอใจให้เกิดขึ้นในหมู่ตุลาการ

สภาคองเกรสและกองทัพเป็นอย่างยิ่ง

สุดท้�ยแต่ไม่ท้�ยสุดก็จบลงด้วยรัฐประห�รรัฐบ�ลของ

ประธ�น�ธิบดีเซล�ย�ในวันที่ 28 มิถุน�ยน พ.ศ. 2552

ชวนให้นึกถึง วันที่ 19 กันย�ยน พ.ศ. 2549 ในประเทศไทย

อดีตนายกรัฐมนตรีพันตำารวจโท

ดร.ทักษิณ ชินวัตรถูกรัฐประหาร ซึ่งสิ่งที่

เหมือนกันกับการรัฐประหารในฮอนดูรัส

คือผู้นำาทั้งสองคนมาจากการเลือกตั้งและ

ต่างดำาเนินนโยบายที่ประชาชนชื่นชอบ

หากแต่ขัดผลประโยชน์กับคนบางกลุ่ม

และเมื่อถูกรัฐประหารก็ถูกประกาศจับ

Manuel Zelaya

13

Page 16: Medleuddang Vol.15

หลายข้อหาเช่นกัน แต่สิ่งที่แตกต่างกัน

คือ ภายหลังการรัฐประหาร ประชาชนที่

สนับสนุน เซเลยานับพันคนได้ก่อ

เหตุจลาจล ทั้งยังตั้งเครื่อง

กีดขวางและพังป้ายโฆษณา

พร้อมกับปิดถนนที่ มุ่ งสู่

ทำา เนียบประธานาธิบดี

ทำาให้นายโรเบร์-

โต มิเชเล็ตติ

( R o b e r t o

Micheletti)

ป ร ะ ธ า น

สภาผู้แทน

ร า ษ ฎ ร ที่

รักษาการประธานาธิบดี ประกาศเคอร์ฟิว

ทั่วประเทศนาน 2 สัปดาห์ หากแต่ใน

ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย เ มื่ อ เ กิ ด รั ฐ ป ร ะ ห า ร

19 กันยายน 2549 ไม่มีความรุนแรง

ใดๆ ประชาชนดูคล้ายกับยอมรับและ

บางส่วนก็ออกไปถ่ายรูปกับทหารและ

รถถังด้วยซ้ำา ประเทศไทยจึงรอดพ้นจาก

การถูกประณามและกดดันอย่างรุนแรง

เหมือนที่ฮอนดูรัสกำาลังเผชิญอยู่ในขณะนี้

ข้อแตกต่างที่สำาคัญอีกประการ

คืออดีตนายกรัฐมนตรีในประเทศไทยไม่

สามารถดึงอำานาจกลับมาสู่ตนได้ทันที แม้

มีความพยายามที่จะประกาศสถานการณ์

ฉุกเฉินก็ตาม ส่วนประธานาธิบดีเซเลย

านั้นได้มีความพยายามที่จะคืนสู่อำานาจ

อย่างชัดเจนโดยไม่มีท่าทีรีรอไม่ว่าจะ

เป็นการตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น การเดิน

ทางไปกรุงวอชิงตันดีซี เพื่อหารือร่วม

กับเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ และองค์กร

รัฐอเมริกัน (OAS) ทำาให้เขาได้รับการ

สนับสนุนทั้งจากผู้นำาในภูมิภาคเดียวกัน

และภูมิภาคอื่นๆ

นอกจากนี้องค์การสหประชาชาติ

โดยมติของที่ประชุมสมัชชาใหญ่ (UNGA)

องค์การรัฐอเมริกัน (OAS) และสหภาพ

ยุโรป (EU) ประกาศว่านายมานูเอล

เซเลยา คือประธานาธิบดีของสาธารณรัฐ

ฮอนดูรัสและจะต้องกลับคืนสู่ตำาแหน่ง

ทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข ซึ่งถือเป็นการแสดง

ตนชัดเจนว่าไม่รองรับรัฐบาลใหม่ของนาย

โรเบร์โต มิเชเล็ตติ

ก�รรัฐประห�รในฮอนดูรัสครั้งนี้เรียกได้ว่�ถูกประณ�ม

ไปทั่วโลก ในขณะที่รัฐประห�รในไทยไร้ซึ่งเสียงวิพ�กษ์วิจ�รณ์

ที่รุนแรงจ�กต่�งช�ติ

อย่างไรก็ตามได้มีการเจรจา

ทั้งสองฝ่ายเพื่อคลี่คลายสถานการณ์

ทางการเมืองที่ประเทศคอสตาริกาโดย

มีประธานาธิบดีออสการ์ อาเรียส ของ

คอสตาริกา เจ้าของรางวัลโนเบลสาขา

Roberto Micheletti

14

Page 17: Medleuddang Vol.15

สันติภาพเป็นคนกลาง การเจรจาจบลง

โดยทั้งสองฝ่ายไม่สามารถบรรลุข้อตกลง

ใดๆได้ แต่นายเซเลยาเสนอให้มีการเจรจา

ครั้งต่อไปในฮอนดูรัส เพื่อเป็นการหาทาง

กลับเข้าประเทศหลังจากที่เครื่องบินของ

เขาและผู้นำาจากละตินอเมริกาถูกกองทัพ

ขัดขวางไม่ให้ร่อนลงจอดในประเทศ ขณะ

ที่ประชาชนจำานวนมากชุมนุมเผชิญหน้า

กับทหารและตำารวจ รอให้การต้อนรับ

แต่ในทางตรงกันข้ามก็มีผู้ชุมนุมคัดค้าน

การกลับมาปักหลักอยู่ใกล้ๆ และสนับสนุน

นายมิเชลเลตติ สถานการณ์ไม่มีวี่แววว่า

จะคลี่คลาย

ส า ธ า รณรั ฐ ฮ อนดู รั ส ห ลั ง

จากมีการรัฐประหาร ถูกกดดัน

อย่ า งหนั ก ไม่ ว่ า จ ะ เป็ นการวิ พ ากษ์

วิจารณ์จากผู้นำาระดับโลกไม่ว่าจะเป็น

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัก โอบามา

หรือประธานาธิบดีประเทศเวเนซูเอลา

ฮูโก ชาเวซ รวมไปถึงองค์กรต่างๆ

ทำาการคว่ำาบาตรไม่ว่าจะเป็นองค์การ

รัฐอเมริกันที่ลงมติขับไล่สาธารณรัฐ

ฮอนดูรัสออกจากสมาชิกภาพ ธนาคาร

เพื่อการพัฒนาระหว่างทวีปอเมริกา

(Inter-American Development Bank

หรือ IDB) และกองทุนธนาคารโลก (World

Bank) ที่ระงับความช่วยเหลือทางการเงิน

แก่ฮอนดูรัส นอกจากนี้รัฐบาลสหรัฐฯ

ยังได้ยกเลิกการให้ความร่วมมือทางการ

ทหารแก่ฮอนดูรัส ในการปราบปรามยา

เสพติด และประเทศต่างๆในสหภาพยุโรป

ที่ได้เรียกตัวเอกอัครราชฑูตกลับประเทศ

ประเทศกำาลังอยู่ ในขั้นวิกฤติ

แต่ทั้งสองฝ่ายยังไม่มีใครมีทีท่าว่าจะถอย

นายมานูเอล เซเลยา ยังคงยืนยันว่าตน

เป็นประธานาธิบดีที่อยู่ในตำาแหน่ง ทั้ง

ยังได้รับการยอมรับจากทั่วโลก และยัง

คงเหลือเวลาดำารงตำาแหน่งอีก 6 เดือน

ในขณะที่นายโรเบร์โต มิเชเล็ตติประกาศ

ยืนยันว่าจะดำารงตำาแหน่งจนกว่าประเทศ

จะสงบและจะจัดการเลือกตั้งขึ้นใหม่

ประก�ศชัดเจนอย่�งนี้ แล้วนี่ทั้งสองฝ่�ยรออะไรกันอยู่ ?

*http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_

coups_d%27%C3%A9tat_and_coup_

attempts

15

Page 18: Medleuddang Vol.15

รอเพื่อ

สวัสดีครับสิงห์แดงพบกันอีกครั้งกับบทความนักศึกษา

วารสารเม็ดเลือดแดงนะครับ ก่อนอื่นผมขอถามเพื่อนๆ

สักข้อนะครับ

“ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเพื่อนๆ เคยรออะไรมาบ้าง”

เช่น รอรถNGV (9.30 น. แล้วมาซะทีสิฟะ), รอTU Dome สร้างเสร็จ, รอแฟน (TU

time 30 นาที) ฯลฯ เพื่อนๆรู้สึกแบบไหนกันครับ คนรออาจรู้สึกเบื่อเซ็ง , บางคน

อาจรู้สึกโกรธหรือน้อยใจว่าทำาไมคนตรงต่อเวลาต้องเป็นคนรอตลอด , บางคนอาจรู้สึก

เฉยๆ ว่าในชีวิตประจำาวันเราเองก็ต้องรออะไรๆ มากมาย กับเรื่องเล็กแค่นี้ทำาไมจะรอ

ไม่ได้ ส่วนคนที่ให้รอเองก็อาจมีความรู้สึกได้หลายแบบ หลายคนรู้สึกผิดที่ให้เพื่อนต้อง

รอ หลายคนรู้สึกกังวลใจว่าเพื่อนอาจเป็นห่วงหรือกระวนกระวายใจว่าตนเป็นอะไรไป

ทำาไมยังไม่มา แต่ก็มีอีกหลายคนรู้สึกเฉยๆเหมือนว่าเราก็รอกันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว

รอนิดรอหน่อยไม่เห็นเป็นอะไรเลย ทัศนคติของแต่ละคนต่อการรอคอยจึงย่อมแตก

ต่างกันไป แต่ผมขอเอาเสียงส่วนใหญ่อนุมานเอาว่า คนส่วนใหญ่มีความรู้สึกในทางลบ

กับการที่ต้องรอคอย โดยเฉพาะการรอคอยที่ไม่สมควรแก่เหตุ

จากที่กล่าวมาข้างต้นการรอจึงดูเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ น่ารำาคาญใจ ไม่น่าพิสมัย

เสียนี่กะไร แล้วเพื่อนๆเคยคิดบ้างไหมว่าทำาไมการใช้ชีวิตของเพื่อนๆ และแม้แต่ตัว

ผมเองก็ยังคงรั้งรออะไรบางอย่าง ที่ไม่ใช่การรอโดยสภาพบังคับทางธรรมชาติ เช่น

รอมาม่าสุก หรือรอตามกฎหมาย เช่น รออายุ 20 ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจำาต้องรออย่างหลีก

เลี่ยงไม่ได้ แต่ที่จะกล่าวถึงต่อไปเป็นการรอที่ตัวเราเป็นผู้เลือกที่จะรอด้วยตัวเองด้วย

เหตุผลบางประการ โดยพอจะแยกย่อยเป็น 3 ประเด็นหลักๆ คือ รออะไรอยู่ รอเพื่อ

อะไร รอไปถึงเมื่อไหร่

16

Page 19: Medleuddang Vol.15

ประเด็นแรก “รออะไร” เท่าที่ผมสังเกตจากการใช้ชีวิตของเราท่านหลายๆ

คน (ผมใช้คำาว่า “หลายๆ” เพราะบางคนอาจไม่เป็นไปตามที่กล่าวต่อไปนี้) จะมีการ

หยุดยั้งการกระทำาเมื่อจะริเริ่มลงมือทำาอะไรบางอย่าง

ที่มีความแปลกใหม่จากที่ทำาอยู่ในปัจจุบัน เช่น เริ่ม

เปลี่ยนแปลงการดำาเนินชีวิต เริ่มรับผิดชอบต่อชีวิต

เริ่มรับผิดชอบต่อสังคม ฯลฯ ยกตัวอย่างเปรียบเทียบ

ง่ายๆ เหมือนกวางที่เวลาได้ยินเสียงนักล่าจะหยุดยืน

อยู่กับที่โดยไม่มีสาเหตุ ทั้งๆที่มันทั้งเห็น ได้ยิน และ

ได้กลิ่นนักล่าตัวนั้นแล้ว สักชั่วเสี้ยววินาทีถัดมามันจึง

เริ่มวิ่งหนี เพื่อนๆเคยสังเกตมั้ยครับว่ามักจะมี 1 ตัว

ในฝูงที่ช้าที่สุดถูกสังหารเป็นเหยื่อของนักล่า (T-T)

แต่ในทางกลับกันถ้าเจ้ากวางตัวที่วิ่งช้าที่สุดชิงออกตัว

ก่อนโดยไม่หยุดรอเหมือนกวางอื่นๆ เข้าใจตรงกัน

นะครับว่าเจ้ากวางตัวนั้นไม่ได้วิ่งพรวดพราดออกไป

โดยไม่ดูตาม้าตาเรือ แต่มันชิงออกตัวก่อนโดยไม่รอ

อย่างไร้เหตุผลตามกวางตัวอื่นๆ ผลสุดท้ายเจ้ากวาง

ตัวนั้นอาจไม่ตกเป็นเหยื่อของสัตว์นักล่า (ความซวย

ตกอยู่กับตัวอื่น-..-) เมื่อย้อนกลับมามองในมุมของ

เรา กระแสธารแห่งยุคโลกาภิวัตน์นั้นทำางานอย่าง

ไม่มีวันหยุด การไหลบ่าถาโถมของปัญหาสังคม

เศรษฐกิจ การเมืองในปัจจุบันเป็นดังนักล่าที่คอยไล่ล่ามนุษย์ในกระแสธารแห่งโลก ใคร

ล้าหลังกว่าก็ตกเป็นเหยื่อไป เหมือนกับการไล่ล่าตลอดชีวิตเพียงแต่ว่าเป็นการไล่ล่า

ที่มองไม่เห็น แต่สำาเหนียกรู้สัมผัสได้ ผลคือ การลบล้างผู้ล้าหลัง จนไม่อาจมีที่ยืนใน

สังคม เพื่อนๆไม่อาจจะรู้ได้เลยว่าตนเป็นคนที่ช้าที่สุดหรือไม่ เมื่อไหร่จะตกเป็น

เหยื่อของนักล่าในป่าคอนกรีต ฉะนั้นการเลือกที่จะทำาเหมือนเจ้ากวางที่ไม่รั้งรออย่าง

ไร้สาเหตุเหมือนกวางตัวอื่นๆ โดยชิงออกวิ่งไปก่อนอาจทำาให้เราลดโอกาสที่จะตกเป็น

เหยื่อเสียเองได้อย่างมาก

17

Page 20: Medleuddang Vol.15

“รอเพื่ออะไร” บางคนบอกว่า รอเพราะยังไม่อยากทำา บ้างก็ว่ายังไม่พร้อม

บางคนก็บอกว่าโอกาสยังไม่อำานวย เหล่านี้เป็นตัวอย่างของการรั้งรอที่ไม่สมเหตุผล

ที่เป็นตัวดึงให้เพื่อนๆเป็นผู้รั้งท้ายในสังคม สาเหตุที่ผมกล้ากล่าวเช่นนี้เนื่องจากผม

เห็นว่า การรั้งรอด้วยเหตุดังกล่าวไม่มีความจำาเป็นในการริเริ่มดำาเนินชีวิตก้าวต่อไป

เลย อย่างข้อแรกที่ว่ายังไม่อยากทำา ในบาง

ครั้งเราจำาเป็นต้องฝืนใจทำาโดยไม่ขึ้นกับความอยาก

เพราะหากมัวแต่รอให้เกิด อารมณ์อยากทำาแล้วอาจ

ส่งผลเสียต่อตนเองและผู้อื่น หรือในบางกรณี การ

ชิงจังหวะทำาซะก่อนที่คนอื่นเอาแต่รอให้อยากทำา จะ

ช่วยให้เราลดระยะห่างกับคนข้างหน้าและทิ้งห่างกับ

คนข้างหลัง ลดโอกาสการตกเป็นผู้รั้งท้ายลงมาก

ทีเดียว ส่วนข้ออ้างที่สองที่ว่ายังไม่พร้อม พวกนี้

มีอยู่ 2 แบบหลักๆ ทั้งแบบที่ไม่พร้อมทางกายภาพ

เช่น อุปกรณ์ไม่พร้อม ความรู้ไม่พร้อม ฯลฯ ซึ่ง

สามารถชดเชยได้ด้วยความเพียร และแบบที่ไม่

พร้อมทางใจ เช่น ไม่กล้า วิตกกังวล ฯลฯ ซึ่งเป็น

ปัญหามากกว่าความไม่พร้อมทางกายภาพ เนื่องมา

จากเส้นแบ่งความพร้อมกับไม่พร้อมค่อนข้างพร่า

เลือน คือแบ่งได้ไม่เด็ดขาดแล้วแต่คน ว่าการเตรียมตัวขนาดไหนเรียกว่าพร้อม ขนาด

ไหนเรียกว่าไม่พร้อม ซึ่งสามารถสร้างความพร้อมได้ด้วยการเตรียมใจตามแต่เทคนิคที่

แต่ละคนจะสามารถสร้างความพร้อมได้อย่างดีที่สุด

จากที่กล่าวข้างต้นความพร้อมจึงเป็นสิ่งสำาคัญที่เราจะขาดไม่ได้

ในการจะดำาเนินกิจกรรมต่างๆในชีวิตซึ่งมันไม่ได้กลั่นตัวขึ้นมาเองเมื่อเวลาผ่านไปแต่

เราต้องสร้างมันขึ้นมาเอง หากเราออกวิ่งไปโดยไม่มีความพร้อมก็เหมือนเราต้องคอย

เหลียวกลับมามองข้างหลังตลอด ทำาให้เราวิ่งไม่ได้ประสิทธิภาพเต็มที่ และยิ่งหากเรา

มัวแต่อ้างว่ายังไม่พร้อมโดยไม่คิดจะเตรียมความพร้อม ก็เหมือนกับเราเอาเชือกผูกคอ

ตัวเองแล้วนั่งรอให้นักล่ามาคาบเราไปเป็นเหยื่อนั่นเอง บางคนที่ชอบอ้างว่ารอโอกาส

มาถึงก่อนแล้วค่อยทำาพวกนี้มักจะเป็นพวกที่คอยบุญพาวาสนาส่ง มองว่าโอกาสเป็น

เหมือน โปเกมอน ในตำานานที่สามารถเจอะเจอได้ตามริมทาง ได้มาโดยไม่ต้องลงทุน

18

Page 21: Medleuddang Vol.15

ลงแรง แต่เท่าที่ผมได้สังเกตเห็นจากสภาพสังคมและการดำาเนินชีวิตของมนุษย์ โอกาส

หาใช่สิ่งบังเอิญหากแต่เป็นสิ่งที่ต้องอาศัยการสร้างสมมาจากการกระทำาก่อนหน้านั้น

นานวันจนเกิดเป็นโอกาสในปัจจุบัน เช่นหากเราไม่เอาใจใส่ในการเรียนคณิตศาสตร์

พื้นฐานในช่วง ม.ต้น เราก็ไม่มีโอกาสที่จะเก่งตรีโกณมิติ ในชีวิต ม.ปลายได้เลย แต่

ใช่ว่าโอกาสจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ง่ายเป็นเส้นตรงแบบนี้ทั้งหมด ในบางครั้งโอกาสก็

ต้องอาศัยดวงประกอบด้วย เช่น ถึงเพื่อนๆ จะเทพเลข ม.ต้นมากมายแต่ตอน ม.ปลาย

กลับเจออาจารย์สอนตรีโกณที่สอนไม่รู้เรื่อง เพื่อนๆก็อาจกลายเป็นคนไม่เก่งตรีโกณ

หรือเพื่อนๆ ไม่ได้ตั้งใจเรียนเลข ม.ต้น แต่สักวันหนึ่งถูก ดร.โรคจิตจับตัวไปทดลอง

เป็นมนุษย์สุดอัจฉริยะ เพื่อนๆ ก็อาจกลายเป็นคนเก่งตรีโกณได้เหมือนกัน

แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยากจน

ทำาให้คาดหวังผลได้ยากตามไปด้วย เพราะฉะนั้นการ

สร้างโอกาสด้วยตนเองจึงเป็นตัวแปรสำาคัญต่อโอกาส

ในชีวิตที่จะมาถึงในวันข้างหน้า (ไม่ต้องรอ ดร.โรคจิต)

ประเด็นสุดท้าย “รอจนถึงเมื่อไหร่” ซึ่ง

หลายคนมักอ้างขึ้นมาว่าต้องรอจนกว่าจะถึงเวลาหนึ่ง

หรือสถานภาพหนึ่งจึงจะสมควรลงมือทำาเพื่อเป็นการ

ยืดเวลาที่จะต้องเผชิญกับปัญหา หรือความแปลกใหม่

ในชีวิตออกไปให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ บางคนชอบ

อ้างว่ารอจนกว่าจะอยากทำา กรณีนี้อย่างที่กล่าวมา

แล้วข้างต้น การที่เราชิงจังหวะทำาก่อนคนอื่นๆจะทำา

อาจทำาให้เราที่อยู่ในตำาแหน่งรั้งท้ายขึ้นมาอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ หรือก้าวล้ำานำาหน้าคน

อื่นๆในสังคม ลดโอกาสตกเป็นเหยื่อนักล่ายุคโลกาภิวัตน์ลงไปได้ บางคนอ้างว่ารอ

จนกว่าจะโต รอเป็นผู้ใหญ่ก่อน รอทำางานก่อน ฯลฯ ตามธรรมชาติแล้ว มนุษย์

เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความพร้อมตามธรรมชาติช้ากว่าสัตว์อื่นๆเป็นอย่างมาก กว่าที่มนุษย์จะ

สามารถช่วยเหลือตนเองในเบื้องตนได้นั้นต้องอาศัยเวลาไม่ต่ำากว่า 1 ปี ผิดกับสัตว์อื่นที่

สามารถลุกขึ้นวิ่งปร๋อหลังคลอดไม่กี่นาที

นี่เรายังมาดึงตัวเองให้ช้าลงไปด้วยความอ่อนแอของจิตใจตนเองอีกเราไม่

ยิ่งช้ากว่าเจ้าตูบเจ้าทุยพวกนี้อีกหรือ การจะเริ่มทำาอะไรให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเองและ

ผู้อื่นนั้นไม่จำาเป็นต้องรอ อายุ 20 ไม่จำาเป็นต้องรอจดทะเบียน ไม่จำาเป็นต้องรอสูงเกิน

19

Page 22: Medleuddang Vol.15

150 cm เราก็สามารถเริ่มทำาได้นับแต่บัดนี้

จากที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่าการรอเป็นสิ่งที่พวกเราส่วนใหญ่เห็นพ้อง

ต้องกันว่าให้ความรู้สึกในทางลบ ทั้งกับผู้รอและผู้ให้รอ แต่ชีวิตของพวกเราเองกลับ

เต็มไปด้วยการรอที่เราเป็นทั้งผู้ให้รอและผู้รอ จะยิ่งรู้สึกแย่แค่ไหนเพราะเพียงแต่เป็นผู้

รอหรือผู้ให้รอแต่ฝ่ายเดียวก็รู้สึกแย่เต็มทนแล้ว ทั้งๆที่เราสามารถเลือกที่จะไม่รอก็ได ้

แล้วเราจะรออยู่เพื่ออะไร?

เส้นทางการวิ่งไล่จับไม่เลิกรานี้ทอดอยู่เบื้องหน้านี้แล้ว

พร้อมให้เพื่อนๆได้วิ่งฉิวออกไปทุกขณะจิตขึ้นอยู่กับว่า

เพื่อนๆพร้อมจะออกสตาร์ทแล้วหรือยัง อย่ามัวแต่ให้

ความสุขสบายในปัจจุบันหลอกล่อฉุดรั้งไม่ให้เราก้าว

ต่อไป แต่จงยืนหยัดขึ้นสลัดสัญชาติญาณแห่งการรอทิ้ง

แล้วออกวิ่งไปสู่กระแสธารของโลกอย่างเตรียมพร้อม มีสติและ

ที่สำาคัญ อย่าให้ความอ่อนแอในใจมาฉุดรั้งเราได้

สุดท้ายนี้มีสิ่งที่ผมอยากฝากให้เพื่อนๆได้นำาไปคิดว่าจะดีกว่ามั้ยถ้า เราจะเริ่ม

ในวันของเรา วันของเราที่ไม่ได้ได้มาโดยง่ายดายโดยการรอโอกาส โดยการรอบุญ

วาสนา แต่เป็นวันที่ได้มาโดยหยาดเหงื่อแรงงานของเราเอง โดยมือของเราเอง โดย

การสร้างสรรค์ของเราเอง ไม่มีวันของเราหากเราไม่สร้างวันของเราขึ้นมาเอง----------

----- สวัสดีครับ BYE BYE

END

By sayong#60

20

Page 23: Medleuddang Vol.15

21

Page 24: Medleuddang Vol.15

“รัก” คำ สั้นๆ ของผม

กัปปะ

หากผมได้พบกับความรักแล้ว มันจะรู้สึกเช่นไรนะ ในช่วงชีวิตกว่า 20 ปีของ

ผม ยังไม่เคยที่จะได้รับความรักแบบแฟนจากใครบ้างเลย ผมจินตนาการภาพตัวเอง

ไม่ออกเลยว่า หากได้มีแฟนแล้วจะเป็นเช่นไร หลายครั้งที่ผมรู้สึกเหมือนกับเป็นผู้แพ้

เพราะในละครแต่ละเรื่องหากจะให้สมบูรณ์ย่อมต้องมีพระเอกคู่กับนางเอก ฉากสุดท้าย

ทั้ง 2 ก็ได้ใช้ชีวิตอยู่คู่กัน พวกเขาคงเป็นเหมือนกับผู้ชนะ ขนาดโนบิตะยังมีชิซูกะเป็น

นางเอกเลย การที่เราไม่มีความรักคงทำาให้ชีวิตนี้หมดความหมายไปมากทีเดียว แล้ววัน

ไหนนะที่ผมถึงจะได้เป็นผู้ชนะเหมือนคนอื่นบ้าง

แม้ว่าผมจะไม่เคยได้รับความรักจากใคร แต่ผมก็ยังมีคนที่ผมจะมอบความรัก

ไปให้ ตลอดมาผมพยายามเฝ้าส่งความคิดถึงไปถึงพวกเธอเหล่านั้น แต่มันก็ไร้ความ

หมายเพราะในที่สุดแล้วผมก็ไม่เคยที่จะสมหวังเสียที ตอนนี้ผมก็ยังมีคนที่ผมพยายาม

ส่งความรู้สึกดีดีนี้ไปให้ เธอคนนี้ผมรู้จักมานานพอดูแล้ว ก่อนหน้านี้พวกเราเป็นเพื่อนที่

สนิทกันมาก และคงเป็นความผิดของผมเองที่ปล่อยให้ความสนิทล้ำาเส้นของคำาว่าเพื่อน

ทั้งๆ ที่เธอมอบความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับผม แต่ผมกลับทำาลายความรู้สึกดีดีที่เธอมีให้ ผม

ไม่สามารถบอกได้ว่าทำาไมผมถึงชอบเธอ แต่ทุกครั้งที่ผมได้เห็นหน้าเธอ และได้รับรอย

ยิ้มที่จริงใจจากเธอ ในหัวใจผมนั้นก็หวั่นไหวทุกที มันมีทั้งความรู้สึกดีใจและรู้สึกผิดอยู่

ทุกเวลาที่เธอยิ้มมา เพราะรอยยิ้มที่เธอมีให้ผมนั้นเป็นรอยยิ้มที่เธอมอบให้เพื่อนคนหนึ่ง

ผมอยากพัฒนาความสัมพันธ์ให้ดีกว่าเดิม แต่ส่วนลึกๆในใจมันก็ไม่อยากให้เกิดการ

เปลี่ยนแปลง

ผมอยากจะถอนหายใจให้เยอะๆ เพราะผมเคยได้ยินมาว่าการถอนหายใจใน

แต่ละครั้งจะทำาให้ชีวิตคนเราสั้นลงไปครึ่งปี ผมอยากที่จะให้อายุขัยของผมหมดๆไป สิ่ง

ที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้มันจะได้จบลงไปเสียที นั้นอาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ที่เพื่อนคนนี้จะทำา

เพื่อเธอก็เป็นได้ แต่ยังไงก็ตามเวลาที่ผมเจอเธอผมพยายามที่จะทำาตัวให้เป็นปกติไม่ให้ผิดสังเกตใดใด

และวันนี้ผมก็กำาลังจะไปงานรับน้องของโต๊ะเพื่อน และที่สำาคัญเธอก็ไปด้วยเช่นเดียวกัน โดยเช้า

นี้กลุ่มที่จัดงานนัดพวกเรามาตั้งแต่ 7 โมงเช้า ซึ่งตามปกติชีวิตเด็กหอแบบผม

22

Page 25: Medleuddang Vol.15

8 โมงยังไม่ตื่นเลย ซึ่งนั้นทำาให้ผมมาสาย เพื่อนผมที่เป็นเจ้างานแอบบ่นอย่างหนัก(ด่า

เลยดีกว่าไหม?) เมื่อผมขึ้นไปบนรถที่นั่งต่างๆก็เต็มไปหมดแล้วและไม่เหลือที่นั่งอีกแต่

เธอก็เรียกให้ผมไปนั่งเบียดกับเธอ

“มาสายมากเลยนะ กอล์ฟ นึกว่าจะไม่ไปซะแล้ว อุตส่าห์แอบดีใจ”

“แหม ก็นาฬิกาปลุกมันไม่ดังน่ะ ตอนที่ไอ้โอมโทรไปตามคือเพิ่งตื่นเลยนะ”

“ให้มันได้งี้สิ ใครได้กอล์ฟเป็นแฟนไปคงซวยน่าดู”

“ก็ไม่แน่หรอกแอน เรื่องแบบนี้มันต้องลองดูด้วยตัวเอง ถ้าไม่เชื่อก็ต้องลอง

มาเป็นแฟนของเราดูแล้วล่ะ”

“เอาไว้ชาติหน้าก่อนเหอะ อย่างกอล์ฟอ่ะ เป็นได้แค่เพื่อนแหละดีที่สุดแล้ว”

“จ้าๆ อย่าคิดจริงจังเลย เราล้อเล่นน้า”

ถึงปากจะบอกไปว่าล้อเล่น แต่ในใจผมกลับคิดจริงจัง ผมชอบที่จะแซวเธอเล่น

แบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร แต่เมื่อผมเริ่มรู้ตัวว่าชอบเธอ ผมก็แอบหวังจะบอกความจริงไป

เสียที แต่ผมก็ยังไม่กล้าพอ

--- 3 ชั่วโมงในการเดินทาง ในที่สุดเราก็มาถึงรีสอร์ทที่จัดงาน ---

หลังจากที่เรามาถึงพี่ๆที่เตรียมสถานที่อยู่ก็เรียกน้องๆให้ลงไปทำากิจกรรม

ส่วนพวกเราที่เหลือก็มีเวลาว่างกว่า 3 ชั่วโมงจนกว่าจะถึงเวลาให้พวกเราได้ทำากิจกรรม

ร่วมกับน้องๆ ตอนนี้ก็ให้ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อน แต่บางคนก็มีเพื่อนกลุ่มจัดงาน

มาขอแรงให้ไปช่วยงานเตรียมสถานที่เพื่อทำากิจกรรมให้น้องๆในตอนเย็น แต่ผมขี้เกียจ

ที่จะทำาเลยแอบอู้ หลังจากที่ผมเอาของไปไว้ที่ห้องพักแล้วก็เดินเล่นไปมาในรีสอร์ท ซึ่ง

กลุ่มที่จัดงานเหมารีสอร์ตไว้ทั้งหมดแล้ว ดังนั้นพวกเราจะเดินไปมาที่ไหนก็ได้ตาม

สบายใจ สำาหรับรีสอร์ทที่นี่หากมองออกไปด้านหน้าจะเห็นชายหาดที่น้ำาใสสวยงาม

น่าลงไปเล่น และวันนี้ก็บรรยากาศดี แดดไม่ค่อยมี มีลมพัดเย็นๆมาตลอด หลังจากที่

ผมเดินเล่นไปสักพักก็เห็นกลุ่มแอนนั่งอยู่ โดยที่เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่ทะมัดทะแมง

ออกแนวห้าวแต่ก็ยังคงความน่ารักอยู่ดี ผมจึงเดินเข้าไปหาเธอ

“ว่าไงสาวๆ ไม่ไปเดินเล่นไหนเหรอ”

“ก็ว่าจะไปเดินเล่นแถวนี้แหละ เออนิ กอล์ฟ นายเอากล้องมาใช่เปล่าอ่ะ

ไปถ่ายรูปให้พวกเราหน่อยดิ วิวดีแบบนี้ รูปต้องออกมาสวยแน่เลย”

23

Page 26: Medleuddang Vol.15

“ไม่หรอก วิวอาจสวยแต่ถ้านางแบบไม่สวยมันก็ทำาให้ภาพออกมาไม่ดีหรอก

นะ”

“ย่ะ ใช่สิฉันมันไม่สวย ถึงได้ยังไม่มีแฟนแบบนี้ไง ไม่ต้องบอกก็รู้ดีอยู่แล้วนะ”

“โอ๋ๆ อย่าเพิ่งงอนดิ ไปเถอะเดี๋ยวเราไปถ่ายภาพให้”

ช่วงเวลาที่ผมได้อยู่กับเธอ แม้ว่าจะไม่ได้อยู่กันลำาพังเพราะมีเพื่อนๆตามมากัน

ด้วย แต่มันก็ทำาให้ผมรู้สึกดีที่อย่างน้อยผมก็ยังได้อยู่ใกล้ๆเธอ หลายภาพที่ผมฝากกล้อง

ให้เพื่อนเป็นคนถ่ายรูปให้ เพื่อที่ว่าผมจะได้ถ่ายรูปคู่กับเธอ ผมอยากให้ช่วงเวลาดีดีแบบ

นี้อยู่กับผมไปอีกนานๆ แต่เวลาที่เรารู้สึกดีๆนั้น มันมักจะผ่านไปเร็วเสมอ ไม่นานนัก

โอมได้มาตามพวกเราให้ไปเตรียมตัวได้แล้ว เพราะถึงเวลาที่น้องๆจะมาทำากิจกรรมฐาน

แล้ว พวกเราก็เตรียมอุปกรณ์ไปเล่นกับน้องๆ ซึ่งฐานต่างๆก็ออกจะทะลึ่งไปบ้างแต่รับ

ประกันได้ในเรื่องความปลอดภัยเพราะในทุกๆ ฐานจะมีพี่ลองเล่นมาก่อนแล้ว ระหว่าง

การเล่นกิจกรรมฐาน เช่น ฐานใช้ผักผูกตัวแล้วตีมะนาวให้ลงหลุม หรือฐานที่ให้น้อง

ขุดทรายแล้วมุดข้ามเส้น จากนั้นก็จะรวมน้องๆทุกคนมาปิดตา แล้วพาไปเล่นกิจกรรม

เลอะๆ มีให้น้องกินอาหารแปลกๆ พี่ๆ ก็แกล้งน้อง จากนั้นก็ถ่ายรูปรวมแล้วหลังจาก

นั้นก็ให้น้องแกล้งคืนพี่ๆ ภายหลังจากทำาอะไรอื่นๆ เสร็จแล้วก็ปล่อยน้องๆให้ไปอาบน้ำา

พักผ่อนรอเวลากินข้าวเย็น กินอาหารทะเลเผากัน แล้วก็ให้น้องแสดงละครที่เตรียมมา

ระหว่างที่ให้น้องอาบน้ำาแล้วพักผ่อนกันอยู่นี้ ผมก็ได้เดินเลียบชายหาดตาม

ลำาพัง คิดเรื่อยเปื่อยไปถึงหนทางที่ผมและแอนจะได้เป็นแฟนกัน ระหว่างที่ผมเดินอยู่คน

เดียวนั้น ผมก็หันไปเห็นว่าแอนนั่งอยู่บนโขดหินเพียงลำาพัง ภาพที่ผมเห็น มันเป็นภาพที่

สวยงามที่สุดที่ในชีวิตของผม ภาพของเธอที่นั่งมองไปยังทะเลโดยมีแสงของพระอาทิตย์

ที่กำาลังลับขอบฟ้าเป็นฉากหลัง ภาพนั้นทำาให้ผมหลงรักเธอมากขึ้นไปอีก

“เฮ้ย ไอ้กอล์ฟ” เสียงกระซิบที่ข้างหูของผม

“เฮ้ย ไอ้โอม มาเงียบๆทำาไมวะ”

“ตอนนี้โอกาสดีเลยนะเว้ย เมิงเข้าไปบอกรักคนที่เมิงชอบเลยสิ”

“ใครวะ”

“ยังมีหน้ามาถามอีก เค้ารู้กันแทบจะทั้งคณะแล้ว ว่าเมิงชอบแอน”

“เฮ้ยจริงดิ”

“ตอนนี้บรรยากาศโคตรจะเป็นใจ เข้าไปบอกรักแล้วขอเธอเป็นแฟนเลยดิวะ”

“จะบ้าหรอเมิง”

24

Page 27: Medleuddang Vol.15

“ถ้าพลาดโอกาสนี้ไป รอจนตายเลยนะเมิง บรรยากาศออกจะเป็นใจขนาดนี้”

“จะดีหรอเมิง”

แม้ว่าผมจะไม่เชื่อมั่นสักเท่าไร แต่ผมก็เดินออกไปตามที่โอมยุ ผมรู้ตัวว่าผม

สามารถที่จะบอกรักเธอได้ แต่ผมไม่มั่นใจว่าหลังจากที่ผมได้บอกออกไปแล้ว ความรู้สึก

ที่เธอมีให้ผมจะเป็นอย่างไรต่อไป เราจะเข้าหน้ากันได้หรือเปล่า หลายครั้งที่ผมชอบใคร

แม้ว่าก่อนหน้านั้นเราจะเป็นเพื่อนและมีความรู้สึกดีดีให้กัน แต่เมื่อเธอรู้ว่าผมชอบเธอใน

แบบที่มากกว่าเพื่อน หลายครั้งที่พวกเธอก็หนีหน้าผมไปเลย ตอนนี้ผมไม่อยากที่จะเสีย

เธอไปเหมือนคนอื่นๆ

“อ้าวกอล์ฟ มาทำาไรตรงนี้อ่ะ”

“แอน คือว่า .. ว่า ..”

“อะไรหรอกอล์ฟ”

“เอ่อ คือ ... เราอยากจะบอกว่า ... เรา ... เราคิดว่านั่งตรงนี้นานๆระวังเป็น

หวัดนะ ลมมันแรง แล้วก็ตอนนี้เราว่าห้องน้ำาน่าจะว่างแล้ว เข้าไปอาบได้เลยนะ”

“อือ เดี๋ยวเราตามไปนะ”

ผมเดินลงมาจากโขดหิน แล้วไอ้โอมก็มาลากผมไปข้างๆ

“ไอ้ห่าน เมิงทำาไรของเมิงวะ โอกาสดีดีแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆอีกแล้วนะเว้ย”

“กูรู้ว่าโอกาสแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ แต่กูรู้สึกว่ากูยังไม่พร้อม กูไม่แน่ใจตัวเองว่า

จะทำาให้เธอมีความสุขได้จริงๆหรือเปล่า ต่อจากนี้ไปกูจะพยายามตัดสินใจให้ดีก่อน กูว่า

ตอนนี้กูอยากที่จะรอไปก่อน รอเวลา รอจนกว่าที่กูจะมั่นใจว่าทำาได้อย่างที่คิดจริงๆ”

“ก็ตามใจเมิง แต่ระวังจะมีหมามาคาบไปแดกก่อนล่ะกัน”

“ก็ถือว่าเค้าได้ไปดี มีความสุขแล้ว กูก็ยินดีเสียสละว่ะ”

“จ้าๆ ไอ้พ่อพระ”

ใช่แล้วครับ ผมยังคิดว่าผมในตอนนี้ยังไม่แน่ใจในตัวเอง ผมไม่สามารถที่จะ

ตอบตัวเองได้ว่าความรู้สึกดีดีที่ผมมีให้กับแอนนั้น เป็นความรักหรือเป็นเพียงความหลง

ผมรู้สึกว่าผมยังทำาสิ่งดีดีให้เธอไม่ได้มากอย่างที่ตั้งใจ ผมอยากให้เธอรู้สึกแบบที่ผมนั้น

รู้สึกกับเธอก่อน สำาหรับผมแล้วผมเชื่อว่าหากเรามีความรู้สึกดีที่เพียงพอ ย่อมที่จะส่งไป

ให้เธอสัมผัสได้ ผมคิดว่าการที่แต่ก่อนผมผิดหวังในความรักมาตลอดนั้น คงเป็นเพราะ

ว่าผมยังถ่ายทอดความรู้สึกไปได้ไม่เพียงพอ และที่สำาคัญผมยังไม่มีความกล้าพอที่จะ

บอกเธอออกไป ผมกลัวว่าเธออาจจะไม่คุยกับผมอีกเลยก็เป็นได้ แต่ในโอกาสหน้า

25

Page 28: Medleuddang Vol.15

ที่ผมจะบอกเธอ วันนั้นจะเป็นวันที่ผมมั่นใจว่าเธอเองก็จะรักผมเช่นเดียวกัน ไม่ว่าวันนั้น

จะนานแค่ไหนก็ตาม ผมก็จะรอไปก่อน

--- ทางด้านของแอน ---

“ว่าไงแอน เมื่อกี้แอบเห็นนะ กอล์ฟเข้าไปบอกรักหรอ”

“บ้าหรอ กอล์ฟแค่มาบอกให้ดูแลสุขภาพแล้วก็ห้องน้ำาว่างแล้วเอง”

“แค่นั้นจริงหรอ แอนเองก็ดูออกนิว่า กอล์ฟชอบเธอ”

“ก็ใช่ แต่ฉันก็เคยบอกไปแล้วนะ ว่ากอล์ฟนะเป็นได้แค่เพื่อน กอล์ฟก็ไม่ได้แย่

อะไรหรอก เพียงแค่เขาไม่ใช่สำาหรับฉัน แต่ก็ดีแล้วนะที่กอล์ฟไม่ได้บอกอะไรฉัน เพราะ

ฉันไม่อยากทำาร้ายจิตใจของเขาเลย”

“แม้ว่าเขาจะทำาดีให้เธอเท่าไรก็ตามหรอ”

“ก็คงใช่ ฉันคิดว่าความรักมันไม่ได้มาจากการทุ่มเทเพียงอย่างเดียวนะ มัน

ต้องมีอย่างอื่นมาประกอบด้วย ฉันก็ยอมรับนะว่ากอล์ฟเค้าเป็นคนดี แล้วเค้าก็ดีกับฉัน

มากจริงๆ เพียงแต่ฉันยังลืมอดีตไม่ได้”

“ฉันว่าแกลองมองผู้ชายแท้ๆ ดูบ้างสิ เลิกนิสัยเป็นดี้ได้แล้วมั้ง”

26

Page 29: Medleuddang Vol.15

เปรู เพราะ มันรอไม่ได้จริงๆ แตง 58 เมษา การระหว่างประเทศ

สิ่งที่รอไปก่อนไม่ได้คือ “ขี้” (คำ กิริยาที่แปลว่าการปลดปล่อย อุจาระออกจากทวารหนัก) เนื่องจาก ประการแรก เหตุผลทางการแพทย์ การกลั้นขี้ นั้นเสี่ยงต่อการเกิดริดสีดวงทวารหนักหรือมะเร็งลำ ไส้ใหญ่ ประการที่สองเป็นเหตุผลทางปรัชญา การอดขี้ถือเป็นการอดกลั้นอย่างหนึ่ง ซึ่งการอดกลั้น อดทน ถือเป็นบำ เพ็ญตบะอย่างหนึ่ง ไม่ต่างจากการบำ เพ็ญทุกกิริยาของพระพุทธเจ้า อันเป็นการแสดงคุณธรรม อย่างหนึ่งของผู้ปกครอง ดังนั้น สำ หรับไพร่หรือชนชั้นล่างอย่างผมแล้วก็ไม่มีความจำ เป็นต้องแสดงความเหนือกว่าหรือคุณธรรมอย่างว่านั้น

อ๊อป 58 ภราดร การเมืองการปกครอง

27

Page 30: Medleuddang Vol.15

งาน เพราะ อยากสร้างความมั่นคงในชีวิตไว้เพื่อใครสักคน

อู๋ 59 แสงจันทร์ การเมืองการปกครอง

อ่านหนังสือ เพราะ จะสอบแล้วน้ำาตาล 59 ขาวควัน – จำาปีเหนือ ปกครอง

ทำ�บุญ�เพราะ�ชีวิตคนมันสั้นอีกไม่กี่ปีก็ตาย�เดี๋ยวจะไม่มีโอกาสได้ทำ� แม็ค 59 สามปาล์ม การระหว่างประเทศ (ชุมนุมพุทธศาสน์และประเพณี)

����ความรัก�เพราะ�เป็นเพื่อนกันไปแล้ว�(เก๋ๆ) กาซ่า 59 appeal-สายรุ้ง การระหว่างประเทศ

28

Page 31: Medleuddang Vol.15

ความเสมอภาคของมนุษย์อย่างเปี่ยมล้น

ที่ล้วนรอคอยและถวิลหามาแต่ละยุคสมัย เมื่อชนชั้น ชนชาติ

และการแบ่งแยกหมดสิ้นไป มนุษย์ย่อมล้วนดำารงทางสังคม

และมอบความชุ่มชื้นทางจิตใจแก่กันได้โดยปราศจากเงื่อนไขของชนชั้น

กี๋ 59 เลี้ยวซ้าย (ผ่านตลอด*) การระหว่างประเทศ

*ต่อเติมให้โดยบูมชรองดอร์ฟ -พี่กี๋ ขำาๆ น่ะ อย่าคิดมาก

ความรัก เพราะ ยิ่งอายุมากยิ่งหมดคุณค่าไปทุกที โอ๋ 59 เจ้าจำาปี การเมืองการปกครอง

ก็ต้นฉบับเม็ดเลือดแดงไงครับ ชื่อธีมว่า

“รอไปก่อน” แต่เรารอไม่ ได้ครับ เดี๋ยวเพื่อนๆ

ไม่มีอ่านกัน....ฮ่าฮ่าฮ่า จะปิดไม่ทันแล้ววววว บูมสกี้ 59 เม็ดเลือดแดง-ศิลปกรรม

สิงห์โต๊ะเล็ก การระหว่างประเทศ

29

Page 32: Medleuddang Vol.15

ก�รประกันคุณภ�พท�งก�รศึกษ� (7) การประกันคุณภาพการศึกษาจะสำาเร็จลงมิได้ ถ้าไม่มีหน่วยงานที่ดูแลเรื่อง

นี้ วันนี้เราพามาทำาความรู้จักกับสำานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการ

ศึกษา (สมศ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๔๐ มาตรา ๘๑ กำาหนดให้มี

กฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาแห่งชาติ จึงได้มีการยกร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่ง

ชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๔๒ เป็นต้นมา ใน

หมวด ๖ ว่าด้วยมาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา มาตรา ๔๙ ได้กำาหนด

ให้มีสำานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา เรียกโดยย่อว่า “สมศ.”

มีฐานะเป็นองค์การมหาชน ซึ่งประกาศใน

ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๑๑๗ ตอนที่ ๙๙ก

เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ และมีผล

บังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๓

โดยให้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเกณฑ์และวิธี

การประเมินคุณภาพภายนอก และทำาการ

ประเมินผลการจัดการศึกษาเพื่อให้มีการตรวจ

สอบคุณภาพของสถานศึกษา โดยคำานึงถึง

ความมุ่งหมาย หลักการ และแนวทางการ

จัดการศึกษาในแต่ละระดับตามที่กำาหนดไว้ในกฏหมายว่าด้วยการศึกษา แห่งชาติ โดย

ให้มีการประเมินคุณภาพภายนอกของสถานศึกษาทุกแห่งอย่างน้อยหนึ่งครั้งใน ทุกห้าปี

นับตั้งแต่การประเมินครั้งสุดท้าย และเสนอผลการประเมินต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและ

สาธารณชน

นอกจากนี้ ได้กำาหนดไว้ในบทเฉพาะกาลว่าจะต้องจัดให้มีการประเมินคุณภาพ

ภายนอกของสถาน ศึกษาทุกแห่ง ภายในหกปีนับตั้งแต่วันที่พระราชบัญญัติการศึกษา

แห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ ใช้บังคับ

30

Page 33: Medleuddang Vol.15

คณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารสำานักงานรับรองมาตรฐานและ

ประเมิน คุณภาพการศึกษา เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๔๓ ตามพระราชกฤษฎีกาจัด

ตั้งสำานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๓ จำานวน ๑๑

ท่าน โดยให้มีกรรมการโดยตำาแหน่ง จำานวน ๓ ท่าน ได้แก่ปลัดกระทรวงการศึกษา

ศาสนาและวัฒนธรรม ประธานกรรมการพัฒนาระบบการประเมินคุณภาพการศึกษา

ขั้นพื้นฐาน และประธานกรรมการพัฒนาระบบการประเมินคุณภาพการศึกษาระดับ

อุดมศึกษา และให้มีผู้ทรงคุณวุฒิที่ไม่ใช่ข้าราชการจำานวนไม่น้อยกว่า ๔ ท่าน จากการ

สรรหาผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ทางด้านการบริหาร มนุษยศาสตร์

สังคมศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และให้ผู้อำานวยการเป็นกรรมการและ

เลขานุการโดยตำาแหน่ง

ทำ�ไมต้องมีสำ�นักง�นรับรองม�ตรฐ�นและประเมินคุณภ�พก�รศึกษ�

ในการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพนั้น จำาเป็นต้องใช้หลักการบริหารจัดการ เช่น

เดียวกับการบริหารหรือดำาเนินกิจการต่างๆ ที่ต้องมีการดำาเนินงานให้เป็นระบบครบ

วงจรโดยมีขั้นตอนที่สำาคัญประการหนึ่ง คือ การประเมินผลเพื่อให้ได้ข้อมูลย้อนกลับ

อันจะสะท้อนให้เห็นถึงผลการดำาเนินงานที่ผ่านมาว่าบรรลุเป้าหมายที่กำาหนดไว้ เพียง

ใด รวมทั้งมีจุดอ่อนหรือปัญหาในเรื่องใดบ้างที่ต้องปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้การวางแผน

และการดำาเนินงานระยะต่อไปบรรลุเป้าหมายอย่างมีคุณภาพและ ประสิทธิภาพ

ด้วยเหตุนี้ จึงจำาเป็นที่จะต้องให้ความสำาคัญกับการประเมินผล โดยเฉพาะการประเมิน

คุณภาพภายนอกจากหน่วยงานที่เป็นกลาง เพราะจะทำาให้เกิดกลไกในการตรวจสอบ

อย่างจริงจัง รวมทั้งกระตุ้นให้หน่วยงานที่จัดการศึกษาตั้งแต่ระดับชาติถึงหน่วยงานที่

เล็กที่สุด คือสถานศึกษาและภายในห้องเรียนต้องมีการประเมินตนเองเพื่อพัฒนาการ

จัดการ ศึกษาให้มีคุณภาพอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา

To be continue

31

Page 34: Medleuddang Vol.15

งานแต่งงานผลาญทรัพย์อัปยศเงินสิ้นหมดทองหายมลายสูญเกียรติก่อเกิดพร้อมหนี้สินที่พอกพูนทวีคูณความสิ้นเปลืองให้เลื่องลือ

ขันหมากแห่แหล่ร้องทำานองรักแจ้งประจักษ์หลักประกันอันเชื่อถือทรัพย์สินสอดแสดงไว้ให้ระบือทองเต็มมือเงินเต็มพานตระกาลตา

ร้อยโต๊ะจีนจัดไว้เอาใจแขกร่วมกินแหลกแดกไม่หยุดสุดหรรษากินทิ้งขว้างทั้งไก่เห็ดเป็ดหมูปลาเหล้านั้นหนาเหน็บกลับบ้านสราญรมย์

ณ งานหนึ่งซึ่งใช้เงินจนเพลินหมดกำาซาบซดทรัพย์สินอย่างสุขสมบนผืนหล้ายังขาดไร้ความอุดมแก่ฝูงชนให้ชื่นชมถ้วนทั่วกัน

เมื่อเสร็จงานสร้างสิ่งใดเอาไว้หรือหวังสร้างชื่อฤาเกียรติให้เฉิดฉันท์ทรัพย์ละลายหายไปเพียงข้ามวันควรหรือนั่น จะจัดงาน ประจานตน

งานแต่งงาน ประจานตน

สำ าหรั บ ฉบั บนี้ ต้ อนรั บ

การเปลี่ยนชื่อคอลัมน์จากไส้ติ่งเป็น

กวีกระวาท ด้วยกลอนเบาๆ สไตล์

เสียดสีสังคมที่ผู้เขียนได้ไปประสบ

พบเจอมาจากต่างจังหวัด(บ้านเกิด

ผู้เขียนเอง) หวังว่าอ่านแล้วคงได้

เห็นเงาอันพร่ามัวที่ซุกซ่อนอยู่ใน

งานแต่งงานกันนะครับ

และฉบับนี้ พิ เ ศษสุดขอ

แนะนำาบทประพันธ์จากเพื่อนใหม่

ของเราฝากไว้ในอ้อมอกอ้อมใจผู้

อ่านด้วยนะครับ จะเป็นบทประพันธ์

ในรูปแบบที่แตกต่างจากผู้เขียนเดิม

อยู่บ้าง อย่างไรก็ช่วยกันติชม

แนะนำากันมานะครับ สำาหรับฉบับนี้

สวัสดีลาก่อนครับ

พระยาลับแล

ประพันธ์

32

Page 35: Medleuddang Vol.15

“หากไม่มีเงามืดนั้นที่พรั่นพรึงเธอนึกถึงสิ่งไรในฟ้ากว้างหากไร้โซ่ตรวนนี้ที่ชิงชังเธอมุ่งหวังจะโบยบินสู่ถิ่นใดเมื่อมีเหตุผล ต้นเเละปลาย เป็นสายธารทุกกาลคงเป็นเช่นวันใหม่ฤดูร้อนลมพัดระบัดใบทุกมวลไม้เขียวสะพรั่งกระจ่างตาคือความรักความหวังการสร้างทำาจะคอย ย้ำาสิ่งหมายมาดปรารถนารากที่หยั่งลึกลงตรงผืนหล้าใช้เวลาจำาเริญกี่เนิ่นนานหญ้าปลายไร่ไม้ปลายนาที่ร้างรกเขาทึ้งถกแผ้วถางเพื่อล้างผลาญด้วยคันไถเทียมควายใช้เเรงงานหรือพ่นสารเคมีชีวาวายเเต่ไม้ถิ่นรู้เเดดฝนทนร้อนหนาวเพียงเมฆขาวหยาดหยดฝนสักหนใหม่รากเเผ่สร้านผืนดินหาสิ้นไร้เห็นร่มไม้ รู้ค่ามีพิสูจน์ดิน”

วษินทร์

ผู้สร้าง

33

Page 36: Medleuddang Vol.15

พบกันเป็นฉบับแรกนะครับ สำาหรับ “จิบชา” สนุกสนาน

ไปกับปริศาอักษรไขว้ง่ายๆ กันดีกว่านะครับ หลังจากได้อ่าน

บทความเครียดๆ กันมามากแล้ว คราวนี้ก็ไปต้มชามาจิบเล่นกัน

ดีกว่า จิบไปเล่นเกมไป โอ้วยอดเยี่ยมกระเทียมดองเป็นบ้าเลย

ถ้าชาหมดแก้วแล้วแต่ยังตึ๊บ อยู่ล่ะก็ เฉลยท้ายเล่มมีบอกนะเอ้อ...

โห่ะๆ คราวนี้มาไม่ยากๆ คราวหน้าไม่แน่ แล้วมาจิบชากันต่อฉบับหน้านะครับ

บูมสกี้

34

Page 37: Medleuddang Vol.15

Detroit Metal City ความฝันที่ต้องรอไปก่อน

โซจิ เนกิชิ เด็กหนุ่มบ้านนอกจาก

เมืองโออิตะ ประเทศญี่ปุ่น ใฝ่ฝันที่จะเรียน

ดนตรีและเป็นศิลปินเพลงป๊อปที่โด่งดังจึงได้

ตัดสินใจเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยโตเกียว

ความฝันของเขาใกล้จะเป็นจริงแล้ว เขามี

ห้องพักที่ตกแต่งอย่างหรู ได้ร้องเพลงอย่าง

ที่ใจรัก ใส่เสื้อผ้าของดีไซเนอร์ชื่อดัง มีชีวิต

อย่างคนเมืองจริงๆ ทั้งหมดนี้ คือ ความฝัน

ของเนกิชิ แต่...

“Go to DMC. Go to DMC!”เสียงตะโกนจากแฟนเพลงที่บ้าคลั่งร้องเรียก

วงดนตรีที่ตนชื่นชอบ Detroit Metal City

วงดนตรีเดธร๊อคที่มีนักร้องนำาคือ ท่านเครา

เซอร์ผู้มาจากนรก เลวทรามมากขนาดฆ่าพ่อแม่ของตัวเองตั้งแต่ยังเด็กสามารถข่มขื่น

ผู้หญิง 11 คนได้ในเวลา 1 นาที เรียกได้ว่าสิ่งชั่วร้ายทั้งหมดในโลกนี้ท่านเคราเซอร์

ทำามาหมดแล้ว สาวกของ DMC จึงชื่นชมกันมาก แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่าตัวจริงของท่าน

เคราเซอร์ก็คือเนกิชิ ผู้มีบุคลิกตรงกันข้าม ทั้งใสซื่อและอ่อนหวาน แถมยังไม่เคยผ่าน

มือหญิงมาก่อน…

Detroit Metal City เป็นภาพยนตร์จากแดนปลาดิบอีกเรื่องที่สร้างจาก

หนังสือการ์ตูน แม้ว่าจะไม่ใช่การ์ตูนแนวที่มีสาระหนักๆ หรือได้รับรางวัลจากสถาบัน

ใด แต่สิ่งหนึ่งที่การ์ตูนและหนังเรื่องนี้มีแน่นอนคือความตลกขบขันในบุคลิกที่แตกต่าง

ระหว่างเนกิชิและท่านเคราเซอร์ แม้มุขคนสองบุคลิกจะไม่ใช่มุขใหม่แต่ก็สร้างเสียง

หัวเราะได้ทุกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ต้องยกความดีให้กับเคนอิชิ มัตซึยาม่า ที่รับบทหลัก

ในเรื่องและเรียกได้ว่าเป็นการพลิกบทบาทของเขาเลยทีเดียว จากบทของแอลในเรื่อง

35

Page 38: Medleuddang Vol.15

Death Note ที่ต้องเคร่งขรึมและใช้ความคิดตลอดเวลา กลายมาเป็นหนุ่มบ้านนอก

ซื่อๆ ไร้เดียงสา ควบคู่กับบุคลิกประหลาดของท่านเคราเซอร์ ซึ่งเคนอิชิก็สามารถทำา

ออกมาได้ดี และเรียกเสียงฮาจากผู้ชมได้ไม่ยาก

โครงเรื่องของหนังเรื่องนี้ไม่ได้สลับซับซ้อนมาก

เป็นการเล่นกับบุคลิกสองแบบที่ต่างกัน

สุดขั้วและไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนๆ

เดียวกันได้ นอกจากนี้แล้วหนังยัง

เน้นให้เห็นถึงความใฝ่ฝันที่แต่ละคนมี

อยู่และการการไปให้ถึงฝันนั้น เนกิชิ

เป็นเด็กบ้านนอกที่ใฝ่ฝันจะเอาดีด้าน

ดนตรี เพื่อทำาตามความฝันของ

ตัวเองจึงเข้ามาเรียนในตัวเมือง เนกิชิเป็น

ตัวแทนของคนที่มีฝันและไม่หยุดอยู่กับที่ ห รื อ ร อ ใ ห้

โอกาสวิ่งเข้ามาหา เขาวิ่งเข้าไปหาโอกาสนั้น แม้แต่การได้มาเป็นท่านเครา

เซอร์ก็เป็นโอกาสที่เขาไขว่คว้ามาได้ด้วยตัวเอง เรื่องราวของ เนกิชิสะท้อนให้เห็นว่าทุก

คนมีความฝัน ฉะนั้นอย่าละทิ้งความฝันจนกว่าจะประสบความสำาเร็จ

แต่ความฝันที่แท้จริงของเนกิชิคือการเป็นนักร้องเพลงป๊อป ซึ่งเขายังไม่

สามารถทำาได้และต้องรอไปก่อน แต่ใครจะยืนยันได้ว่าหากรอไปนานๆแล้ว เนกิชิจะไม่

ถูกความเป็นท่านเคราเซอร์ครอบงำาจนกลายเป็นเคราเซอร์ทั้งตัวและหัวใจ

36

Page 39: Medleuddang Vol.15

อย่างในเรื่องภาพของท่านเคราเซอร์ คือ คนเลวทรามคนหนึ่งที่ทำาชั่วมาแล้วมากมาย

ซึ่งทั้งที่จริงแล้วท่านเคราเซอร์เป็นเพียงภาพมายาที่ถูกสร้างขึ้น ไม่ได้มีตัวตนจริงๆ หาก

วัยรุ่นเหล่านั้นรู้ว่าที่จริงแล้วท่านเคราเซอร์ก็คือหนุ่มบ๊องๆคนหนึ่ง พวกเขาจะยังชื่น

ชอบอยู่อีกหรือไม่

นอกจากนี้ Detroit Metal City ยังเป็นการผสมผสานของสองสิ่งที่ไม่น่ารวม

กันได้ คือ ความฮาและความรุนแรงของดนตรีเดธร๊อค ในสายตาของคนทั่วไปแล้วเด

ธร๊อค คือดนตรีที่มีความรุนแรงทั้งในด้านของเนื้อหาที่กล่าวถึงความตาย อีกทั้งยั่วยุ

ทางอารมณ์และความรุนแรงของจังหวะดนตรี เสียงร้อง รวมไปถึงลีลาการแสดงสด

ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นแนวดนตรีที่เข้าใจยากหรือบางคนมองว่าเป็นดนตรีขยะด้วยซ้ำา

แต่สำาหรับ DMC แล้ว ทำาให้ความรุนแรงเหล่านี้ลดลงไปมาก และทำาให้คนที่ไม่เคยฟัง

ดนตรีแนวนี้มาก่อนทำาใจยอมรับได้

Detroit Metal City ร๊อคนรกโยกลืมติ๋ม เป็นหนังที่ดูได้สบาย (แต่อาจไม่

สบายหูบางช่วง) และรับประกันความฮา ที่สำาคัญคืออยากให้มาพิสูจน์ฝีมือการแสดง

ของเคนอิชิ มัตสึยาม่า ที่แสดงได้เนียนและ ตีบทแตกมาก

อย่ารอไปก่อนที่จะหาหนังเรื่องนี้มาดู เพราะอาจต้องเสียใจที่พลาดของดีไป Le Chat

37

Page 40: Medleuddang Vol.15

ข่าวคราวที่โลกได้รับรู้จากพม่า

เพื่อนบ้านสมาชิก ASEAN ของเราเมื่อ

เช้าวันที่ 7 พ.ค. 2009 ที่ผ่านมาคือ

ทางการพม่าได้เพิ่มกำาลังเจ้าหน้าที่ตำารวจ

บริเวณบ้านพักของ ออง ซาน ซูจี ที่ตั้ง

อยู่ใกล้ทะเลสาปอินยา, ร่างกุ้ง หลังจาก

ที่จับกุมตัวนาย John William Yeattaw

ชาวอเมริกันที่ลักลอบเข้าไปถึงบริเวณ

ดังกล่าวซึ่งตามปกติจะมีการรักษาความ

ปลอดภัยอย่างเข้มงวด ทำาให้เกิดคดีซึ่ง

ทางการพม่าทำาการสอบสวนโดย

เร่ งรัดด้ วยข้อหา

ละ เมิ ดคำ าสั่ ง

กั ก กั น

รัฐบาล

ท ห า ร พ ม่ า ป ฏิ เ ส ธ คำ า อุ ท ธ ร ณ์ ข อ

ปล่อยตัวนางซูจีซึ่ งมีกำาหนดเมื่อวันที่

27 พฤษภาคม ซึ่งถ้าหากคำาพิพากษา

ระบุว่านางมีความผิดจริงก็จะทำาให้ต้อง

ถูกคุมขังต่อไปอีกถึง 5 ปี และนั่นยังกิน

ความถึงโอกาสที่ความเป็นประชาธิปไตย

ในพม่าจะเป็นไปได้ยาก

แล้วเรื่องราวเป็นมาอย่างไร......

ก่ อ น ยุ ค ก า ร แ ผ่ อิ ท ธิ พ ล

ลัทธิ จั กรวรรดินิ ยมตะวันตก เข้ ามา

ในเอเชีย พม่าปกครองโดยระบอบ

สมบูรณาญาสิทธิราชย์เช่นเดียวกับรัฐ

หลายๆรัฐในเอเชียอาคเนย์ จนกระทั่ง

อังกฤษรวมพม่าเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ

อาณานิคมเมื่อวันที่ 1 ม.ค. 1886

โดยให้มีฐานะเป็นเพียงมณฑลหนึ่งของ

อินเดีย และจัดการเปลี่ยนแปลงลักษณะ

โครงสร้างทางสังคมและการเมืองดังที่พอ

สรุปได้ดังนี้

1. )ยกเลิกระบอบกษัตริย์ และแทนที่

ด้ วยรั ฐบาลพล เรื อนภายใต้ รู ปแบบ

ประชาธิปไตย มีสภาสองสภาคือ สภาผู้

แทนราษฎรและวุฒิสภา

การปล่อยตัวออง ซาน ซูจี กับประชาธิปไตยพม่าที่ต้องรอไปก่อน

38

Page 41: Medleuddang Vol.15

2.)ฝ่ายศาสนา(พุทธ)ถูกแยกออกจาก

การเมือง

3.)ย้ายฐานอำานาจการเมืองจากมัณฑะ

เลย์ไปร่างกุ้ง

4.)พม่าถูกแบ่งเป็นสองส่วน คือส่วนที่เป็น

พม่าแท้ และชนกลุ่มน้อยบริเวณชายแดน

ที่ปกครองตัวเอง (พอจะได้ภาพของการ

แบ่งแยกและปกครอง)

5. ) เปิดโอกาสให้พลเมืองมีส่ วนร่ วม

ทางการเมืองมากขึ้น แต่ก็จำากัดวงอยู่ใน

กลุ่มข้าราชการที่ทางการอังกฤษแต่งตั้ง

และผู้ที่ได้รับการศึกษาแบบตะวันตก

อย่างไรก็ตาม ด้วยการศึกษา

แบบใหม่ก็ทำาให้ประชาชนพม่าตระหนักถึง

ความจำาเป็นในการเรียกร้องเอกราชมาก

ขึ้น ผู้ที่มีบทบาททางด้านนี้กลุ่มแรกๆส่วน

มากเป็นนักศึกษาที่พัฒนาการเคลื่อนไหว

ทางการเมืองภายใต้กรอบกฎหมาย ในปี

1906 เกิดสมาคมชาตินิยม Young Men

Buddhist Association เน้นประเด็น

ศาสนาและวัฒนธรรม ก่อนจะคลี่คลาย

มาเป็น General Council of Burmese

Association (GCBA) ซึ่งกลายมาเป็น

แกนกลางของขบวนการเรียกร้องเอกราช

พม่า ขณะเดียวกันในภาคชนบทก็มีกลุ่ม

ชาวบ้านที่เคลื่อนไหวเรียกร้องให้พม่ากลับ

สู่ค่านิยมดั้งเดิมและสถาบันที่มีมาก่อนยุค

อาณานิคม เช่น กบฎซายาซาน 1930 -

1932

สงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นถือ

โอกาสขณะที่เกิดสงครามในยุโรปเข้ายึด

อาณานิคมของชาติตะวันตกในเอเชียรวม

ถึงพม่า สมาคมสามสิบสหายจาก GCBA

เข้ารับการฝึกกับญี่ปุ่นเพื่อกลับมาต่อสู้

กับเจ้าอาณานิคม แต่ก่อนที่ฝ่ายอักษะ

จะปราชัย กองทัพบกของพม่าซึ่งกำาเนิด

ขึ้นจากการเข้าร่วมฝึกอาวุธกับญี่ปุ่นนี้ ก็

กลับหันเข้าช่วยอังกฤษขับไล่ญี่ปุ่นจน

สำาเร็จ ทำาให้เป็นข้อต่อรองหนึ่งที่อังกฤษ

ต้องยอมปลดปล่อยพม่าในเดือนมกราคม

1948

ภายใต้ห้วงเวลาเหล่านี้ นับแต่การก่อตั้ง

ทัพบกพม่าโดยการสนับสนุนและฝึกฝน

39

Page 42: Medleuddang Vol.15

อย่างหนักของญี่ปุ่น องค์กรดังกล่าวได้

พัฒนาการจัดตั้งที่เข้มแข็งและมีบทบาท

สำาคัญในการกู้ชาติ ผู้นำากองทัพคือ

นายพลเนวินก็ก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำา

ทางการเมืองที่โดดเด่นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะ

หลังความตายของ ออง ซาน–บิดาแห่ง

เอกราชพม่า ก็ยังไม่มีผู้นำาทางการเมือง

คนใดที่สามารถสั่งสมบารมีได้เทียบเท่า

ปี 1948 – 1962 พม่าใช้ระบบ

รัฐสภาภายใต้รัฐธรรมนูญปี 1947 ซึ่ง

กำาหนดให้มีสภาชนชาติควบคู่ไปกับสภาผู้

แทนฯ แต่นั่นยังไม่ใช่การบรรลุอุดมการณ์

อันสูงสุด ด้วยยังปรากฏว่าระบบเศรษฐกิจ

ยังอยู่ในมือชาวต่างชาติ โดยเฉพาะ

นายทุนเงินกู้ชาวอินเดีย ขณะที่ชนบทยัง

เป็นสังคมเกษตร การแข่งขันทางการค้า

ก็ตั้งอยู่บนความไม่เท่าเทียมทางสังคมซึ่ง

ตกทอดมาตั้งแต่สมัยก่อนได้รับเอกราช

ฝ่ายสังคมนิยมและชนเผ่าจึงแยกตัวจาก

ฝ่ายรัฐบาล เกิดสงครามกลางเมืองและ

วิกฤติเศรษฐกิจ ต้องพึ่งพาต่างชาติ ใน

ที่สุดก็เกิดการปฏิวัติโดยนายพลเนวิน เมื่อ

วันที่ 2 มีนาคม 1962

พม่าเปลี่ยนแปลงการปกครอง

เป็นระบอบสังคมนิยมวิถีพม่า (Burmese

Way to Socialist) มีการยกเลิกทุกสภา

ที่มีอยู่ ยุบพรรคการเมือง โอนกิจการ

ต่างๆมาเป็นของรัฐซึ่งปกครองโดยรัฐบาล

ทหาร โดยมีเป้าหมายที่จะกวาดล้าง

อิทธิพลต่างชาติที่ยังตกค้างให้สิ้นไป แต่

ก็ล้มเหลวในการจัดการปัญหาเศรษฐกิจ

(ทั้งที่พม่ามีทรัพยากรธรรมชาติสมบูรณ์

และได้ชื่อว่าเป็นดั่งอู่ข้าวแห่งเอเชีย) จน

กระทั่งต้องขอสถานภาพประเทศด้อย

พัฒนาจากสหประชาชาติในปี 1987 เกิด

ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำา ต้องยกเลิกธนบัตร

ฉบับเล็กซึ่ งประชาชนถืออยู่มากที่สุด

กระทบถึงการครองชีพชาวบ้านตลอดจน

นักศึกษาซึ่งในที่สุดก็เป็นกลุ่มที่ออกนำา

การประท้วงรัฐบาล นำาไปสู่เหตุการณ์

นองเลือดที่รัฐบาลทหารใช้กำาลังอาวุธ

ล้อมปราบผู้ชุมนุม 8-8-88

หลัง เหตุการณ์ความรุนแรง

รัฐบาลสถาปนาคณะผู้บริหารประเทศชุด

ใหม่คือ The State Law and Order

Restoration Council : SLORC ที่ก็ไม่

พ้นกลุ่มอำานาจของชุดเก่าเท่าไรนัก ต่อ

มาในเดือนพฤษภาคม 1990 มีการเลือก

ตั้งทั่วไปในพม่า ผลปรากฎว่าพรรคฝ่าย

ตรงข้ามคือ National League for De-

mocracy (NLD) ซึ่งนำาโดยนางออง ซาน

ซูจี (บุตรีของผู้นำาการเรียกร้องเอกราช

ที่กล่าวถึงไว้ข้างต้น) ได้รับคะแนนเสียง

อย่างท่วมท้นเหนือการคาดหมาย แต่

รัฐบาลพม่ากลับไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง

และไม่ยอมลงจากอำานาจ โดยอ้างว่าพม่า

ยังไม่พร้อมที่จะมีรัฐบาลพลเรือน จึงได้กัก

บริเวณนางซูจีในข้อหาสร้างความไม่สงบ

40

Page 43: Medleuddang Vol.15

นับแต่นั้น แม้จะทำาการยกเลิกในปี 1995

แต่ก็เป็นเพียงการชั่วคราวเท่านั้น

โลกตะวันตกมั ก ใช้ประ เด็น

การกักขังนางซูจี และการละเมิดสิทธิ

มนุษยชนและความเป็นเผด็จการมาโจมตี

พม่า นอกจากนี้ยังพยายามใช้มาตรการ

กดดันต่างๆ แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะรัฐบาล

ทหารพม่าอยู่ได้ด้วยการขายสัมปทาน

ทรัพยากรอย่างป่าไม้ แร่ธาตุ รวมถึง

พลังงานแก่ประเทศในเอเชีย อย่างจีน

ญี่ปุ่น หรือแม้กระทั่งไทยเอง มองวาท

กรรมว่าด้วยประชาธิปไตยอีกด้านหนึ่งก็

อาจเปรียบเหมือนเครื่องมือของประเทศ

มหาอำานาจที่แสวงหาความชอบธรรมใน

การเข้าไปแทรกแซงกิจการประเทศอื่นๆ

เพื่อเข้าถึงแหล่งทรัพยากรดังที่ปรากฏใน

หลายกรณี สิ่งนี้เข้าทางรัฐบาลทหารพม่า

ที่พยายามสร้างภาพว่าระบอบดังกล่าว

เป็นสิ่งแปลกปลอมที่เจ้าอาณานิคมเคยนำา

มาบังคับใช้กับพม่า

ด้านอองซานซูจี แม้ในวัยเยาว์

จะจากบ้านเกิดเมืองนอนไปหลายสิบปี

แต่ในวัย43 ซึ่งบังเอิญเธอกลับมายังพม่า

ในปี1988 เศรษฐกิจแบบสังคมนิยมของ

พม่ากำาลังเข้าสู่ทางตัน ในคลื่นประท้วง

ต่อต้านเผด็จการ เธอได้ขึ้นปราศรัยต่อ

หน้าผู้ชุมนุมครั้งแรกและกลายเป็นเสมือน

ผู้นำาใหม่ของมหาชนที่ออกเคลื่อนไหว

ทางการเมือง ด้วยภาพของเธอที่เป็น

ประหนึ่งตัวแทนของพ่อ - นายพลออง

ซานผู้เคยลุกขึ้นสู้กับอำานาจอันกดขี่ของ

เจ้าอาณานิคมมาก่อน เธอได้พิสูจน์ให้เห็น

แล้วถึงการยืนหยัดเพื่อสังคมที่ดีกว่าด้วย

สันติวิธี เธอยังเป็นตัวแสดงและสัญลักษณ์

แห่งความหวัง ที่รัฐบาลทหารพม่าเอง

ก็ไม่กล้าจะใช้อำานาจปืนข่มเหงทำาลาย

ประชาคมโลกต่างยกย่องเชิดชูให้เป็นต้น

แบบ(อาจรวมถึงอดีตผู้นำาไทยบางคนที่ก็

พยายามมาแล้ว)

นี่คือบทบาทของคนคนหนึ่ ง

แต่ด้วยรากฐานอำานาจทหารที่ยังคง

อยู่นับแต่สงครามโลกครั้งที่สอง ความ

เปลี่ยนแปลงคงไม่ได้มาจากคนคนเดียว

หรือเวลาอันสั้น ณ ที่แห่งนี้ ที่ที่เราอยู่

41

Page 44: Medleuddang Vol.15

เหมือนไม่ไกลห่างแต่ห่างไกล ข้อมูล

ข่าวสารหลากแง่มุมแย่งชิงพื้นที่ของ

การรับรู้ในสังคม คนที่รู้ดีคือผู้สัมผัสผล

กระทบของสถานการณ์ ความไม่สงบสุข

ของประเทศเพื่อนบ้านมีความหมายอย่าง

ยิ่ง อย่างน้อยที่สุดที่อาจเห็นเป็นรูปธรรม

คือการหลั่งไหลเข้ามาของผู้อพยพ ปัญหา

ทุกอย่างต้องการการรับรู้ เข้าใจและ

เอาใจใส่อย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงกลุ่มคน

ไม่มากไม่มายในเวทีการเมืองที่ให้ความ

สำาคัญกับผลประโยชน์เป็นหลัก หรือหาก

ภาคพื้นดินจะรู้ค่าความเป็นผู้สร้างของตน

ก็ไม่นานเกินรอ ใช่หรือไม่

นภนต์สุรพัศร

แหล่งข้อมูล

อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์, พรพิมล ตรีโชติ

, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้: กระบวนการ

เป็นประชาธิปไตยและการเมืองใหม่,

กทม.: สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์

มหาวิทยาลัย. 2542

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. พม่า:

ประวัติศาสตร์และการเมือง. กทม.:

มูลนิธิโครงการตำาราเเละสังคมศาสตร์

และมนุษยศาสตร์. 2544

http://www.salweennews.org/

สวัสดีค่ะ หลังจากห่างหายจาก

กันไปนาน กลับมาพบกับเม็ดเลือดแดง

ฉบับนี้ แฟนๆ สิงห์ลงพุงทั้งหลายคง

ไม่ต้องรออีกต่อไป... เพราะฉบับนี้

สิงห์ลงพุงจะพาทุกคนมาพบกับร้านอร่อย ที่อยากแนะนำาให้ไปลอง

ชิมกัน โดยร้านที่จะชวนชิมกันวันนี้ คือ ร้านใบโมก ร้านนี้ตั้งอยู่ใต้

หออินเตอร์ปาร์ค(ติดกับร้านอัดรูป) หลายคนอาจจะไม่คุ้นหูกับชื่อนี้มาก

นัก เพราะร้านนี้เพิ่งเปิดทำาการมาได้แค่ประมาณปีกว่า แต่ถึงแม้ว่ายังเป็น

ร้านน้องใหม่อยู่สำาหรับเวทีการประลองกลยุทธ์ด้านอาหาร แต่สิงห์ลงพุง

ขอรับรองค่ะว่าฝีมือไม่แพ้ร้านใดในย่านนั้นอย่างแน่นอน (เพราะว่าไปชิมฝีมือ

มาแล้ว)

42

Page 45: Medleuddang Vol.15

หากหลายคนเบื่อกับการแย่งชิงเรื่องปากท้องกับคนอื่นๆที่โรงอาหารของ

มหา’ลัย ร้านใบโมกก็ถือว่าเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่จะไม่ทำาให้คุณผิดหวังอย่างแน่นอน

เพราะว่าภาพบรรยากาศโดยรวมของร้าน ที่เน้นตกแต่งด้วยโทนสีเขียวและสีขาวทำาให้

ดูสะอาด ร่มรื่น เหมาะสำาหรับเป็นช่วงเวลาของการพักผ่อนจากความเคร่งเครียดใน

ห้องบรรยาย และร้านก็เป็นร้านเล็ก ภายในร้าน

นั้นมีโต๊ะประมาณ 5 ตัวและมีเครื่องปรับอากาศ

คอยบริการความเย็นฉ่ำาให้แก่ลูกค้า หรือหากใคร

อยากเปลี่ยนบรรยากาศรับลมธรรมชาติข้างนอก

ร้านมีโต๊ะอีกประมาณ 3 ตัว ซึ่งภาพรวมของร้านดูสบายๆไม่วุ่นวายมากนัก เพื่อสร้าง

ความเพลิดเพลินระหว่างการรอให้แก่ลูกค้า ทางร้านก็จัดเตรียมนิตยสารไว้หลากหลาย

ประเภท และเกมส์โดมิโนให้เล่นเพื่อฆ่าเวลา

เราก็แนะนำาและสาธยายเรื่องอื่นมามากพอแล้ว และก็มาถึงประเด็นที่สำาคัญ

ที่สุด คือ เรื่องเมนูอาหารและรสชาติ ร้านใบโมกนั้น เป็นร้านอาหารตามสั่งมีทั้งที่เป็น

ประเภทกับข้าวและเป็นอาหารจานเดียว รายการอาหารก็ถือว่ามีความหลากหลาย ไม่

ว่าจะเป็นต้ม ยำา แกง ทอด ไม่เหมือนกับร้านอาหารตามสั่งทั่วๆไป ที่โดยปกติรายการ

อาหารจะเป็นอาหารพื้นๆ

และที่ขาดไม่ได้ก็คงจะเป็นเรื่องราคาร้านนี้ ถือว่าไม่แพงมากนัก สำาหรับ

นักศึกษาถือว่าเป็นราคาสบายกระเป๋า นอกจากนี้ทางร้านยังมีบริการพิเศษ สามารถ

โทรมาสั่งอาหารได้ และบริการส่งถึงที่ฟรีไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่ม หากใครกำาลังหาร้าน

อร่อยอยู่ ร้านใบโมกก็ถือเป็นตัวเลือกหนึ่งที่จะไม่ทำาให้คุณผิดหวังอย่างแน่นอน

43

Page 46: Medleuddang Vol.15

ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่รอทางออกเพื่อคลี่คลายปัญหา สภาพ

เศรษฐกิจที่รอการกระตุ้นให้เกิดการขยายตัว การรอคอยจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อเรารอสิ่ง

ที่มีค่ามากที่สุด ดังนั้นสิงห์ลงพุงจึงไม่เคยเสียใจเลยที่รอต่อแถวยาวเพื่อซื้อขนมอร่อยสัก

อย่างหนึ่ง เพราะนั้นก็เป็นการรอที่คุ้มค่าแล้ว

เรื่อง กินไม่ใช่เรื่องใหญ่ เรื่องไม่ได้กินต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ ่

By alizz

สวัสดีค่ะทุกๆคน กลับมาพบกับหัวใจติดปีกกันอีกเช่น

เคย คอลัมน์ที่เราจะไปคุยกับรุ่นพี่ที่จบไปแล้วและถือว่าประสบ

ความสำาเร็จในชีวิต สำาหรับเล่มนี้เราจะพาทุกคนไปพบกับ

พี่ใหญ่ วรพันธุ์ สุวัณณุสส์ สิงห์แดงรุ่น 33 ซึ่งปัจจุบัน

ทำ�ง�นเป็นผู้อำ�นวยก�รศูนย์บริก�รประช�ชน ของสำ�นักสอบสวนนิติก�ร

กรมก�รปกครอง ซึ่งในการคุยกันวันนี้พี่ใหญ่จะพาเราย้อนวันวานไปในสมัยเรียน

รวมทั้งเล่าประสบการณ์ต่างๆให้เราได้ฟังกัน ถ้าพร้อมแล้วก็ไปพบกับพี่ใหญ่กันเลยค่ะ

Q: พี่ช่วยแนะนำาตัวให้น้องๆรู้จักหน่อยค่ะA: พี่เป็นสิงห์แดงรุ่น 33 ครับ รหัส 243109 อยู่โต๊ะแสงจันทร์ พี่เอกการปกครอง

แล้วก็ไปโทพัฒนาชุมชนของคณะสังคมสงเคราะห์ คือมันตั้งเป้าไว้ตั้งแต่แรกว่าถ้าฉัน

เรียนรัฐศาสตร์มันต้องเอกปกครอง มันถึงจะอยู่ตรงนี้ ที่จริงตอนเรียนมัธยมพี่เรียน

สายวิทย์ มุ่งจะเป็นหมอ เข้าวิศวะมากกว่า แต่ก็มีเครือญาติคือคุณตาเป็นผู้ว่าไง พอ

ผลออกมาก็ติดรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ก็เลยเรียน คือมันได้เพื่อนน่ะ เรียนแล้วสนุก

ด้วยไง ก็เลยเลือกทางปกครองแล้วโทพัฒนาชุมชน พอเลือกมาทางนี้แล้วมันก็หนี feel

ราชการไม่ได้

44

Page 47: Medleuddang Vol.15

พี่ใหญ่ วรพันธุ์ สุวัณณุสส์

Q: พี่คิดอย่างไรคะ ที่มีคนบอกว่าสมัยนี้จบรัฐศาสตร์แล้วจะไม่มีงานทำา A: คือรัฐศาสตร์เราเรียนกว้าง เป็นวิชาทฤษฎีมากกว่าที่จะเป็น

วิชาชีพ แต่เราต้องรู้จักเรียนเสริม คือถ้าเรามาทางรัฐศาสตร์

ทางราชการ ทางปกครองแล้ว เราจะต้องเรียนกฎหมาย

เสริมเพราะทางราชการหรือทางปกครองมันจะต้องมีทั้ง

หลักรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องไม่อย่าง

นั้นมันอยู่ไม่ได้หรอก พี่เองก็จบนิติศาสตร์ คือพอ

เราจบธรรมศาสตร์ก็ไปต่อโทที่นิด้า แต่เราลง

นิติศาสตร์ รามคำาแหงตั้งแต่เรียนที่ธรรมศาสตร์

แล้ว ก็เรียนควบกัน มันก็เหนื่อยหน่อย

Q: คือพี่วางแผนการเรียนของพี่ไว้ตั้งแต่ต้นเลยใช่มั๊ยคะA: คือพี่มองไว้ว่าถ้าเรามุ่งมาสายนี้แล้ว มาทางปกครองแล้ว

เราจะต้องเรียนนิติเสริม พี่ก็เรียนตั้งแต่ปีสอง คือพี่คิดว่าตอน

นี้เรายังมีไฟอยู่ เราต้องรีบเรียน ถ้าจะให้พี่ไปเรียนปริญญาเอกตอนนี้ก็คงไม่ไหว เพราะ

ว่าในเรื่องของภารกิจการงานเองมันก็หนัก

Q: แล้วประสบการณ์ในการเรียนของพี่เป็นอย่างไรบ้าง พี่ทำากิจกรรมอะไรบ้างคะA: ชุมนุมเชียร์ คือเมื่อก่อนจะมีโต๊ะเชียร์ ก็ไม่ได้เป็นการบังคับนะ แต่เป็นการรู้กันของ

มวลหมู่สมาชิกรัฐศาสตร์ด้วยกัน คือคณะเราระบบ SOTUS มันแรง เรื่องน้องเคารพ

พี่ พี่ก็อารีย์ต่อน้อง เพราะฉะนั้นเวลามีแข่งกีฬาเราก็ไปเชียร์พี่ เชียร์พวก แล้วก็มีเล่น

ฟุตบอลของคณะบ้าง บอลชั้นปีน่ะ

Q: พี่มีความเห็นอย่างไรในเรื่องของการทำากิจกรรมควบคู่ไปกับการเรียนคะA: คือชีวิตในมหาวิทยาลัย ส่วนหนึ่งที่ต้องรับผิดชอบคือเรื่องของการเรียน แต่ไม่ใช่

ว่าการที่คุณเรียนจบเกียรตินิยมแล้วคุณจะเอาตัวรอดในสังคมได้ การทำากิจกรรม

45

Page 48: Medleuddang Vol.15

ระหว่างเรียนจะเป็นการเปิดโลกทัศน์ของคุณให้กว้างขึ้น การอยู่ในสังคมมันต้องมีเพื่อน

มีพวก การทำากิจกรรมจะทำาให้คุณเห็นความคิดของคนอื่น ได้เห็นพฤติกรรมของบุคคล

มันจะทำาให้เราแตกฉานขึ้น การทำากิจกรรมจะทำาให้คุณมีประสบการณ์ที่จะออกมาสู้กับ

โลกภายนอก คือการเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีเสรีภาพ มันอาจจะทำาให้คุณเตลิดเปิดเปิง

แต่สิ่งสำาคัญคือคุณต้องมีความรับผิดชอบ รับผิดชอบต่อพ่อแม่ เขาส่งคุณมาเรียนคุณ

ต้องเรียนให้สำาเร็จ รับผิดชอบต่อคณะ คุณทำาอะไรให้คณะบ้างล่ะ เขามีเชียร์เคยไปเชียร์

กับเขามั๊ย เขาออกค่ายเคยไปค่ายกับเขามั๊ยล่ะ อย่าถามแต่ว่าคณะให้อะไรเราบ้าง ต้อง

ถามว่าเราเคยทำาอะไรให้คณะบ้างหรือเปล่าล่ะ

Q: ตอนนี้พี่ทำางานอะไร และมีภารกิจหน้าที่อะไรบ้างคะA: ตอนนี้เป็นผอ.ศูนย์บริการประชาชน ของสำานักสอบสวน

นิติการ กรมการปกครอง เป็นงานที่กระทรวงมหาดไทยรับ

โอนกฎหมาย 6 ฉบับจากตำารวจ เป็นงานกองทะเบียนเก่าของ

ตำารวจน่ะ งานก็จะเกี่ยวกับเรื่องอาวุธปืน โรงแรม การพนัน

การเรี่ยไร งานค้าของเก่า ของมือสอง รวมทั้งโรงรับจำานำา คือ

เมื่อก่อนจะขอปืนก็ไปขอกับตำารวจ เดี๋ยวนี้ก็มาขอที่นี่ จะเปิดเต็นท์รถ เปิดร้านมือถือ

ร้านเพชร ร้านพลอย โรงแรมก็ขอที่นี่ทั้งหมด แม้กระทั่งสนามม้า สนามมวย การพนัน

ทั้งหมดก็ต้องมาขอที่นี่

Q: งานที่พี่ทำา มันเป็นเป้าหมายที่พี่ตั้งไว้แล้วหรือเปล่าคะA: มันก็ใช่นะ พี่เป็นปลัดมา ถามว่าอยากเป็นมั๊ย มันก็

อยากเป็น แต่คนเราถ้าตั้งเป้าเอาไว้ต่ำามากมันก็จะไม่

เกิดการขวนขวาย พี่อาจจะเป็นคนทะเยอทะยาน

นะ คุณตั้งเป้าเอาไว้ให้สูงสักนิดนึง แล้วพยายาม

ชกให้ถึง ถ้าคุณตั้งเป้าไว้แค่นายอำาเภอ พอ

คุณได้เป็นแล้ว มันก็จะ

ไม่ขวนขวาย

46

Page 49: Medleuddang Vol.15

คุณก็จะเรื่อยเปื่อย รอวันเกษียณ ผมทำางานหนักมาก เราต้องทุ่มเทให้กับงาน เพราะ

ผมไม่ได้ตั้งเป้าไว้ที่นายอำาเภอ ผมตั้งไว้ว่าจะเป็นผู้ว่าฯ ผมผ่านการเป็นนายอำาเภอมา

แล้ว ตอนนี้ผมเป็นผอ. ผมก็ต้องขวนขวายต่อไปให้ถึงเป้าหมาย

Q: พี่เคยมีเหตุการณ์ที่ต้อง “รอไปก่อน” มั๊ยคะA: ก็เป็นธรรมดานะสำาหรับราชการ คือเราก็อยากก้าวหน้าเร็วนะ แต่บางทีนายก็

บอกว่า คุณอาวุโสยังน้อย ยังอยู่ได้อีกนาน ให้พี่เขาไปก่อนแล้วกัน ผมเจออย่างนี้มา

ก็หลายครั้งนะ แต่เราก็ต้องทำาผลงานของเราให้มันเห็นชัด พอวันหนึ่งที่เราได้ขึ้นมาคน

เขาจะได้ยอมรับ ไม่ใช่ขึ้นมาแล้วคนยี๊กันทั้งเมืองก็ไม่ไหว

Q: สุดท้ายนี้พี่มีอะไรที่อยากจะฝากถึงน้องๆบ้างคะA: คือคนเรามันไม่มีใครที่จะดีเลิศหรือประเสริฐครบ100%นะ คุณอยู่กับใครก็เก็บ

ประสบการณ์มา อะไรที่ดีๆก็เก็บไปทำา อะไรที่ไม่ดีก็อย่าไปเอาเป็นแบบอย่าง น้องเรียน

มหาวิทยาลัย วิชาการก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำาให้คุณออกมาสู้โลกได้ แต่วิชาการอย่าง

เดียวมันไม่พอ คุณต้องมีสังคม มีเพื่อน ถ้าคุณไม่มีคุณอยู่ไม่ได้หรอก และที่อยากฝาก

น้องๆก็คือ ถ้าเรามีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ตัวเอง จุดไหนคุณก็อยู่ได้ และอย่าคิดแต่

ว่าธรรมศาสตร์ให้อะไรคุณบ้าง เราต้องคิดกลับกันว่า เราให้อะไรกับธรรมศาสตร์บ้าง

เป็นอย่างไรบ้างคะ ได้คุยกับพี่ที่ถือว่าก้าวหน้าในหน้าที่การงานค่อนข้างเร็ว

หวังว่าเพื่อนๆพี่ๆน้องๆชาวสิงห์แดงคงจะได้รับข้อคิดที่ดีๆหลายอย่างที่นำาไปปรับใช้ใน

การเรียน การทำางานและการใช้ชีวิตได้นะคะ แล้วอย่าลืมติดตามหัวใจติดปีกเล่มหน้า

ด้วยนะคะ

47

Page 50: Medleuddang Vol.15

ก า ร ร อ โ ด ย เ ฉ พ า ะ ที่ เ กี่ ย ว

กับหนังสือ มักจะเป็นการรอ ตีพิมพ์

วางแผง รอขนส่ง หรือ รอให้คนเขียน

ที่เราชอบเขียนงานออกมาสักชิ้นนั้นเป็น

สิ่งปกติของนักอ่านที่ต้องเผชิญอยู่ตลอด

แต่ถึงอย่างไร หนังสือก็เป็นสิ่งที่ช่วยฆ่า

เวลาในการรอเรื่องต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน เช่น

การอ่านหนังสือพิมพ์เพื่อรอรถไฟที่สถานี

(เพราะสไตรค์ - -*) หรือรอใช้บริการทาง

แพทย์ เช่น ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ของภาค

รัฐ นัยหนึ่งหนังสือก็เป็นสิ่งที่ต้องรอและ

บรรเทาการรอคอยที่ยาวนานไปพร้อมกัน

ในตัว การรอก็ใช่ว่าจะไร้ค่าเสียทีเดียว

เพราะการรอก็เป็นเวลาให้เราคิดทบทวน

เรื่องต่าง ๆ หรือทำาในสิ่งที่เราไม่ได้ทำา

ดังนั้นการอ่านหนังสือก็เป็นการใช้เวลา

ระหว่างการรอที่ดีทางหนึ่ง แน่ล่ะการหา

หนังสือดี ๆ เพื่อฆ่าเวลารอคอยเม็ดเลือด

แดงฉบับใหม่นั้นก็เป็นสิ่งที่ดี (สำาหรับผู้

จัดทำาไส้แห้ง) มาก ๆ เช่นกัน ^-^

ถ้ า ก า ร ร อ ค อ ยนั้ น คื อ ก า ร

ทบทวนความคิดของเรา การอ่านความ

คิดของคนอื่นทั้ ง ในอดีตถึงปัจจุบันก็

เป็นวิธีการที่ดีอย่างหนึ่ง ความคิดของ

กระฎุมพีหรือพลเมืองสามัญที่ใช้ชีวิตและ

เคลื่อนไหวในทางการเมืองในอดีตที่ทรง

พลังทั้งฝรั่งหรือไทย อย่างหมอบลัดเลย์

หรือ กุหลาบ สายประดิษฐ์ กับความ

คิดกระฎุมพีในเอกสารทางการเมืองชิ้น

สำาคัญของกระฎุมพีที่ “ไม่ไพร่”

“คำากราบบังคมทูลความเห็นจัดการ

เปลี่ยนแปลงราชการแผ่นดิน ร.ศ.103”

ของพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ และ “เป็น

ไพร่” อย่างฎีกาชาวบ้านร้องทุกข์เรื่องผัก

ตบชวา ในหนังสือชื่อ ความคิดการเมือง

ไพร่กระฎุมพีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ของ

ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ นักประวัติศาสตร์

รอ(อ่านหนังสือ)ไปก่อน

48

Page 51: Medleuddang Vol.15

ไทยที่ ได้รับแนวคิดการศึกษาแบบทั้ง

รัฐศาสตร์และแนวคิดประวัติศาสตร์

อเมริกัน ที่เป็นกรอบสำาคัญของการ

วิเคราะห์ของหนังสือ แม้หนังสือเล่มนี้จะ

ใช้ชื่อว่า “ไพร่กระฎุมพี” ที่แปลว่า “คน

พลเมืองที่มีเงินพอใช้เลี้ยงชีวิต ไม่เป็นทาส

บุคคลใด”

แต่หนังสือเล่มนี้ก็ได้รวบรวม

ความคิดทางการเมืองของปัญญาชนทั้ง

ที่เป็นไพร่กระฎุมพีและกระฎุมพีผู้ยิ่งใหญ่

ทั้งสองฝ่ายที่หลากหลาย เป็นแนวคิดที่

ส่งผลต่อปัญญาชนสาธารณะในปัจจุบัน

ทั้งความคิดเชิงวิพากษ์อย่างของเทียน

วรรณ และ ก.ศ.ร.กุหลาบ หรือความ

คิดเชิงอนุรักษ์ของ สมเด็จฯ กรมพระยา

ดำารงราชานุภาพ ทั้งแนวคิดเศรษฐกิจ

แบบทุนนิยม สิทธิมนุษยชน ความ

เป็นระเบียบวินัยในสังคมการเมือง และ

แนวคิดมนุษยภาพหรือมนุษยนิยม เป็นต้น

แนวความคิดของกระฎุมพีดังกล่าวที่กลาย

เป็นกรอบคิดของไทยในปัจจุบัน เป็นผล

จากยุคก้าวผ่านของสังคมไทยเดิมมาสู่ยุค

สังคมสมัยใหม่ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่สี่และ

รัชกาลที่ห้าที่เป็นแนวคิดของเทียนวรรณ

ก.ศ.ร.กุหลาบ กรมพระยาดำารงฯ จนถึง

ยุคหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่

เป็นแนวคิดของปรีดี พนมยงค์ จนถึง

ส.ศิวรักษ์ การพิเคราะห์ความคิดการเมือง

ไทยของกระฎุมพีผ่านหนังสือเล่มนี้อาจ

เป็นการรอที่ดี ก่อนการเริ่มสงครามยก

ใหม่ของความคิดการเมืองไทยยุคดิจิตอล

(เหอๆๆๆ)

การรอคอยสงครามยกใหม่ใน

การเมืองไทยเป็นการรอที่ไม่น่าอภิรมย์

สำาหรับทุก ๆ คน เพราะเป็นการรอที่ดูไม่

น่าจะมีความหวังสักเท่าไหร่ แต่ความหวัง

เล็กๆ ในสังคมไทยที่ดูจะต้อง “รอไปก่อน”

ก็ยังปรากฏอยู่ในหนังสือ ยังมีความหวัง

ของคอลัมนิสต์ฝรั่งหัวใจสยาม ไมเคิล

ไรท หรือ ลุงไมค์ ผู้ล่วงลับ ที่มาพร้อม

กับแมวเหมียวอีนังโมหิณี หนังสือเล่มนี้

เป็นการรวมข้อเขียนในคอลัมน์ “ฝรั่งมอง

ไทย” ใน “มติชนสุดสัปดาห์” ตั้งแต่กลาง

ปี 2548 ถึงต้นปี 2550 ซึ่งเป็นช่วง

เวลาที่ลุงไมค์เรียกว่า “เข้าขั้นวิกฤตจนน่า

สะพรึงกลัว” แม้ว่าบทความในคอลัมน์

หลายบทจะดู “เก่า” เพราะสถานการณ์

ทางการเมืองได้เปลี่ยนแปลงไปมาก แต่

บางบทความก็ยังสดใหม่และเตือนสติ

คนไทยได้ดีอยู่อย่าง ทำาไมคนเราถึง

วางแผนชีวิตผิดพลาด? แต่เอกลักษณ์

ข้อเขียนของลุงไมค์ก็ยังใช้สไตล์ที่ “เจ็บๆ

คันๆ” เช่นเคยครบทุกบทความทั้งเรื่องผู้ดี

เก่ากับเศรษฐีใหม่ เพศศึกษาสำาหรับยุวชน

จริยธรรมนักการเมือง

49

Page 52: Medleuddang Vol.15

จนถึงยุคหลังทักษิณ? หลังบุช? ฯลฯ

แม้ว่ าทัศนะของลุ ง ไมค์จะมี

หลายคนมักบอกทำานองว่า “เป็นฝรั่งอย่า

สู่รู้อวดดีเรื่องคนไทย” หรือไม่ก็มองโลก

ใน “แง่ร้าย” อยู่มากจนไม่น่าจะมีความ

หวังนัก แต่ในคำานำาของหนังสือเล่มนี้

ลุงไมค์ก็ได้ตอบเรื่องมองโลกในแง่ร้าย

ไว้น่าสนใจว่า “ทั้งเมืองไทยและโลกต่าง

อยู่ในขั้นวิกฤตเดือดร้อนตลอดมาตั้งแต่

ต้นคือตั้งแต่อาดัมกับเอวากินลูกแอปเปิล

แล้วถูกไล่ออกจากสวนสวรรค์, หรือตั้งแต่

แถนลงมาชิมดิน/แสงหล่นเพียงดับไต้

เหตุนี้เกิดเมื่อกี่พัน, กี่หมื่นปีมาแล้ว? แต่

แล้วไม่เห็นถึงขั้นประลัยโลกเสียที ดังนั้น

มนุษยชาติ(ทั้งไทยและอื่น) มีทางดำารง

อีกต่อไปอย่างล้มลุก มีทุกข์ปนสุขตามเคย

ผมขอเพียงว่า ขอทุกคนใช้ปัญญา, จะได้

สุขสนุกสนานมากกว่าความทุกข์ระทม”

การรอแม้ว่าจะทำาให้เรารู้สึก

กระอักกระอ่วนใจ ไม่ว่าจะน่าเบื่อ ลุ้น

ระทึก หรือเซ็งสุดขีด แต่ช่วงเวลาการรอ

ก็เป็นช่วงของการทบทวนความคิดหรือทำา

ในสิ่งที่ไม่เคยทำามาก่อน แต่เราต้องไม่ลืม

ว่า การรอนั้นจะเป็นการรอที่มีหวังหรือ

สิ้นหวังนั้นก็เป็นสิ่งที่ เราไม่อาจจะคาด

เดาได้จนกว่าการรอคอยจะสิ้นสุดลง แต่

ผู้เขียนเห็นว่า เวลาที่รอคอยนั้นเราต้อง

ทำาสติให้มั่นคงและรอรับผลของการรอ

คอยอย่างเต็มใจ ภูมิใจ หรือไม่ก็ “ทำาใจ”

เหมือนที่ลุงไมค์ทิ้งท้ายไว้ว่า “มนุษยชาติมี

ทางดำารงอีกต่อไปอย่างล้มลุก มีทุกข์ปน

สุขตามเคย”

50

Page 53: Medleuddang Vol.15

ชื่อหนังสือ : ความคิดการเมืองไพร่กระฎุมพี

แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

เขียนโดย : ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ

พิมพ์ครั้งที่ : 1 (กรกฎาคม 2549)

โดยสำานักพิมพ์มติชน

ISBN : 974-323-704-6

รายละเอียดรูปเล่ม : ปกอ่อน

ราคา : 220.00 บาท

ชื่อหนังสือ : ไมเคิล ไรท ‘ยังมีความหวัง’

เขียนโดย : ไมเคิล ไรท แถมโดย อินังโมหิณี

พิมพ์ครั้งที่ : 1 (สิงหาคม 2551)

โดยสำานักพิมพ์มติชน

ISBN : 978-974-02-0192-2

รายละเอียดรูปเล่ม : ปกอ่อน

ราคา : 170.00 บาท

51

Page 54: Medleuddang Vol.15

ซดชาหมดหลายแก้ว ฟาดขนมปังไปอีกหลายแผ่นก็ยังคิดกันไม่ออกล่ะซี ถ้าอย่างนั้น มาเฉลยกันดีกว่า

เล่มนี้ชาหมดแล้ว แหม่...น่าเสียดายจริงๆ ว่ามั้ยมาจิบชากันใหม่ฉบับหน้าครับ

52

Page 55: Medleuddang Vol.15

ขอขอบคุณคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สถาบันอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเรา

ขอขอบคุณ พี่พร พี่เหมียว และพี่ๆเจ้าหน้าที่คณะรัฐศาสตร์ทุกคน ที่คอยอำานวยความ

สะดวกและให้คำาแนะนำาแก่พวกเราเสมอมา

ขอขอบคุณ สมาชิกเม็ดเลือดแดงทุกคน ทั้งเลือดเก่าและเลือดใหม่ ที่ร่วมกันเรียนรู้ความ

รู้สึกของการ “รอไปก่อน” โดยไม่บ่นมากมายเท่าไหร่

ขอขอบคุณ เวลาของแต่ละคนที่ไม่เคยเดินเท่ากัน ที่ทำาให้เรารู้จักคำาว่า “รอไปก่อน”

ขอขอบคุณ ประเทศไทย ที่มีเรื่องให้เราต้อง “รอไปก่อน” ตลอดเวลา

ขอขอบคุณคุณผู้อ่านทุกๆคนที่ยังคน “รอ” พวกเราอยู่

Special Thanks

สามัคคี ประเพณี เป็นพี่น้องสามัคคี ประเพณี เป็นพี่น้องสามัคคี ประเพณี เป็นพี่น้อง

Page 56: Medleuddang Vol.15