57
บทที3 กลวิธีการประพันธ ประสบการณ ซึ่งกลั่นกรองผานโลกทัศนของผูแตงจะสื่อสารมาสูผูรับอยางมีพลัง เพียงใดจําเปนตองอาศัยกลวิธีที่เหมาะสม เรื่องสั้นมักมีจุดเดนที่ความแหลมคมของทัศนะซึ่ง ยอมตองนําเสนออยางซอนเรนมากกวาการบอกชี้อยางโจงแจง ประกอบกับเรื่องสั้นเปนรูปแบบ ใหมที่ผูแตงสามารถทดลองใชกลวิธีแปลกใหมได จึงเห็นไดวา ยุคกอน 14 ตุลาคม 2516 วิทยากร เชียงกูล นําเสนองานในรูปคลื่นสํานึก ดังเห็นใน ถนนที่นําไปสูความตายสุวัฒน ศรีเชื้อ วีรประวัติ วงศพัวพันธุ และสุชาติ สวัสดิ์ศรี ใชรูปแบบเหนือจริง (ชูศักดิภัทรกุล- วณิชย , 2536 : 126 - 127) นอกจากนี้จุดเดนอันเปนลักษณะรวมของนักเขียนรุนใหมในระยะนี้ก็ คือการใชสัญลักษณ นิคม รายยวา เริ่มงานเขียนในระยะกอน 14 ตุลาคม 2516 เขามีงานรวมเรื่อง สั้น งานเขียน 2 ชวง คือป 2510 - 2516 และป 2525 - 2527 ในชื่อ คนบนตนไม (2527) และ พิมพครั้งที่สองป 2541 โดยปรับปรุงขอความบางสวน งานชุดนี้ใชลีลาสัญลักษณนิยมเชนเดียวกับ นักเขียนกลุมเดียวกัน เชน สุชาติ สวัสดิ์ศรี ในชุด ความเงียบ และวิทยากร เชียงกูล ใน บทละคร ฉันเพียงแตอยากจะออกไปขางนอกนาสนใจวาการบรรยายแบบคลื่นสํานึก (Stream of Consciousness) ประกอบการใชสัญลักษณ (Symbolism) และการเขียนอยางเหนือจริง (Surrealism) ตางจากการเขียนแบบหักมุมในตอนจบที่นิยมกัน และมีความเชื่อมโยงกับการ พัฒนาทางเนื้อหาซึ่งแสดงความแปลกแยกกับสังคม (สุชาติ สวัสดิ์ศรี , 2541 : 88) กลาวเฉพาะ รวมเรื่องสั้น คนบนตนไม มีขอสังเกตวา “…งานเขียนของนิคมเดนที่การใชสัญลักษณ และการ เสนอแกนเรื่องเกี่ยวกับเนื้อแทของความเปนมนุษย ความเดนอีกประการในรวมเรื่องสั้นเรื่องนีคือ การใชมุมมอง…” (อิราวดี ไตลังคะ, 2543 : 97) ในการศึกษากลวิธีการประพันธในงานวิจัยนีจะวิเคราะหลักษณะเดนในเรื่องสั้น ของนิคม รายยวา ใน 2 ประเด็น คือ สัญลักษณนิยม ผูเลาเรื่องและมุมมอง 104

กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

  • Upload
    others

  • View
    5

  • Download
    0

Embed Size (px)

Citation preview

Page 1: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

บทที่ 3

กลวิธีการประพันธ ประสบการณ ซึ่งกล่ันกรองผานโลกทัศนของผูแตงจะส่ือสารมาสูผูรับอยางมีพลังเพียงใดจําเปนตองอาศัยกลวิธีที่เหมาะสม เร่ืองส้ันมักมีจุดเดนที่ความแหลมคมของทัศนะซึ่งยอมตองนําเสนออยางซอนเรนมากกวาการบอกชี้อยางโจงแจง ประกอบกับเรื่องส้ันเปนรูปแบบใหมที่ผูแตงสามารถทดลองใชกลวิธีแปลกใหมได จึงเห็นไดวา ยุคกอน 14 ตุลาคม 2516 วิทยากร เชียงกูล นําเสนองานในรูปคลื่นสํานึก ดังเห็นใน “ถนนที่นําไปสูความตาย” สุวัฒน ศรีเช้ือ วีรประวัติ วงศพัวพันธุ และสุชาติ สวัสดิ์ศรี ใชรูปแบบเหนือจริง (ชูศักดิ์ ภัทรกุล-วณิชย, 2536 : 126 - 127) นอกจากนี้จุดเดนอันเปนลักษณะรวมของนักเขียนรุนใหมในระยะนี้ก็คือการใชสัญลักษณ นิคม รายยวา เร่ิมงานเขียนในระยะกอน 14 ตุลาคม 2516 เขามีงานรวมเรื่องส้ัน งานเขียน 2 ชวง คือป 2510 - 2516 และป 2525 - 2527 ในชื่อ คนบนตนไม (2527) และพิมพครั้งที่สองป 2541 โดยปรับปรุงขอความบางสวน งานชุดนี้ใชลีลาสัญลักษณนิยมเชนเดียวกับนักเขียนกลุมเดียวกัน เชน สุชาติ สวัสดิ์ศรี ในชุด ความเงียบ และวิทยากร เชียงกูล ใน บทละคร “ฉันเพียงแตอยากจะออกไปขางนอก” นาสนใจวาการบรรยายแบบคลื่นสํานึก (Stream of Consciousness) ประกอบการใชสัญลักษณ (Symbolism) และการเขียนอยางเหนือจริง (Surrealism) ตางจากการเขียนแบบหักมุมในตอนจบที่นิยมกัน และมีความเชื่อมโยงกับการพัฒนาทางเนื้อหาซ่ึงแสดงความแปลกแยกกับสังคม (สุชาติ สวัสดิ์ศรี, 2541 : 88) กลาวเฉพาะรวมเรื่องส้ัน คนบนตนไม มีขอสังเกตวา “…งานเขียนของนิคมเดนที่การใชสัญลักษณ และการเสนอแกนเรื่องเกี่ยวกับเนื้อแทของความเปนมนุษย ความเดนอีกประการในรวมเรื่องส้ันเรื่องนี้ คือ การใชมุมมอง…” (อิราวดี ไตลังคะ, 2543 : 97) ในการศึกษากลวิธีการประพันธในงานวิจัยนี้ จะวิเคราะหลักษณะเดนในเรื่องส้ันของนิคม รายยวา ใน 2 ประเด็น คือ สัญลักษณนิยม ผูเลาเร่ืองและมุมมอง

104

Page 2: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

105

สัญลักษณนิยม 1. การใชสัญลักษณของนิคม รายยวา ในเร่ืองสั้นยุคแสวงหา

นักวรรณคดีศึกษาเห็นวาแมวรรณคดีไทยมีสัญลักษณใชอยูนานแลว แตเปนสัญลักษณตามขนบที่มักไมตองขบคิดตีความ เชน ขนบการเขียนบทสมพาส จึงมีนอยที่ “การตีความสัญลักษณจะเปนสวนสําคัญของความคิดหลัก” ยกเวนเรื่องที่แฝงอภิปรัชญา เชน ลิลิตพระลอ แตการใชสัญลักษณของนักเขียนรุนใหมเปนสิ่งสําคัญไมนอยหรือมากกวาเนื้อเร่ือง (ดวงมน จิตรจํานงค, 2531 : 120 ) สัญลักษณในวรรณคดีสมัยใหม เปนการรับเทคนิคการเขียนมาจากตะวันตก และมักเปนสัญลักษณเฉพาะตน มีความซับซอน ผูอานตีความไดหลายทาง จึงกลาวไดวา “การใชสัญลักษณ เปน‘เสนห’ ของกลวิธีการเขียน” (ยุรฉัตร บุญสนิท, 2541 : 191 – 192) เร่ืองส้ันแนวสัญลักษณนิยมในยุคแสวงหาของไทย จัดเปนงานเขียนที่โดดเดนในแงที่มี “สัญลักษณอยางใดอยางหนึ่งปรากฏในการบรรยาย ฉาก ตัวละครรวมทั้งการสรางปญหาและขอขัดแยงตางๆ” มักแสดงสภาวะจิตใตสํานึกอันซับซอน เชน “แวนตาไมมีกระจก” ของนิพนธ จิตรกรรม “หนี” ของประพันธ ผลเสวก “สะพานที่พระโขนง” ของดาราวัลย เกษทอง (สุชาติ สวัสดิ์ศรี, 2518 ก : (39)) อยางไรก็ตาม นี่เปนขอสรุปจากขอมูลของเร่ืองส้ันจํานวนหนึ่ง เห็นไดวา เร่ืองส้ันที่ใชสัญลักษณบางเรื่องก็จัดอยูในกลุมอื่น เชน “รถไฟเด็กเลน” ของ สุชาติ สวัสดิ์ศรี จัดอยูในกลุมเหนือจริง สวน “คนบนตนไม” ของ นิคม รายยวา แยกไปรวมพิมพในเลม แลงเข็ญ ซึ่งดูเหมือนเปนงานในกลุมอัตถนิยม (realism) นิคมเริ่มใชสัญลักษณเพ่ือส่ือความคิดหลักตั้งแต “คนบนตนไม” (2510) ถึงแมงานของเขาอาจจะอานในลักษณะอัตถนิยมไดโดยไมเสียความ แตหากตีความสัญลักษณในฉากที่ตัวเอกปนข้ึนไปเก็บลูกนก ผูอานก็จะเห็นความหมายที่ซอนเรนอยูอีก คือ บนตนไม หมายถึง ดินแดนในอุดมคติที่ปลอดจากการเบียดเบียน สวนตัวเอกหรือมนุษยก็คือผูที่ขาดความรูเทาทันความจริงเพราะมัวแตหมกมุนอยูกับความทุกข อันผลักดันใหดิ้นรนเพื่อความอยูรอดจนอาจทําลายอุดมคติอยางรูเทาไมถึงการณ เมื่อตีความเชนนี้ก็อาจคิดตอไปไดวามนุษยจะรักษาอุดมคติหรือทําลายก็ข้ึนอยูกับความสํานึกในคุณคาของความดีอยางแทจริง โดยตองรูเทาทันตนเองกอน ที่จะไปแกไขส่ิงอื่น ทั้งนี้บุคคลก็จําเปนตองเสียสละในการเผชิญกับความทุกข ถาเห็นแนชัดวาทุกการกระทํามีสวนเกี่ยวโยงกับทั้งหมด จึงกลาวไดวานิคมเลือกใชสัญลักษณ เพ่ือผลของการส่ือสาร การวิเคราะหสัญลักษณจึงเปนสิ่งจําเปนในการอานงานแตละช้ินของเขา ดังที่นิคมแสดงความเห็นไวอยางนาสนใจในบทสัมภาษณวา

Page 3: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

106

…ถาเราอธิบายแลวมันไมชัด เราก็ตองใชอะไรหลายอยางที่มันแวบเขามาในฉาก ใหมันอธิบายดวย ใชทุกส่ิงทุกอยางใหเปนเครื่องมือการอธิบาย คือ เราตองเอาอยางอ่ืนมาใชดวยเพื่อจะบอกสิ่งที่อยากบอกใหชัด

สัญลักษณนี่ที่จริง มันก็คือ วิธีการบอกอยางหนึ่ง วิธีการอธิบายอยางหนึ่ง โดยใชทุกส่ิงทุกอยางมาชวยในการอธิบาย นอกจากภาษาที่เราจะพูดตรงๆ เพราะฉะนั้น เวลาเราจะบอกอะไรหรือเขียนอะไร บางทีเราไมไดคิดหรอกวา นั่นคือสัญลักษณ เพียงแตอยากจะบอกวาทํายังไงมันจึงจะชัด… (บัวแพน นันทพิสัย, 2531 : 52)

เห็นไดวา สําหรับนิคม สัญลักษณ คือ เครื่องมือและวิธีการอธิบายความหมายที่เขาตองการสื่อสาร หรือกลาวอีกอยางหนึ่งวาสัญลักษณเปนเครื่องมือส่ือความหมายที่ใชแทนการบอกอยางตรงไปตรงมา ซึ่งกระทําไดยาก เนื่องจากเรื่องส้ันเปนงานศิลปะไมใชบทความทางวิชาการ สังเกตไดวา สัญลักษณอยูนอกเหนือภาษาที่จะพูดตรงๆ แตชวยใหการสื่อความหมายและการรับสารมีความชัดเจน ซึ่งนาจะหมายถึงความชัดของความคิดและอารมณควบคูกัน นอกจากนี้เขาเห็นวา แมเอาสัญลักษณในงานเขียนออกจนหมด ก็ยังอานไดเร่ืองอยู แตอาจจะเปนอีกระดับ “ฉะนั้น ถาเราติดตามหรือเราจะหาความหมายจากสัญลักษณ เราก็จะไดความหมายอีกแบบหนึ่ง…” และถาผูอานบางคนไมไดจับในแงความหมายก็อาจอานเปนเร่ืองสนุกธรรมดา “ไมไดแปลวา หากเราไมเขาใจสัญลักษณแลวเราจะอานไมรูเร่ือง…” (บัวแพน นันทพิสัย, 2531 : 52) เมื่อนิคมเห็นวา สัญลักษณชวยใหผูอานเขาใจงาน “ชัดข้ึน” และจะไดรับความหมายอีกระดับหนึ่ง จึงกลาวไดวา นิคมใชสัญลักษณส่ือความหมายในระดับลึกจนอาจถึงข้ันปรัชญาได ทัศนะนี้ ทาทายใหผูวิจัยศึกษาและวิเคราะหอยางละเอียดวาสัญลักษณในเรื่องส้ันของนิคมมีผลตอการสื่อสารความคิดและอารมณมากนอยเพียงใด และสอดรับกับองคประกอบอ่ืนๆ โดยเฉพาะความคิดหลักของเรื่องหรือไม ผูวิจัยแบงหัวขอการวิเคราะหสัญลักษณเปน 4 กลุม คือ สัญลักษณในฉาก สัญลักษณในพฤติกรรม สัญลักษณในวาทะ และสัญลักษณในหลายองคประกอบ 1.1 สัญลักษณในฉาก ใน “คนบนตนไม” (2510) ถาจะตีความในระดับสัญลักษณ ส่ิงที่ดึงดูดความรูสึกของผูรับก็คือฉากขณะท่ีชายชาวนาปนข้ึนไปเก็บลูกนกบนยอดไมสูง เปนฉากในตอนสุดข้ัน (climax) สังเกตไดวา ผูแตงแสดงภาพบนยอดไมในการรับรูของตัวเอกเพ่ือส่ือความหมายทางความคิดตางจากความคิดทั่วไป ดังนี้

Page 4: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

107

โพรงนกอยูบนยอดไมสูง… …………………. …เขาสูดลมเขาปอดอยางแรง เหลียวมองรอบๆ ตัว เมฆในปลาย

เดือนกรกฎาคมลอยเกลื่อนทองฟา แตไมมีทาวาฝนจะตกเลย ลมเย็นพัดโชย เขาสดชื่นข้ึนมาก รูสึกอยากจะเปนนก แลวมาสรางรังอยูบนยอดไม ขางบนนี้นาสุขสบาย อิสระ สะอาด ไมเหมือนพื้นดินน่ัน มีแตฝุนผงและโคลนตม เต็มไปดวยพงหนามและเถาวัลย (11 - 12) (เนนโดยผูวิจัย)

นาสนใจวานิคมเลือกใชถอยคําที่แสดงสภาพบนพื้นดินที่ไมนาพิสมัย เปนแหลงแหงความสกปรกและสิ่งประทุษราย “มีแตฝุนผงและโคลนตม เต็มไปดวยพงหนามและเถาวัลย” ฝุนผงและโคลนตม นาจะแทนความสกปรกที่กระทบตอการดํารงอยูและฉุดรั้งการกาวเดินไปสูความสุข สวนพงหนามแสดงบริเวณรกเรื้อที่ทิ่มตําใหเจ็บปวดได ขณะท่ีเถาวัลยก็แสดงภาพ เครือไมที่พาดพันกันซับซอนรกครึ้มจนยากที่จะฝาเขาไปได ความผิดแผกของ “บนตนไม” กับ “บนพื้นดิน” เปนสิ่งที่เนนมาก บนตนไมมี “ลมเย็นพัดโชย เขาสดชื่นข้ึนมาก” (12) และตอนที่เขาเกือบถึงโพรงนก “ลมพัดแรงจนใจหวิว ความพึงใจบางอยางวูบขึ้น (12) สัมผัสจากลมเปนส่ิงที่เขาพบบนตนไม เขารูสึกเย็นสบาย เกิดความพึงใจในความสงบ ส่ิงที่นาสนใจก็คือ เมื่อขึ้นไปเกือบถึงโพรงนก ตัวละครคิดอิจฉานกที่ไมตอง “ผูกพันกับเร่ืองราวบนพื้นดิน” (12 – 13) (เนนโดยผูวิจัย) เร่ืองราวบนพื้นดินในความคิดของตัวเอก นาจะหมายถึงการเอารัดเอาเปรียบของผูที่มีอํานาจและมีโอกาสสูงกวา เขาจึงใฝฝนถึงชีวิตในอุดมคติ คือ สังคมที่เต็มไปดวยความสงบสุข “เลิกเบียดเบียนกัน อยูอยางรักใคร เห็นอกเห็นใจกัน” (13) ขณะที่เขาใฝฝนและปรารถนาสังคมที่ดีงาม เขาก็ไมคิดจะสรางมันขึ้นเองกลับคิดจะหนี จนถึงข้ันอยากมาเปนนกทํารังอยูบนตนไมหาก “บนตนไม” หมายถึง สังคมอุดมคติเขาก็กําลังทําลายสังคมในอุดมคติ ดวยการเอ้ือมมือ บุกรุกเขาไปจับลูกนกในรังของมัน ถึงแมเขารับรูวาพอแมนก “…รอนถลาเขามาดวยความโกรธ และสงเสียงดังสะทานคลายหัวใจจะแตกสลาย” (13) การกระทําของตัวละครกระตุนสํานึกวา ตราบใดมนุษยยังขจัดความขลาดเขลาไมได ซ้ํายังหมกมุนในความทุกขของตน จนละเลยความใสใจในความทุกขของผูอ่ืนแลว การแกปญหาของตนดวยการสรางปญหาใหผูอ่ืน ก็คงจะหมดลงไดยาก ใน “มากับลมฝน” (2512) สัญลักษณที่ส่ือความคิด ปรากฏในฉากธรรมชาติที่ตัวเอกตอสูกับความเจ็บปวดหลังจากถูกงูกัด จนเกิดการเรียนรูความดีของการเปนสัตวสังคมและการมีคุณธรรมของคน ผูแตงแสดงบรรยากาศรอบตัวที่กระทบความรูสึกของตัวเอก ขณะตกกบ

Page 5: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

108

อยู มี “ลมฝนพัดมาเบาๆ เขารูสึกเย็นยะเยียบ…เขาถอนหายใจ เมื่อเหลียวรอบตัว ความสงัดปกคลุมไปทั่วเห็นแตผืนนาเจิ่งน้ําสลับกับปาไมหนาทึบ…” (26) ลมฝนที่กระทบกายใหความรูสึก “เย็นยะเยียบ” ซึ่งมิใชความเย็นสบาย ความหนาวเหน็บเปลี่ยวดายที่เกิดจากความโดดเดี่ยวหรืออยูเพียงลําพังทําใหเขาระลึกถึงการพูดตอบโตอยางเผ็ดรอนระหวางเขากับเพื่อนเกี่ยวกับการดํารงอยูของมนุษยและสังคม ตอมา “ลมฝนพัดผาน รูสึกเย็นเยือกจนรางสะทาน เขาสลัดการโตตอบในอดีตออก พลางกมดูตัวเองแลวถอนหายใจ เกิดความเปลาเปลี่ยวอยางรุนแรงขึ้นทันที…” (28) นิคมใชกริยาวลีวา “เย็นเยือกจนรางสะทาน” อันแสดงการรับรูถึงความหนาวเหน็บที่รุนแรงขึ้น ยิ่งเมื่อใชรวมกับคําวา “เปลาเปลี่ยว” ดวยแลว ก็ยิ่งตอกย้ําความวาเหว อางวางของตัวเอกทามกลางธรรมชาติไดหนักหนวงขึ้น จึงกลาวไดวา การปฏิเสธความอบอุนในสังคมมนุษยไมไดทําใหบุคคลมีความสุข จนกระทั่งตัวเอกเดินทางกลับและถูกงูกัด เมื่อถูกงูกัด เขา “ลุกข้ึนควาก่ิงไมฟาดมันอยางแรง แตก็ชาไป…” (29) เมื่อเห็นการตอสูระหวางงูกับพังพอน เขาฉงนวา “ทําไมตองกัดกันดวยนะ” (28) เขาอยูในธรรมชาติแตไมเขาใจธรรมชาติ ผูแตงแสดงปฏิกิริยาในการตอสูกับความตายของตัวเอกวา

เขาสะดุดกิ่งไมลมลงกระแทกกับแผนหินจนตองนอนบิดตัวไปมา รูสึกจุกในชองทองและหนาอก หายใจแทบไมออก ของใสกบกล้ิงตะแคง ฝาเปดอยูบนพื้นดินจึงพยายามพลิกตัว สูดหายใจแรงเพื่อลดอาการจุก รูสึกพิษงูแลนซานอยางรวดเร็วจากขอเทาข้ึนมาขางบน ความตระหนก เสียใจ และเสียดายชีวิตทําใหเขามือส่ัน ขณะฉีกผาขาวมาจากสะเอวเพื่อรัดแขงก้ันพิษ (29)

นิคมใชคํากริยาติดตอกันหลายคํา คือ สะดุด ลม กระแทก นอน บิดตัว จุก หายใจไมออก พลิกตัว สูดหายใจ ฉีกผาขาวมา แสดงอาการดิ้นรนของตัวละครเอกที่ตองการเอาชนะความเจ็บปวดและความตาย นอกจากนี้ การที่ผูแตงเนน คําวา “พยายาม” คือ (เขา) พยายามพยุงตัวจะลุกข้ึน แตก็ตองทรุดลงกับพื้นดินอีก และเขาพยายามเคลื่อนไหวกลิ้งเกลือกอยูที่นั่น จนหายใจหอบดวยความเหนื่อยออน “ไมเปนไร” เขาคิด “ตองพยายามกลับบานใหได” เขารูสึกอยากลุกข้ึนเดินแตก็ทําไมได (29) (เนนโดยผูวิจัย) การแข็งขืนและไมยอทอของ ตัวละคร เปนความพยายามที่ไรผล เนนสภาวะลมเหลวที่มนุษยไมอาจอยูไดตามลําพัง เมื่อเขาหมดทางจะลุกข้ึนจนนอนอยูกับพื้นดิน เขาจึงนึกถึงหมูบานอันหมายถึงคนและสังคมของคน

Page 6: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

109

…เขาเริ่มแนใจวาจะไมมีคนที่ไหนเดินผานมาพบเขาที่นี่ในเวลาเชนนี้ มดหลายตัวเดินเปนขบวนผานไปมา มันไมมีทีทาจะสนใจเขาเลยแมแตนอย เขามองมันอยางเล่ือนลอย นี่ถาฉันพอจะคลานกลับเขาหมูบานไดก็จะดีมากเลย ในหมูบานมีคนรูวิธีรักษาพิษงู เขาคิดพลางเหมอมองดูยอดสนของหมูบานหาดเสี้ยวที่เห็นอยูไมไกล ดวงอาทิตยสีแดงเขมกําลังคลอยลงเหนือยอดไมทางตะวันตก (30)

เขาเริ่มประจักษวา คนเปนที่พ่ึงของคนหรือคนตองพ่ึงพากัน แต “จะไมมีคน ที่ไหนเดินผานมาพบเขาที่นี่ในเวลาเชนนี้ มดหลายตัวเดินเปนขบวนผานไปมา มันไมมีทีทาจะสนใจเขาเลยแมแตนอย เขาจึงกลาววา “นี่ถาฉันพอจะคลานกลับเขาหมูบานไดก็จะดีมากเลย ในหมูบานมีคนรูวิธีรักษาพิษงู” (30) ใน “ศึก” (2512) ฉากภัยธรรมชาติในการลองเรือ ส่ือภารกิจที่ตองตอสูในชีวิตและการงาน ขณะเดียวกันในฉากที่ตัวละครมีความขัดแยงภายใน ก็มีการตอสูภายในจิตใจของสีเทิ้มระหวางมโนธรรมกับความคิดฝายต่ํา สัญลักษณที่เดนในฉากนี้ก็คือจระเข และยังเปนจระเขในจินตนาการอีกดวย นิคมแสดงวาจระเขเปนสัญลักษณของอํานาจอันลึกลับในจิตใจ เมื่อโยงกับความตองการของสีเทิ้ม อํานาจนั้นก็คือความโลภนั่นเอง อํานาจจากความตองการที่เขาตองกําจัดใหไดหากจะยังคงความเปนคนไว

ความตองการอันลึกลับผุดขึ้นมา เขาพยายามขมมันไว แตมันดิ้นรนออกมาจนได เขาคิดไปถึงจระเขที่นากลัว รูสึกหวาดกลัว เหง่ือชุมใบหนา หายใจฟดฟาด ครางออกมาอยางลืมตัว ภายในความเงียบสงัด จนผูรวมเรืออีกสามคน ตกใจตื่นลุกข้ึนนั่ง

“อะไร” ลุงบุญปลูกถามออกมาจากกลางลําเรือ “เปลา” สีเทิ้มพูดเสียงสั่น “ไมมีอะไร” “บอกมาเถอะ” ลุงบุญปลูกพูด แกรูสึกผิดสังเกตจากน้ําเสียงที่ส่ันของ

สีเทิ้ม “มีอะไรหรือ” “ผมกลัว” สีเทิ้มวา “กลัวอะไร” สีเทิ้มคิดไปถึงจระเข “ตะเข” เขาพูด “ตะเขใหญ” “อยูที่ไหน” ลุงบุญปลูกถาม “ไมเห็นมีนี่ น้ําเช่ียวอยางนี้ จระเขมันอยู

ไมไดหรอก “มันฟาดหางใหญเลย” สีเทิ้มพูด

Page 7: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

110

………………. สีเทิ้มลืมตาโพลงในความมืด พยายามคิดในทางที่ดี เขาอยากให

คนรักแตมักจะทําตรงกันขามเสมอ เขาเกลียดมัน แตแพมัน เขาออนแอเกินไป

“คราวนี้เราตองชนะ” สีเทิ้มบอกตัวเอง “เราจะไมออนแออีกตอไป” ไมนานความรูสึกอยากก็เกิดขึ้นมาอีก เขาสลัดหัว “อายเข” เขาพูด

เบาๆ ขณะคิดถึงความโหดรายของจระเข “ออกไปใหพน” เขาถูกรุกเราหนักจนรองเอะอะข้ึนมาในความมืดอีกครั้ง ตัวสั่นและ

เหง่ือซึม “อะไรอีกหรือ” ลุงบุญปลูกถาม แตสีเทิ้มนิ่งเงียบ “นอนเสียเถอะ”

แกบอก “จระเขไมมีหรอก” สีเทิ้มรูสึกกลัวตลอดคืน เขานอนไมหลับ เสียงจระเขฟาดหางดัง

สน่ันในความรูสึกตลอดเวลา (39 – 43) (เนนโดยผูวิจัย) จะเห็นวา การแทรกสัญลักษณชวยใหเห็นความจําเปนตองการตอสูกับอํานาจฝายต่ําอยางเปนรูปธรรม การขับเคี่ยวตอสูของตัวละครกับความรูสึกภายในดําเนินไปอยางเขมขน แตทายที่สุด สีเทิ้มก็สามารถชนะ “ศึก” ครั้งนี้ได แมเขาตองแลกกับความเจ็บปวดและความพิการทางกาย เมื่อยอมเส่ียงชีวิตชวยลุงบุญปลูกผูมีพระคุณ การตอสูภัยธรรมชาติเพ่ือชวยชีวิตลุงบุญปลูกและคนทั้งเรือ เปนเหตุใหเขาตองฟนขอเทาตนเองใหขาด เพ่ือหลุดจากการถูกซุงหนีบ แตสัญลักษณในฉากนี้ทําใหเห็นวา นี่คือ การตอสูภายในจิตใจหรือการตอสูที่มาจากจิตใจ คําพูดของเขาที่วา “ตะเขไมมีแลว ลุงไมตองกลัวมัน”…“มันตายแลว” สีเทิ้มพูดเสียงแผว “ผมฆามันเอง” (47) แสดงความภาคภูมิใจที่เขาสามารถฆาความชั่วรายดวยตัวเองได ธรรมชาติยังรวมรับรูการกระทําที่ยิ่งใหญของคนที่ปลดปลอยตนจากความชั่วได ดังคําบรรยายฉากตอนจบเร่ืองเมื่อสีเทิ้มถูกพาไปรับการรักษาที่บานหมอในตลาด ภายหลังที่เรือคัดทายเขาฝงได เมื่อ “แพซึ่งหลุดลอย แยกออกไปจากกราบเรือ” ภาพที่เปนสัญลักษณนี้ก็คือภาพความงามและความสงบอันแสดงถึงจิตใจของสีเทิ้มที่เขาสูสภาวะปกติ “ขางนอกหอง แดดออนยามเย็นกระจายทั่วยอดไม นกรองกังวาน ลมแผวเบา เยือกเย็นและสงบเงียบเหมือนเวลาหลังพายุผาน” (47) บรรยากาศตอนจบเรื่องนี้แสดงธรรมชาติที่รมเย็นเปนปกติสุข การใชคําวา “เหมือนเวลาหลังพายุผาน” ยิ่งยํ้าความปลอดโปรง หลังจากความทุกขทรมานของการตอสูไดผานพนไป

Page 8: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

111

ใน “ความเปลี่ยนแปลง” (2514) ชะตากรรมของนกพิราบสีขาวกระตุนใหผูอานไดครุนคิดถึงความเลวรายที่มนุษยทําลายชีวิตอื่นที่ออนแอกวา ไปจนถึงการทําลายสภาวะปกติสุขของชีวิต ความนารังเกียจในพฤติกรรมของตัวเอก กระตุนใหรูสึกตอตานการทํารายกันในระดับตางๆ ในสังคม การกําหนดใหนกพิราบขาวเผชิญชะตากรรมอยางเลวรายดวยน้ํามือของมนุษยแฝงเรน การวิพากษวิจารณจริยธรรมของมนุษยอยางชวนคิด ฉากหนึ่งที่ผูแตงเนนคือฉากในกรงที่วิทยพยายามสรางใหนกอยูอยางสะดวกสบาย ดังคําบรรยายวา “กรงนั้นมีรูปรางเหมือนเลาไก สูงกวาวิทยถึงสามฟุต หลังคามุงดวยสังกะสี ขางในมีจานใสอาหาร อางน้ํา และรังนอนที่สะอาด...” (50) แตความสุขสบายนั้นสรางข้ึนเพื่อผลประโยชนของผูให พรอมกับที่ทําลายธรรมชาติรักอิสระของนก ในวันแขงขันเมื่อปลอยนกแขงจากตนทางที่พิษณุโลก นกทุกตัวตองบินกลับกรุงเทพฯ มาเขากรงของตน เจาของตองแกะปลอกอะลูมิเนียมที่สวมที่ขามันออกแลวนําไปสงกรรมการใหเร็วที่สุด ฉากในกรงเมื่อนกบินกลับมาแสดงทั้งความทุกขของนกและเจาของดังนี้

มันรีรออยูสักครูหนึ่งจึงกระโดดลงจับคอนหนากรง แลวเดินผานประตู

ที่เปดอาอยูตรงไปยังอางน้ํา วิทยรีบว่ิงเขาไปแลวปดประตูตามหลัง เขาเอ้ือมมือจะจับนก แตมันตื่นตกใจจึงกระโดดหนี เขาตามควาอยางรวดเร็ว นกกระพือปกบินรอบกรง เขาเหยียบอางใสน้ําแตก และเหนี่ยวเอารังนอนของนกตกลงพื้นฝุนฟุงกระจาย ดวยอารามรีบรอน เขาฉวยขานกไวในมือ มันดิ้นจนขนหลุดหลายเสน เขาลูบตัวใหมันสงบ และพยายามแกะหวงออกจากขาของมัน มือเขาสั่น หายใจหอบและเหงื่อผุดออกมาเต็มใบหนา การแกะหวงจากขานกนั้นงายมาก แตมันกลับกลายเปนสิ่งที่ยากในเวลาเชนนี้ เขายกนาฬิกาขอมือข้ึนดูหลายหน ดวยความกังวล รูสึกถึงทุกนาทีที่สูญเสียไป ในที่สุดเขาหยุดแกะหวงและตัดสินใจวิ่งไปยังสมาคมนกแขงพรอมดวยตัวนกและหวงที่ติดอยูกับขาของมัน... (55)(เนนโดยผูวิจัย)

สาเหตุที่วิทยรอนรนจนขาดสติก็คือความพะวงกับผลประโยชน ดังที่เขากลาวกับนกเมื่อมันบินมาถึง แตยังไมเขากรงวา “ เวลามีคามัวออยอิ่งอยูทําไม” และขณะที่เขาไปแกะหวงจากขานกในกรงแตทําไมได “เขายกนาฬิกาขอมือข้ึนดูหลายหนดวยความกังวล รูสึกถึงทุกนาทีที่สูญเสียไป” ความไมเปนปกตินี้ปรากฏขึ้นในกรงนก ดังที่เมื่อนกเดินไปยังอางน้ําเขาก็...เอ้ือมมือจะจับนก แตมันตื่นตกใจจึงกระโดดหนี เขาตามควาอยางรวดเร็ว นกกระพือปกบินรอบกรง เขาเหยียบอางใสนํ้าแตกและเหน่ียวเอารังนอนของนกตกลงพื้นฝุนฟุงกระจายดวยอารามรีบรอน เขาฉวยขานกไวในมือ มันดิ้นจนขนหลุดหลายเสน เขาลูบตัวใหมันสงบ... (55)

Page 9: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

112

จะเห็นวา นิคมเลือกใชคํากริยาแสดงภาพตัวละครยื้อยุดนกพิราบอยางโกลาหล การใชคําที่ใหความหมายรุนแรง เชน “ตามควา” และ “ฉวยขาไวในในมือ” ชวยเนนย้ําลักษณะการจับที่หนักหนวงรุนแรง พอจับนกไดแลววิทยพยายาม “ลูบตัวใหมันสงบ” แตเขามิอาจบังคับใจตัวเองใหสงบลงได ยิ่งกวานั้น “มือเขาส่ัน หายใจหอบและเหงื่อผุดออกมาเต็มใบหนา การแกะหวงจากขานกนั้นงายมาก แตมันกลับกลายเปนสิ่งที่ยากในเวลาเชนนี้” (55) ส่ิงที่เกิดข้ึนใน “กรง” นั้นถูกกํากับดวยความโลภดวยความพะวงวา “รางวัลที่หนึ่งตั้งสามพันบาท” (53) ผูอานไดเห็นวาวิทยไมสนใจเลยที่นกตรงไปที่อางน้ําเพราะความกระหายหลังจากเดินทางไกลรวม 1 วัน เขาทําจนมันตื่นตกใจ เขาผิดเองที่แกะหวงไมสําเร็จ หลังจากพลาดรางวัล ฉากในกรงกลับตรงกันขามกับชวงตน วิทยโยนนกเขาไปในกรงโดยไมปดประตู

...มันไดรับความบอบช้ํามากจากการถูกไลตะครุบ ขาขางที่สวมหวงหัก

จนใชการไมได มันนอนซมเพราะพิษบาดแผลอยูหลายวัน ไมสามารถกระพือปกข้ึนบินได ตลอดเวลาในสัปดาหนั้น มันถูกทอดทิ้งอยางปราศจากการเหลียวแล ไมมีน้ําและอาหารอยูในกรงสําหรับมัน (55 – 56)

เห็นไดวา เมื่อวิทยไมไดรับรางวัลตามที่คาดหวังเขาก็เลิกสนใจนกพิราบ เขา “โยน” นกเขากรง อยางไมแยแส คือ ไมสนใจจะปดประตูทั้งๆ ที่กอนหนานี้เขากลัววามันจะถูกหมากัด ประโยคที่วา “มันบอบช้ํามากจากการถูกไลตะครุบ” แสดงผลของการกระทําที่ปราศจากความปรานีไดชัดเจน การเนนย้ําอาการของนกที่วา “ขาขางที่สวมหวงหักจนใชการไมได มันนอนซมเพราะพิษบาดแผลอยูหลายวัน ไมสามารถกระพือปกขึ้นบินได” ยิ่งตอกย้ําความโหดรายของมนุษย ที่ถือสิทธิความเปนเจาของบงการชีวิตอื่น นาสนใจวา ครั้งที่สุนัขกัดนกยังสามารถเยียวยารักษาบาดแผลใหหายได แตผลที่เกิดจากการกระทําของมนุษย คือ “ขาขางที่สวมหวงหักจนใชการไมได” และ “ไมสามารถกระพือปกข้ึนบินได” หมายความวา การกระทําของมนุษยผูเล้ียงดูมันยังความเจ็บปวดและสูญเสียใหมากกวาหลายเทา นอกจากวิทยไมสํานึกถึงการกระทําของตนที่ทํารายสัตวที่ออนแอแลว เขายังเห็นชะตากรรมของชีวิตอื่นเปนเรื่องตลก ดังเห็นจากคําบรรยายและบทสนทนาที่วา

อีกสองสามอาทิตยตอมา วิทยพาเพื่อนผูหญิงมาที่บานเปนครั้งแรก เขาชี้ใหเพ่ือนสาวดูนกพิราบสีขาวสกปรกมอมแมม ที่กําลังกระโดด ขาเดียวหาเศษอาหารกินอยูริมสนาม มีหมาสีนํ้าตาลขาพิการเดินโขยกเขยกไปมาอยูใกลๆ กัน

Page 10: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

113

“คุณสังเกตเห็นขาของมันไหม” เขาพูดกับเธอ “เปเหมือนกันเลย ดูใหดีๆ ซิมันนาขันจริงๆ”

“ตลกจังเลยนะ” เพ่ือนสาวของเขาเห็นคลอยตามแลวทั้งสองก็หัวเราะดวยความขบขัน (56) (เนนโดยผูวิจัย)

หมาในฉากสนามหญาพิการเพราะถูกรถทับ ภาพนกและหมาคือภาพชีวิตที่ถูกกระทําใหหมดความสงางามเพราะความโลภและความเจริญในสังคมมนุษย โดยที่ผูกระทําไมไดคิดละอายใจแมแตนอย หลังจากที่วิทยพลาดรางวัลนกพิราบขาวก็ถูกทอดทิ้งใหอยูตามยถากรรม ฉากที่วิทยขมเหงนกพิราบกระตุนความคิดผูอานหลายระดับคือ เสียดสีมนุษยที่เห็นแกตัวและขาดความรับผิดชอบ การแสดงภาพของนกพิราบที่ประสบชะตากรรมอยางรายดวยน้ํามือมนุษย ไดปลุกมโนธรรมของผูอานใหเช่ือมโยงกับความโหดรายของสงคราม ที่คุกคามชีวิตของผูบริสุทธิ์เพ่ือครองอํานาจ ดังท่ีผูแตงไดแทรกขาวเหตุการณที่เกิดในประเทศเพื่อนบานไวอยางเทียบเคียง คือ

...พอของเขากําลังจดจออยูกับหนังสือพิมพ เขากําลังอานขาวเกี่ยวกับการรบในเวียดนามที่แผขยายเขาไปในลาวและเขมร ขาวการที่ทหารอเมริกันและเวียดนามใตทิ้งระเบิดนาปาลมถลมเวียดนามเหนือ ขาวสหประชาชาติรับปกก่ิงเขาเปนสมาชิก และขาวสหรัฐเตรียมถอนทหารออกจากเวียดนาม (54)

ภาพของนกพิราบที่ถูกรังแกจนมิอาจดํารงชีวิตอยางปกติ ถูกนํามาวางเทียบกับขาวสหรัฐอเมริกาเขามาทําสงครามกับเวียดนามและตองถอนทหารออกไป ขณะท่ีเวียดนามซึ่งถูกรุกรานก็แผขยายอํานาจเขาไปในลาวและเขมร การทิ้งระเบิดปูพรม ความตาย และความสูญเสียดังกลาวเกิดจากการคุกคามประเทศเล็กๆ อยางไรมนุษยธรรม ดวยขออางของมหาอํานาจวารักษาสันติภาพ สันติภาพที่กลาวอางจึงเปนเหมือนนกพิราบที่ถูกทํารายอยางบอบช้ํา นอกจากนิคมใชนกพิราบเปนสัญลักษณ เพ่ือปลุกสํานึกรับผิดชอบตอสังคมของคนหนุมสาว และเรียกรองความเห็นอกเห็นใจระหวางเพ่ือนมนุษยและตอสัตวโลกแลว ใน “ปลอยนก” (2514) นิคมไดใชชะตากรรมของนกกระจาบที่ถูกปลอยออกจากกรงกระตุนบทบาทของคนหนุมสาวที่มีตอสังคม และเสียดสีการทําบุญอยางหางไกลจากแกนสารของธรรมะอีกดวย ฉากท่ีนาพิจารณาคือ ฉากในวัดซึ่งเปนแหลงทัศนาจร ตอนที่ตัวละครที่เปนชายหนุมปลอยนกตามคําชักชวนของเพื่อนสาวที่เช่ือวา “...เดี๋ยวปลอยนกนี่ แลวจิตใจจะดีข้ึน” (60) แตพอเขาปลอยนกไปแลวเขาไมไดรูสึกดีข้ึนเลย สิ่งที่ปรากฏใหเขาเห็นในฉากนี้คือ “ เมื่อประตูกรงเปด

Page 11: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

114

นกกระจาบตัวเล็กกระโดดออกไป มันขยับปกบินในอากาศ วนรอบตนโพ แลวหมดแรงฟุบอยูขางพุมหญาริมตลิ่ง ดวยความออนเปลี้ย คนขายนกเขามารับกรงคืนไปจากชายหนุมแลวเอาไปกองรวมกับกรงอื่นๆ ในกระบุง” (60) ชายหนุมและหญิงสาวซึ่งเปนสวนหนึ่งของนักทัศนาจร สังเกตเห็นวา นกกระจาบที่ถูกจับมาเปนนกปลอยนั้นอยูใน “...กรงไมอันเล็กๆ มีที่วางจํากัดใหมันหันตัวไปมา แตไมพอสําหรับกระโดดโลดเตน หรือแมแตกางปก เสียงที่รองแหบพรา ไมกังวานแจมใส นัยนตาของมันเซื่องซึม” (59) นกที่เขาปลอยไปนั้นออนแอและไมมีเร่ียวแรงพอจะบินไปดํารงชีวิตตามธรรมชาติได ส่ิงที่เกิดขึ้นจึงเปนการฟองวาการปลอยนกมิใชการชวยเหลือที่แทจริง หากแตเปนกิจกรรมที่สมมุติข้ึนเพื่อประโยชนของคนสองกลุมคือคนขายนกกับผูแสวงหา “บุญ” ทั้งสองฝายขาดความเขาใจแกนแทของการทําบุญ ทั้งยังสงเสริมใหมีการจับเพ่ือปลอยซึ่งเปนการหลอกลวงหรือกลาวไดวาทําบาปมากกวา ผูอานจะสังเกตเห็นวา คนขายนกมิไดรูสึกวาการกระทําของตนเบียดเบียนชีวิตอ่ืนเลย เพราะหลังจากที่คนปลอยนกแลวเขาก็จะ “...เขามารับกรงคืน...แลวเอาไปกองรวมกับกรงอื่นๆ ในกระบุง” อีกทั้งยังเห็นวา “คนขายนกยืนรองเรียกผูซื้อ ขางหลังของเขามีกรงนกชนิดตางๆ มากมายกองเทินกันจนสูง ทาสีแปลกๆ หลายสี เขาขายทั้งนกปลอยและกรงนก (59) การกระทําของคนขายนกจึงถือเปนธุรกิจอยางหนึ่ง ที่อาศัยความตองการบุญของคนอีกกลุมเปนชองทางหากิน ฉากที่วัดซึ่งปราศจากจิตกุศลจึงฟองความพิกลพิการทางความเชื่อของสังคมแตเกือบไมมีผูฉุกคิด ฉากท่ีนักทัศนาจรเดินทางเขาไปในวัดนั้น ก็เนนย้ําความไรความหมายของ การเขาวัดทําบุญ หลังจากลงรถ กิจกรรมแรกคือการถายรูปในบรรยากาศที่ “เต็มไปดวยความพลุกพลานชุลมุน” และ “เฮฮา”

พวกเขาตามกันไปอยางเช่ืองชา ไมมีอาการรีบรอน คอยๆ ใกลเขาไปยังโบสถที่พระพุทธรูปองคงามประดิษฐานอยู ดอกบัว ธูปเทียน และทองปดพระ ริมทางขาเขาวิหาร เสียงเขยาไมเซียมซี ควันเทียน ควันธูป และความสลัวขณะที่อยูขางในวิหาร เสียงพิณพาทยของวณิพก เสียงแผวๆ ของขอทาน เสียงคนขายล็อตเตอรี่ และเสียงของคนขายนกปลอยตามรายทางขาออกจากวิหาร (58)

กลาวอีกนัยหนึ่งก็คือ ผูแตงเสียดสีคนหนุมสาวสวนใหญ ซึ่งไดช่ือวาปญญาชน

แตสนใจกิจกรรมสนุกสนานกวาการแสวงหาทางปญญา สวนฉากที่แสดงทางเขา ขางใน และทางออกจากวิหารนั้นก็นาสนใจ กลาวคือ ตอนขาเขานิคมใหภาพ “ดอกบัว ธูปเทียน และทองปดพระ” ซึ่งเปนเครื่องหมายแหงการบูชา ที่ควรจะประกอบดวยการระลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัย

Page 12: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

115

เพ่ือใหจิตใจสงบและเกิดปญญา แตบรรยากาศในวิหารกลับเปน “เสียงเขยาไมเซียมซี ควันเทียน ควันธูป และความสลัว...” เพ่ือแสดงวาเมื่อกลุมนักทัศนาจรไมเขาใจความมุงหมายของการไหวพระ ส่ิงที่ผูอานไดเห็นจึงเปนแคกลุมควันจากธูปเทียน นาสนใจวาผูแตงใหภาพ “ควัน” ซึ่งดูมัวมน แทนภาพ “แสง” จากเทียนและสีทองของพระพุทธรูป ซึ่งหมายถึงสติปญญาที่ชวยใหมองและเขาใจสรรพสิ่งอยางลึกซึ้ง นอกจากนี้ ฉากในวัดยังหางไกลจากความสงบ ดังคําบรรยายถึง “เสียงพิณพาทยของวณิพก เสียงแผวๆ ของขอทาน เสียงคนขายล็อตเตอรี่ และเสียงของคนขายนกปลอยตามรายทางขาออกจากวิหาร” (58) ซึ่งแสดงภาพชีวิตของกลุมคนที่อาศัยวัดเปนสถานที่หาเล้ียงชีพ

1.2 สัญลักษณในพฤติกรรม พฤติกรรมของตัวละคร อาจแทรกอยูในฉาก ดังที่ตัวเอกใน “ความเปลี่ยนแปลง” กระทําตอนกที่ตนเคยเอาใจใสเล้ียงดูอยางประคบประหงม ความเปลี่ยนแปลงของเขาชวนใหผูอานคนหาสาเหตุ ซึ่งแฝงฝงอยูในจิตใจของเขาเอง พฤติกรรมของคนหนุมสาวและคนขายนกที่ตัดกับตัวเอกชาย ใน “ปลอยนก” ก็เปนจุดเดนใหวิเคราะหความคิดหลัก และกระตุนใหผูอานมองเห็นแงกลับของสิ่งที่เห็นหรืออาจจะเคยกระทํามากอนจนรูสึกวาเปนธรรมดา นอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมของตัวละครในอีกหลายเรื่องดังจะยกมาอภิปรายตอไป ใน “เชาวันหนึ่ง” (2512) พฤติกรรมของนอมที่จุดธูปขอขมางูเหลือมที่ตนดาวา ทั้งๆ ที่มันเขามากินหาน แสดงปญหาการครอบงําของความเชื่อส่ิงเหนือธรรมชาติของคนชนบท นอมเปนตัวแทนชาวบานที่ถูกความเชื่อส่ิงเหนือธรรมชาติครอบงําเปนพื้นฐานอยูแลว เธอจึงไมตอตานความคิดเห็นของผูคนรอบขางอยางสามี และลุงแมน ทั้งๆ ที่ไมมีใครรูวางูมีความศักดิ์สิทธิ์หรือไม การสยบยอมตองู ก็คือพฤติกรรมการสยบยอมตออํานาจบนพื้นฐานของความกลัวและความไรเหตุผลจนถึงข้ันความงมงาย การยอมจํานนจึงกลายเปนทางเลือก พฤติกรรมเชนนี้ไมตางจากการยอมถูกยิงเพ่ือใหอยูยงคงกระพัน ดังปรากฏใน “ตนทาง” (2516) สําเริงเจตนาใหกระสุนฝงอยูตามรางกาย เพ่ือใหหนังเหนียวตามความเชื่อวาจะทําใหไมตายดวยอาวุธ ซึ่งเขาเห็นวาเปนวิธีการเดียว ที่จะชวยใหพนอันตรายจากมิจฉาชีพที่คุกคามชีวิตและทรัพยสิน การกระทําของสําเริงถือเปนการปองกันตัว ดวยการแสวงหาอํานาจเหนือธรรมชาติ โดยปราศจากความเขาใจกฎธรรมชาติ การกระทําของสําเริง จึงถือเปนการสรางอํานาจแกมนุษยดวยความ งมงายเพื่อเอาชนะกฎธรรมชาติจนอาจกลายเปนการทําลายชีวิต พฤติกรรมของสําเริงยังเปนสัญลักษณของการเปดรับสิ่งช่ัวรายเพื่อมีอํานาจอีกดวย สวนใน “คนบนตนไม” ตัวเอกมีพฤติกรรมเบียดเบียนนก การกระทําของเขาเปนสัญลักษณของความหลงผิดเชนเดียวกับตัวเอกใน “มากับลมฝน” (2512) ซึ่งมีพฤติกรรม ปฏิเสธสังคมจนประสบหายนะ ทั้งสองเร่ืองน ี้กระตุนความคิดผูอานไดอยางลุมลึก กลาวคือ

Page 13: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

116

ถึงแมถูกเอารัดเอาเปรียบ แตคนก็ยังคุกคามชีวิตอื่นที่ออนแอกวา ตัวเอกในเรื่องหลังเปนคนเมืองที่อคติตอสังคมเมืองที่ผูคนเอารัดเอาเปรียบกัน เขาจึงปลีกตัวไปอยูในที่ที่มีธรรมชาติ ขณะที่เขาตองการความสงบสุข เขากลับทํารายชีวิตอื่นอยางไรสํานึกและไมรูสึกวาตนก็กระทําการเบียดเบียนดวยเหมือนกัน ดังคําบรรยายวา

...เขาจึงปลดดอกพูระหงออกแลวเหวี่ยงเบ็ดซึ่งเก่ียวลูกเขียดเปนเหยื่อออกไปยังกบที่ลอยคออยูกลางน้ําในผืนนา

คันเบ็ดถูกตวัดขึ้นอยางแรงเมื่อกบใหญงับเหยื่อเขาไปในปาก ตัวมันลอยล่ิวข้ึนในอากาศตามสายเบ็ดที่ผูกติดกับปลายไมไผปาเรียวยาว ขาทั้งส่ีเกร็งจนเหยียดตรง มีโอกาสรองเพียงสองสามคําเมื่อเขากําตัวมันแนนในอุงมือ เพ่ือปลดเบ็ดออกจากปาก แลวหักขาหลังทั้งสองขาง ยัดมันลงไปในของรวมกับกบอีกส่ีหาตัว (25 - 26)

เห็นไดวา ตัวเอกทํารายกบโดยใชเขียดเปนเหยื่ออีกทอดหนึ่ง พฤติกรรมของเขาจึงไมตางจากการกระทําของคนในสังคมแบบปลาใหญกินปลาเล็ก กบที่เขาตกได มีอาการ “ขาทั้งส่ีเกร็งจนเหยียดตรง มีโอกาสรองเพียงสองสามคําเมื่อเขากําตัวมันแนนในอุงมือ...แลวหักขาหลังทั้งสองขาง ยัดมันลงไปในของ” การดิ้นรนและรองของกบอาจเทียบเคียงไดกับการรองขอของสิ่งมีชีวิตที่ออนแอกวา แตตัวเอกยังหักขาหลังของกบ การกระทําดังกลาวยิ่งเนนย้ําความโหดรายของผูกระทํา อีกทั้งช้ีวาเขาไมไดใสใจตอเสียงรอง หรืออาการของกบแมแตนอย ขณะที่เขาปฏิเสธการอยูรวมกันเปนสังคมของมนุษย พอถูกงูกัดเขาไมอาจจะปฏิเสธไดวาตองมีหมอรักษาเพื่อใหพนจากความตาย พฤติกรรมนี้ขัดกับที่เขายึดมั่นถึงข้ันจะแยกตนออกจากสังคมเพื่อจะไดไมมีปญหา เขาลืมคิดไปวาสังคมมีระบบชวยเหลือเก้ือกูลกัน เพราะมนุษยมีคุณธรรมของความเมตตากรุณาตางจากสัตวที่มีแตสัญชาตญาณ หายนะของตัวละครเปนผลจากการยึดถือความคิดอยางสุดโตง ตั้งแตสมัยเปนนักศึกษาและทํางาน จนกระทั่งถูกงูกัดเขาเรียกหาคนที่จะมาชวยเหลือเขา พฤติกรรมนี้เปนสัญลักษณใหตีความไดวาสังคมมนุษยเทานั้นที่มีการชวยเหลือเก้ือกูลตอผูอ่ืน พฤติกรรมของ ตัวเอกจึงเปนสื่อทางความคิดที่วามนุษยควรตระหนักถึงคุณคาของอารยธรรม และผดุงรักษาไวแทนที่จะหลีกหนี

ใน “ศึก” สีเทิ้มยอมตัดขอเทาตัวเองเพื่อฆาจระเข ดังกลาวแลววาในฉากการตอสูกับความตองการอันลึกลับ จระเขเปนสัญลักษณแทนความคิดชั่วราย คือ ความโลภของสีเทิ้ม ความประหวั่นพรั่นพรึงของเขาแสดงวา เขากลัวอํานาจของมันกลัววาตนจะพายแพความชั่ว กลาวไดวา ในสวนลึกสีเทิ้มยังมีความรูสึกผิดชอบชั่วดีอยู ทุกครั้งที่ความคิดอันลึกลับเกิดขึ้น

Page 14: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

117

ก็มักจะคิดไปถึงจระเข ความโหดรายและการคุกคามของมันในรูปของการฟาดหางซึ่งมีเสียงดังสนั่น กระท่ังถึงตอนที่สีเทิ้มชวยลุงบุญปลูก แตขอเทาถูกทอนซุงหนีบติดอยู ผูแตงบรรยายพฤติกรรมของตัวเอกที่ตัดสินใจอยางเด็ดเดี่ยว เขารองหาดาบหลายครั้งกวาจะไดมา พฤติกรรมและคําพูดของเขาแสดงวา เขากําลังตอสูกับความรัดรึงของความเห็นแกตัว

ดวยใบหนาถมึงทึง สีเทิ้มเง้ือดาบฟนฉับลงบนขอเทาของตัวเองตรง

สวนที่ถูกหนีบ ปากก็พรํ่าพูดไมเปนจังหวะ “อายเข” เขาตะโกนลั่น “จะมาดึงขาลงน้ําอีกหรือ” (45)

เขาไดกระทําตามคติที่วา “สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต” สละส่ิงที่ดอยกวาเพ่ือส่ิงที่ยิ่งใหญ แมการกระทําของสีเทิ้มตองแลกกับความเจ็บปวด แตเขาก็พูดอยางปลอดโปรงโลงใจวา “ลุง...ตะเขไมมีแลว ลุงไมตองกลัวมัน...มันตายแลว...ผมฆามันเอง” (47) หากไมอานอยางเช่ือมโยง พฤติกรรมของตัวเอกก็ไมสามารถตีความไดวา การตัดขอเทาเก่ียวกับการฆาจระเขอยางไร การเชื่อมโยงสอดรับระหวางการฆาจระเขกับการตัดขอเทาของสีเทิ้ม นาจะตีความไดวา การทําลายความคิดชั่วรายที่อยูในใจคนเรา ตองประกอบดวยความกลาหาญเด็ดเดี่ยวและความรักผูอ่ืนเหนือความรักตนเอง การรักษาคุณธรรมจําเปนตองกระทําดวยพื้นฐานของความรูสึกอันลึกซึ้ง สวนการทําลายไหเปลาของคุด ใน “ฝนแลง” (2516) ก็เปนสัญลักษณของการทําลายความลวงของความเพอฝน คุดฝนเห็นไหบรรจุทองคําสามคืนติดตอกัน แตพอเขาไปขุดกลับพบไหเปลาที่ฝงอยูในดิน เพ่ือนบานพากันวิพากษวิจารณเร่ืองทองกลายเปนดินไปตางๆ นานา บางก็วาเปนเพราะไมบนบานศาลกลาวกอนขุด บางก็วาบุญไมถึง แตก็แนะนําให “หัดมือออนตีนออน เซนไหวผีสางเทวดาใหมากสักหนอย” (98 - 99) คุดจามไหนั้นสุดแรงดวยขวาน ไหแตกกระจายทันที การทําลายความเพอฝนก็คือการรักษาไวซึ่งความทระนง การใชเหตุผล และความเชื่อมั่นในตนเองวา ไมตองรอคอยโชคเคราะหหรือการหยิบยื่นจากผูอ่ืน

1.3 สัญลักษณในวาทะ เนื่องจากนิคมใชสัญลักษณเพ่ือส่ือความหมาย สัญลักษณจึงเปนเนื้อหาสําคัญดวย ดังจะเห็นจากบทสนทนาและคําบรรยายคลื่นสํานึกในแทบทุกเร่ือง ในที่นี้จะยกที่เดนมาอภิปราย

Page 15: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

118

ใน “ส่ิงที่หลอนพอจะทําได” บทสนทนาระหวางตัวละครมีนัยสําคัญชวนใหผูอานคนหาสาเหตุอาการปวดหัวของตัวละครหญิงที่มิอาจบรรเทาไดดวยยาแกปวด นิคมใชวิธีการตัดสลับระหวางบทสนทนากับคําบรรยาย แสดงกระบวนการคิดของตัวละครที่สรางความเขาใจแกผูอานทีละนอย ดังนี้

เปนไรหรือ... ฉันปวดหัว หลอนกมใชฝามือกุมหนาผาก แดดมันรอนไปหนอย ใครๆ แถวนี้ก็ปวดกันทั้งน้ัน...เอาน้ําลูบหนา

ประเดี๋ยวคงหาย ไมใชเพราะแดด...แดดลมไมเคยทําใหฉันปวดหัว... หลังจากที่เขาเหวี่ยงแหลงไปและคอยๆ สาวขึ้นมาจนพนผิวน้ํา เรือก็

ลอยหันเหปราศจากการบังคับ ใบหนาหลอนซีดเซียว และขบกรามอยางอดกลั้น

มันจะไมหยุดเลยรึ หลอนพึมพําหลับตานิ่ง เราจะแวะตลาดขากลับ...ที่น่ันมียาแกปวดขาย ฉันเคยกินแลว...มันแกไมได ฉันเคยกินแลว (79 – 80) (เนนโดย

ผูวิจัย) บทสนทนาขางตนชี้ใหเห็นวา อาการปวดหัวของตัวละครหญิงมิไดเกิดจากอากาศรอน และยาแกปวดไมอาจบรรเทาได อาการปวดหัวของเธอจึงหมายถึงอาการเจ็บปวยอยางอ่ืนที่เกิดจากความรูสึก เพราะแรงกระตุนของสิ่งแวดลอมที่เปนพฤติกรรมของมนุษยไมใชธรรมชาติ การส่ือความหมายนี้เห็นไดจากคําบรรยายคลื่นสํานึกหรือวาทะ ในความคิดของ ตัวละครซึ่งผูอานตองนํามาเชื่อมโยงกันกับผลที่เกิดกับตัวละคร

...ลึกเขาไปทางดานฝงลาว มีการเขนฆากันอยูทุกวัน เครื่องบินเอาลูกระเบิดไปทิ้งวันละหลายเที่ยว การทํามาหากินลําบาก ความเปนอยูไมปลอดภัย ชีวิตประจําวันเต็มไปดวยภยันตรายและความหวาดวิตก

หลอนใชฝามือนวดเฟนบริเวณหนาผาก ถอนหายใจดังถี่ขึ้น พยายามตอสูกับความรูสึกหลายอยางของตัวเอง ทําไมเราเปนอยางน้ี

...ในปาทึบลึกเขาไปทางฝงมหาสมุทรดานโนน ความทุกขเข็ญมีมากมายกวาที่นี่หลายเทา การทําลายลางชีวิตและทุกส่ิงทุกอยางในเวียดนาม ดําเนินมานานปไมมีทีทาวาจะสิ้นสุด ลูกระเบิดถูกทิ้งลงไปเหมือนโปรย

Page 16: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

119

เม็ดทรายเลน รางมนุษยนอนตายกระจัดกระจายเหมือนสัตวที่ไรความหมาย

มันหนักขึ้นทุกที หลอนรองเสียงดังแลวกมหนาซบบนเขา อกสะทอน

ก็พยายามแลว...จะทําอยางไรได ...ตรงกลางแมน้ํามีศพมนุษยศพหนึ่งลอยผานไปอยางเชื่องชา พองอืด

จนฟู ภาพนี้ไมใชของใหมเสียแลว ในเมื่อสองเดือนกอนมีศพลอยเกล่ือนแมน้ําไหลตามกันไปไมขาดระยะ ความกระเทือนใจและความหวาดผวาทําใหคนออนเปลี้ย และเศราซึม

ไมเบาลงเลย หลอนสะบัดหัว พยายามอดกลั้นจนหนาตาหมองคล้ํา... ทนเอาหนอย...มันจะอยูอีกไมนานหรอก ฉันทนไมไหวแลว หลอนขยุมชายเสื้อในกํามือ จะทํายังไงได เขางกๆ เง่ินๆ หันรีหันขวาง ฉันอยากจะ ฉันกําลังจะ คําพูดของหลอนขาดหายอยูแคนั้น เอนตัว

ไปพิงเขา ยกมือข้ึนปดหนาแลวเริ่มตนรองไห (80 – 82) (เนนโดยผูวิจัย)

ผูอานจะพบวาความทุกขทรมานของตัวละครหญิง เกิดขึ้นเพราะการประสบความโหดรายของสงครามที่ทําลายลางเพ่ือนมนุษยดวยอาวุธรายแรง การรวมรับรูชะตากรรมของเพ่ือนมนุษยที่ถูกคุกคามทํารายอยาง “ไมมีทีทาวาจะส้ินสุด” บีบคั้นตัวละครใหไหวสะเทือนจน “หวาดผวา...ออนเปลี้ยและเศราซึม” นิคมใชขอความแสดงอากัปกิริยาของตัวละครเพื่อบงช้ีภาวะอารมณอัดอั้นไรทางแก ดังนี้“หลอนกมใชฝามือกุมหนาผาก” “ใบหนาหลอนซีดเซียว และขบกรามอยางอดกลั้น” “หลอนใชฝามือนวดเฟนบริเวณหนาผาก ถอนหายใจดังถ่ี” “หลอนรองเสียงดังแลวกมหนาซบบนเขา อกสะทอน” “หลอนสะบัดหัว พยายามอดกลั้นจนหนาตาหมองคล้ํา” “หลอนขยุมชายเสื้อในกํามือ” “เอนตัวไปพิงเขายกมือข้ึนปดหนาแลวเริ่มตนรองไห” คําพูดและ คําบรรยายสั้นๆ ที่แสดงความทุกขของตัวละครเชื่อมโยงกับปฏิบัติการทํารายมนุษยอยางไรมนุษยธรรม โนมนําใหผูอานตระหนักถึงภัยสงครามที่กระทบตอมวลมนุษยชาติ นาสังเกตวา นิคมใชช่ือเร่ืองเปนวัสดุสวนหนึ่งของการเลาเร่ือง ในเรื่องนี้วาทะของผูเลาเร่ืองที่ปรากฏเปนชื่อเร่ืองคือ “ส่ิงที่หลอนพอจะทําได” ก็หมายถึงการรองไห ซึ่งเปน ส่ิงเดียวที่พอจะทําได ในสถานการณเชนนั้น ซึ่งเต็มไปดวยความสิ้นหวัง สวนชื่อเร่ือง “ศึก” ก็เปนวาทะที่แสดงการประจญสูเพ่ือชัยชนะซึ่งตัวเอกกระทําไดสําเร็จ นอกจากนี้ช่ือที่เปนวาทะสําคัญคือ “ปลอยนก” ก็เช่ือมโยงไดกับวาทะของตัวเอกชายหลังจากปลอยนกวา ไมรูสึกวาไดปลอยอะไรเลย คําวา ปลอย จึงเปนวาทะกลวงซึ่งส่ือความหมายตรงกันขาม ปลอย เทากับไมได

Page 17: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

120

ปลอย เทากับจับยึด ซึ่งตีความตอไปไดอีกวา จับยึดความลวง จับยึดเปลือกของศาสนาไมใชแกน สวนวาทะของตัวเอกท่ีวา “การปลดปลอยจะไมมีทางเกิดขึ้น ถากรง...ยังอยู” จึงตองพังกรงทิ้งใหหมด ก็เปนสัญลักษณวาการปลดปลอยที่แทจริงมีอยูแลว ถาเคารพในสิทธิของชีวิตอื่นไมนําผูอ่ืนมาเปนเหยื่อ บทสนทนาระหวางตัวละครชายกับเพื่อนหญิงที่กลาวถึงการปลอยนกกระตุนใหผูอานเขาใจวาการปลอยอยางหลอกลวงไมใชการปลดปลอยที่แทจริง

“ฉันรูสึกอึดอดั” “เมื่อก้ีเราทําอะไร” “เธอไมรูหรือ” หลอนพดู “ถามเลนหรือถามจริง” “ถามจริง” “เราพ่ึงจะปลอยนกไปเมื่อก้ีนี้เอง” “ฉันไมรูสึกวาไดปลอยนกเลย” เขาพูด “ไมรูสึกวาไดปลอยอะไร

ทั้งนั้น” “ก็เธอปลอยมันไปแลวจริงๆ” “เธอดูที่นี่ซิ” เขาพูดพลางชี้มือ “กรงเปลากองเบอเรอ กรงสําหรับที่

เขาจะเอาไปขังนกอีก การปลดปลอยจะไมมีทางเกิดขึ้นได ถากรงพวกนั้นยังอยู จะตองเอามาพังทิ้งใหหมด” (59 – 61)

ใน “ฝนแลง” คําพูดของคุดแฝงเรนความเชื่อมั่นในวิถีปฏิบัติของตน แทนที่จะมัวรอคอยการบันดาลของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมื่อคุดกลาววา “ถาอยากฝน เราก็ฝนเองได” ฝน ในวาทะของคุดก็คือเปาหมายของชีวิตที่ตองสรางข้ึนดวยตนเองดวยภาวะการตื่น ซึ่งตีความไดวามีความรูตัว (สติ) และยืนอยูบนความจริง ดังบทสนทนาของคุดและบัวคําดังนี้

“ใครคงไมมาเขาฝนเราอีกแลว” “ชางเถอะ ฉนัไมอยากใหใครมาเขาฝน” “พวกเขาวาที่นี่กําลังจะเจริญ” บัวคําพูด “ใครๆ ก็วาอยางนั้น มัน

คงจะดีข้ึน จะมีน้ําสะอาดใชตลอดป มีถนนลาดยาง มีไฟฟา มีโรงเรียน โรงพยาบาล มีกอสรางอะไรตั้งหลายอยาง ขาวที่เราปลูกจะมีราคาดีไมลําบากเหมือนกอน”

“เขามาเขาฝนอีกละซิ” “ไมฝน แตเปนจริง มันจะตองมีอะไรดีข้ึน”

Page 18: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

121

“มีแตไหเปลานะซิ” ......................... “มันไมนาเช่ือหรือ” หลอนพูด “แกไมเช่ืออะไรเลยหรือ” “ฉันเช่ือเรื่องชวยตัวเอง ไมมีใครชวยเราได ถาเราไมชวยตัวเราเอง

กอน” “เราคงตองทํางานหนักมากกวาน้ีอีก” “และตองไมคอยแตบนบานใหใครเขามาเขาฝนดวย” “ไมเปนไรนี่ เขาอยากชวยเรา เขาก็มาเขาฝน” “ ถาอยากฝน เราก็ฝนเองได” “แกพูดเรื่องอะไร ฉนัไมเขาใจ” “เพราะเราหลับนะซิ เขาถึงไดมาเขาฝน ถาเราตื่นอยู มันก็ไมเปน

อยางน้ี” “แกเปนอะไรไปแลวคุด” หลังจากเงียบไปสักครูหนึ่ง คุดจึงพูดขึ้น “ตอนนี้ฉนัอยากอะไรรูไหม” “อะไรรึ” “อยากนอนหลับใหสบาย” เขาพูด “นารําคาญเหลือเกิน เอาไหเปลา

มาเขาฝนกันอยูเร่ือย ฉันหลับไมสนิทมาหลายคืนแลว” (101 – 103) (เนนโดยผูวิจัย)

สังเกตไดวา บทสนทนาขางตนนี้ ตัวละครกลาวถึง “ฝน” และ “ไหเปลา” ซ้ําหลายครั้ง หลังจากคุดทําลายไหตอหนาเพ่ือนบาน เขาไมไดปริวิตกวาจะไมมีใครมาเขาฝน เพราะเขา “...ไมอยากใหใครมาเขาฝน” พอบัวคํากลาววา “พวกเขาวาที่นี่กําลังจะเจริญ…ใครๆ ก็วาอยางนั้น มันคงจะดีขึ้น จะมีนํ้าสะอาดใชตลอดป มีถนนลาดยาง มีไฟฟา มีโรงเรียน โรงพยาบาล มีกอสรางอะไรตั้งหลายอยาง ขาวที่เราปลูกจะมีราคาดีไมลําบากเหมือนกอน” (101 – 102) (เนนโดยผูวิจัย) เขาก็กระทบกระเทียบวา “เขามาเขาฝนอีกละซิ” และ “มีแตไหเปลานะซิ” คุดนําความหวังของบัวคําเร่ืองความเจริญและความสะดวกสบายซึ่งยังไมเกิดขึ้นเทียบเคียงกับสิ่งที่เขาเรียนรู คือเขาฝนเห็นไหบรรจุทองคําแตขุดเจอไหเปลา แตบัวคํายังไมเขาใจสิ่งที่คุดพูด คุดจึงพูดถึงส่ิงที่เขาเชื่อคือ “ฉันเชื่อเร่ืองชวยตัวเอง ไมมีใครชวยเราได ถาเราไมชวยตัวเราเองกอน เราคงตองทํางานหนักมากกวานี้อีก และตองไมคอยแตบนบานใหใครเขามาเขาฝนดวย” (102)และ “ถาอยากฝน เราก็ฝนเองได…เพราะเราหลับนะซิ เขาถึงไดมาเขาฝน ถาเราตื่นอยู มันก็ไมเปนอยางนี้” (102) คําพูดของคุดแฝงนัยของการเรียนรูที่เกิดจากความ

Page 19: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

122

ผิดพลาด จึงไมแปลกที่ฉากสุดทาย “คุดคิดถึงกองฟนที่ตัดไวดวยแรงกายของตน เขาสามารถนึกเห็นภาพมันไดอยางชัดเจน...” (103) ใน “ตนทาง” (2516) นาคิดวา อะไรคือตนทางและเปนตนทางของอะไร ในบรรดาชื่อเร่ืองทั้งหมดในรวมเรื่องส้ันเลมนี้ “ตนทาง” คือ ช่ือที่เปนปริศนามากที่สุด นอกจากช่ือเร่ืองแลวไมมีคําวา ตนทางอยูในที่ใดเลยตลอดเรื่อง เมื่อพิจารณาเนื้อเร่ือง ส่ิงที่เย้ือนวิตกก็คือ ความเปนความตายของสําเริงเพ่ือนชาวไรของเขา ทางอาจจะหมายถึงทางรอด หรือทางแหงหายนะก็ได ดังนั้น ตนทางนาจะตีความไดวาตนเหตุแหงความอยูรอดหรือตรงกันขาม เย้ือนรูสึกผิดที่ยิงสําเริงโดยบังเอิญ แตที่แทดูเหมือนวาสําเริงวางอุบายใหเขายิง เขาหงุดหงิดเพราะสําเริงไมยอมไปโรงพยาบาล และตองการใหลูกปนฝงอยูในรางกายเพ่ือใหหนังเหนียวเหมือนกํานัน บทสนทนาระหวางเย้ือนกับมาณี แสดงวาพฤติกรรมของสําเริงเปนความหลงผิดของคนหลายกลุมในสังคมดังนี้

“ผมกลัวเขาตาย อยากใหไปหาหมอ” “เขาก็ไมอยากตาย ถึงไมยอมไปหาหมอ” “ผมไมเขาใจเลย” “ก็เขาเชื่ออยางนั้น คุณไมตองกลัว มันไมใชความผดิของคุณ” “ผมไมไดคดิเร่ืองนั้น เขาก็ไมไดสนใจเรื่องผมผิดดวย มันแปลก

เขาไมโกรธทีผ่มยิงถูกเขา แตโกรธที่ผมจะพาไปผาลูกปนออก ทําไมถึงเปนอยางน้ี”

“เขาทําตัวเขาเองนี่ ชวยไมได เอาไวพรุงนี้คอยหาทางไปโรงพยาบาลอีกที”

“ใช พรุงนี้ผมจะพาเขาไปอีกที ถาคนืนีเ้ขาไมตายเสียกอน” “เราชวยอะไรไมได เขาไมเหมือนคนอื่นๆ” “ไมเหมือนยังไง” เย้ือนพูด “เขาก็เหมือนคนอื่นๆ น่ันแหละ อยาก

หนังเหนียว อยากเปนอมตะ คิดวาจะไมตาย ถาปลอยลูกปนไวอยางน้ัน”

………………… “แตมันเปนไปไมได เขาจะตายเร็วข้ึน” ........................... “ความเปนอมตะกับความตายของเขา มันเปนสิ่งเดยีวกัน” “คงไมมีใครเปนอยางนี้อีกแลว…”

Page 20: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

123

“มีซิ มีมากดวย คนที่กําลังหาอมตะแบบนี้ มีทั้งในปา ในเมือง ในบริษัท ธุรกิจ ในสนามรบ ในรัฐสภา”

“...คนเรานี่ก็แปลก ดูเผินๆ เหมือนกับทุกคนมีทางที่จะเขาใจกันได แตความจริงตางคนตางก็มีกําแพงของตัวเอง ไมมีใครสามารถเขาถึงใครไดจริงๆ เลย” (90 – 92) (เนนโดยผูวิจัย)

วาทะที่วา สําเริงพยายามใหตัวเองถูกยิงเพ่ือจะเปนอมตะ ทั้งๆ ที่ความเปนอมตะกับความตายของเขามันเปนสิ่งเดียวกัน กระตุนใหผูอานครุนคิดวา การเอาชนะกฎธรรมชาติกลับกลายเปนการแสวงหาความตาย ความตายในที่นี้ก็คือความตายไปจากสภาวะของการดํารงชีวิตอยางเปนปกติสุขตามธรรมชาติ เมื่อโยงกับบุคคลที่อยูในสถานภาพหลากหลาย “ทั้งในปา ในเมือง ในบริษัทธุรกิจ ในสนามรบ ในรัฐสภา” ก็นาคิดวานิคมไดสงสารการวจิารณชีวิตที่คนในปจจุบันหางไกลจากความเปนปกติสุขในทุกวงการ เพ่ือจะคงอยูไดก็จําเปนตองแสวงหาอํานาจเหนือมนุษย ซึ่งแนนอนวาหางไกลจากคุณงามความดีจึงเกิด “กําแพง” ที่ “ก้ัน” มิใหมนุษยเขาใจกันอยางแทจริง ดังที่เย้ือนจบบทสนทนาวา “...ตางคนตางก็มีกําแพงของตัวเอง ไมมีใครสามารถเขาถึงใครไดจริงๆ เลย” (92) ในมุมกลับ ถาคนเราอยูรวมกันดวยคุณงามความดี กําแพงแหงความกลัวหรือส่ิงอ่ืนที่ขวางกั้นความสัมพันธระหวางมนุษย (อาจเปนความไมรู ความหวาดระแวง ความไมไวเนื้อเช่ือใจ ความโลภ และโทสะ ฯลฯ) ก็คงจะไมมีอยู 1.4 สัญลักษณในหลายองคประกอบ ใน “คนดําน้ํา” (2514) ผูแตงแสดงความแตกตางทางความคิดและทัศนะในการดําเนินชีวิตของคน 4 กลุม บึงใหญเปนสัญลักษณแทนสังคม ตัวละครมี 4 คน คือ หญิงเล้ียงผักบุง คนตกเบ็ด คนถือฉมวก และคนดําน้ํา แทนกลุมคนตางสถานภาพและบทบาทในสังคม ซึ่งมีความเกี่ยวของกับสังคมดวยจุดมุงหมายและวิธีการตางกัน นิคมบรรยายวา “ในบึงมีผักตบชวา พืชน้ําและบัวหลายชนิด..” อีกทั้งมีผักบุง “แตกยอดออนเขียวสด” (65) เพ่ือช้ีใหเห็นวาในสังคมไทยเปนแหลงทรัพยากรอุดมสมบูรณ ตัวละครที่อาศัยบึงนี้เล้ียงชีพก็คือหญิงเล้ียงผักบุง สวนคนตกเบ็ดและคนถือฉมวกก็มีจุดมุงหมายเดียวกันคือมาหาปลา คนทั้งสามมีความมุงหมายที่ชัดเจน คนที่ปรากฏหลังสุด คือคนดําน้ํา ซึ่งทุกคนไมแนใจวาเปนใคร มาทําอะไร คนตกเบ็ดเห็นวาเขาเปนนักศึกษา หญิงเล้ียงผักบุงวา คงไมใชนักเรียนมหาวิทยาลัย เพราะ “ดูทาทางมีแววฉลาด” นางคิดวาอาจเปนนักกีฬาดําน้ํา หรือเปนนักสํารวจ หรือ “เด็กชอบอวดธรรมดา” เราจะเห็นวา คนดําน้ําเปนสัญลักษณของคนรุนใหมที่คนกลุมอื่นไมเขาใจ เขาถูกมองวานาสงสารบาง นารําคาญบาง แตที่สําคัญทําใหคนถือ

Page 21: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

124

ฉมวกเสียสมาธิและเปาหมายพรา เพราะ “มาทําใหน้ําขุน” สวนคนตกเบ็ดก็ไมชอบเพราะคนดําน้ํากวนปลาที่จะกินเบ็ดของเขา (70 – 71) เมื่อพวกเขาสังเกตเห็นพฤติกรรมของชายหนุมที่ดําน้ําผลุบโผลอยางเอาจริงเอาจังและไมรูจักเหน็ดเหนื่อย ก็พากันวิพากษวิจารณไปตางๆ นานา การกระทําของคนดําน้ํากระทบกิจกรรมของคนตกเบ็ดและคนถือฉมวก แตไมมีใครรูวาเขามาคนหาอะไร คนถือฉมวกเร่ิมไมแนใจวา วิธีการของเขาจะไดรับผลคุมคาอยางที่เขาเชื่อมั่นในตอนแรกหรือไม หรือการดําน้ําจะใหผลดีกวา

อาจตีความไดวา หญิงเล้ียงผักบุงเปนเกษตรกร คนตกเบ็ดเปนพอคา สวนคนถือฉมวกเปนนักการเมือง หญิงเล้ียงผักบุงพูดกับคนตกเบ็ดวา 1 (ผักบุงที่เธอเก็บ) …ไมไดนําไปขายเอง…เก็บไปสงใหเขาขายปลีกอีกตอหนึ่ง (66)

…………………….. …มันเปนอาหารประจําวัน ที่คนคุนเคยมานาน ใครๆ ก็รูจัก แตก็

ตองเล้ียงเปนนะ ผักบุงถึงจะงาม ไมงายอยางที่คิดหรอก…(66) ……………………… …ฉันวาเลี้ยงผักบุงดีกวา คุณจะไมมีวันอดเลย…ไมตองทนทรมาน

การเลี้ยงผักบุงกําลังเปนที่นิยมนะ (69) ……………………… …หันมาสนใจเรื่องผักบุงดีกวา คุณตองทําไดแนๆ ไมนาปลอยเวลา

ใหผานเลยไปเปลาๆ ผักบุงขยายเร็ว มันแตกยอดแตกใบทุกๆ นาที ถาเล้ียงผักบุง เวลาทุกนาทีของคุณจะมีราคานะ (69 – 70)

……………………… มันไมกระทบกระเทือนผักบุงของฉันเลย…ผักบุงมันไมสนวาน้ําใสหรือ

ขุน น้ํากระเพื่อมก็ไมทําใหมันหยุดเติบโต (71) ………………….. ฉันวาเล้ียงผักบุงดีที่สุด เราสามารถรูไดวาแตละวันจะมีรายได

เทาไหร พอกิน หรือไมพอกิน (76) (เนนโดยผูวิจัย) บทสนทนาของตัวละครทําใหผูอานทราบวา หญิงเล้ียงผักบุงเก็บผักบุงไปขายตออีกทอดหนึ่งไมไดไปนั่งขายเอง เมื่อพิจารณาลักษณะเฉพาะของผักบุงที่วา “มันเปนอาหาร

1 เรื่องสั้นนี้ ไมปรากฏเครื่องหมายอัญประกาศ “_____” กํากับบทสนทนาของตัวละคร

Page 22: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

125

ประจําวัน ที่คนคุนเคยมานาน ใครๆ ก็รูจัก” (66) ประกอบกับคําพูดของคนตกเบ็ดที่วา “….เล้ียงผักบุงนี่ดูนาสนุก มันทําใหเพลิดเพลิน เล้ียงก็งาย ไมตองปวดหัวเหมือนผักอ่ืน ไมคอยมีปญหา ผักพ้ืนๆ แตมีคนซื้ออยูเร่ือย ขายไดวันยังค่ํา” (66) อาหารประจําวันในที่นี้ อาจหมายถึง ขาว เพราะเปนผักพ้ืนๆ แตมีคนซื้ออยูเร่ือย ขายไดวันยังค่ํา ยิ่งพิจารณาคําพูดของหญิงเล้ียงผักบุงที่วา “ฉันวาเล้ียงผักบุงดีที่สุด เราสามารถรูไดวาแตละวันจะมีรายไดเทาไหร พอกินหรือไมพอกิน” (76) วิเคราะหไดวา ตัวละครใหความสําคัญกับการเลี้ยงปากทองเปนลําดับแรก อันสอดรับกับวิถีการประกอบอาชีพเกษตรกรรมที่มุงทํามาหาเลี้ยงชีพ เล้ียงปากทองของตนเองมากกวาการคํานึงถึงผลกําไร อาชีพเกษตรกรรมลงทุนนอยไดผลเปนอาหารมาเลี้ยงคนในครอบครัว ตัวละครที่เปนหญิงเล้ียงผักบุงนาจะเปนสัญลักษณของเกษตรกร หรือชาวนา การกลาวถึงการกระทําของคนดําน้ําวา “…ไมกระทบ กระเทือนผักบุงของฉันเลย…ผักบุงมันไมสนวาน้ําใสหรือขุน น้ํากระเพื่อมก็ไมทําใหมันหยุดเจริญเติบโต” (71) นาจะหมายความถึงประชาชนสวนใหญที่มิไดสนใจการคนหาความจริงในสังคมมากไปกวาทองอ่ิม สวนคนตกเบ็ดเปนตัวละครที่ “…รูปรางเขาคอนขางอวน อายุไมออนกวาหญิงคนเลี้ยงผักบุง ทาทางเขาไมใชคนแข็งแรง หวีผมเรียบ โกนหนวดเคราเกลี้ยงเกลา” (66) เมื่อหญิงเล้ียงผักบุงชักชวนใหเขาเลี้ยงผักบุงเขาปฏิเสธวา “ไมละ ผมชอบตกเบ็ดมากกวา ผมถนัดทางนี้…”(66) เมื่อเขาไดคุยกับคนถือฉมวกเขาก็กลาวถึงขอดีของการตกเบ็ดวา “…มันสะดวก เบาแรงกวา แถมยังปลอยอารมณไดดวย” (68) และ “…มาใชเบ็ดดีกวา มันไมเปลืองแรงมากนัก ใชความเยือกเย็น เทากับพักผอนไปดวย” (68 – 69) เห็นไดวา คนตกเบ็ดสนใจประกอบอาชีพที่สะดวก ไมเปลืองแรง และรูสึกวาทํางานเหมือนพักผอนหรือปลอยอารมณ คําวา “ผมถนัดทางนี้” เช่ือมโยงกับคํากลาวที่วาการตกเบ็ด “…จะตองชํานาญ ตั้งแตเลือกเหยื่อ เก่ียวเบ็ด หาบึง ดูความลึกของน้ําแลวยังตอนตวัดเบ็ดที่ปลากิน…” (68) กลาวคือ ขณะที่การตกเบ็ดเปนการทํางานที่คลายพักผอน แตเขาก็ตองมีความสามารถในรายละเอียดปลีกยอยที่จะชวยใหเขาไดรับประโยชนอยางเต็มที่ เมื่อสังเกตวิธีการของตัวละครที่ใชเหยื่อ (ลอ) ปลามาติดเบ็ด ตีความไดวาคนตกเบ็ดเปนสัญลักษณของชนชั้นกลางหรือพอคา ที่มักลงทุนเล็กนอยเพ่ือใหไดผลประโยชนคุมตนทุน และไมจํากัดลูกคา คําพูดของคนตกเบ็ดที่วา “ตกเบ็ดหาปลาก็ดี…มันไมมีวันอด ไดปลาอยูวันยังค่ํา มีแตจะมากหรือนอยเทานั้น” (76) แสดงทัศนะของคนกลุมนี้ที่ยึดติดกับตัวเลขกําไรขาดทุน ถาจะศึกษาส่ิงใดก็ตองเปนสิ่งที่เอ้ือตอผลประโยชน สวนตัวละครที่เปนคนถือฉมวกดูเหมือนเปนตัวละครที่ผูแตงจงใจสรางข้ึนเพื่อแสดงทัศนะอันเกิดจากการกระทําของคนดําน้ํา นิคมบรรยายถึงคนถือฉมวกวา “…รูปรางเขาสูง ผิวคล้ําแดด หนวดเคราคงถูกละเลยมาไมนอยกวาเจ็ดวัน ทาทางดูเปนหนุมใหญในวัยสามสิบหา

Page 23: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

126

ชวงลําแขน ลํ่าสันแข็งแรง… (67) ลักษณะทางกายภาพของตัวละครที่แข็งแรงอาจมีสวนสนับสนุนการตีความในเชิงลึกตอไป คนถือฉมวกไดกลาวถึงลักษณะเฉพาะของสิ่งที่ตนกระทําวา

…การแทงฉมวกตองมั่นใจ ตองรอใหเห็นปลาชัดๆ มันลําบาก แตก็

ไดปลาขนาดที่ตองการ (67) ……………………. …ผมไมชอบทําอะไรแบบเดาสุม เพียงแตหยอนเบ็ดลงในน้ําแลวนั่งรอ

ไมมีทางเลือกไดวาจะเอาปลาชนิด มันแลวแตวามีปลาอะไรมาติด ไมวาตัวเล็กตัวใหญก็ตองเอา จะไดหรือไมข้ึนอยูกับความบังเอิญไมใชความสามารถ (68)

…………………. แทงฉมวก คุณจะตองเขาใหมากที่สุด…ไมใชสักแตแทงเอาแทงเอา

แตจะแทงเฉพาะปลาที่เลือกแลว ผมไมสนใจพวกปลาหมอปลากระดี่ ผมจะแทงเฉพาะตัวใหญเทานั้น (68)

………………….. ผมจะไมแทงจนกวาจะแนใจ ผมไมเดาสุมแบบชุยๆ… แมจะยังไมมี

โอกาส แตผมก็สมใจ ถาแทงเหมาะๆ ตรงที่หมายสักครั้ง ไมใชเดาสุมแบบหยอนสายเบ็ด ผมไมตองการทําอะไรอยางเล่ือนลอยไมมีที่หมาย การแทงฉมวกเปนงานจริงจังและตองคอย (69)

……………………. ของผมดีกวา…แมวันน้ีผมไมมีโอกาสไดแทง แตถาไดแทงลงไป

เมื่อไหร กินไปไดหลายมื้อแน มากกวาที่พวกคุณทํามาหากินทั้งวันเสียอีก… (76) (เนนโดยผูวิจัย)

สังเกตไดวา คนถือฉมวกเลือกเปาหมายเปนสําคัญ คือ “ปลาขนาดที่ตองการ” “จะแทงเฉพาะปลาที่เลือกแลว” และ “จะแทงเฉพาะตัวใหญเทานั้น” การเนนเปาหมายเปนปจจัยที่เขาตองอดทนรอ เพ่ือใหเห็นปลากอนจะลงมือแทงปลาที่เขาตองการ นั่นหมายความวา การกระทําของเขาตองวางแผนและรอคอยผลสําเร็จ คํากลาวที่วา “แทงฉมวก คุณจะตองเขาใจใหมากที่สุด” อาจหมายถึง การทําความเขาใจเปาหมายที่ตนตองการวาอยูบริเวณใดของบึง เมื่อเปรียบเทียบอาการเมื่อยมือ และตองอดทนรอกับสิ่งที่จะไดรับก็คุมคา เพราะ “ถาไดแทงลงไปเมื่อไหร กินไปไดหลายมื้อแน มากกวาที่พวกคุณทํามาทั้งวันเสียอีก” (76) แสดงวา คนถือฉมวก

Page 24: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

127

เช่ือมั่นวาวิธีการของเขา จะชวยใหเขาไดรับผลตอบแทนมากกวาส่ิงที่หญิงเล้ียงผักบุงและคนตกเบ็ดทํามาตลอดทั้งวัน พฤติกรรมของคนถือฉมวกที่กําหนดเปาหมายเปนสําคัญ วางแผน ยอมลงแรงเพื่อใหไดมาซึ่งส่ิงที่ตองการก็วิเคราะหไดวา เขานาจะเปนสัญลักษณของกลุมคนที่มีอํานาจในสังคม เชน นักธุรกิจ พอคาใหญ หรือนักการเมือง บุคลิกของตัวละครที่ลํ่าสันแข็งแรงอาจหมายถึงความมั่นคงทางอํานาจก็เปนได ผูแตงบรรยายคนดําน้ําไววา “ชายหนุมทาทางทะมัดทะแมง หนวดเคราและผมยาวรุงรัง เดินผานทุงหญาตรงมา ทาทางของเขาเชื่องชา ครุนคิด ไมรีบรอน เขาเดินเอื่อยจนถึงริมบึง…จมหายลงไปยังพ้ืนน้ํา สักครู เขาก็โผลข้ึนมาแลวจมลงไปอีก ผลุบโผลอยูอยางนั้นเหมือนไมรูจักเหนื่อย…” (70) คํากลาวของตัวละครที่ เปนหญิงเล้ียงผักบุงที่วา “ฉันวาคงไมใชนักเรียนมหาวิทยาลัย…ดูทาทางเขามีแววฉลาดนี่” (71) แสดงวานักศึกษาในสายตาของคนกลุมอื่นเปนพวกไรปญญา หรือ “ฉันสงสัยวา เขารูอะไรจริงๆ บาง นอกจากเด็กชอบอวดธรรมดา” (71) พาดพิงถึงลักษณะอยางหนึ่งของนักศึกษาที่มักแสดงวาตนมีความรอบรูเปนผูนําทางความคิด นาสนใจวา พฤติกรรมของคนดําน้ําซึ่งเปนสัญลักษณของคนรุนใหมกระทบกิจกรรมของคนตกเบด็ คนถือฉมวก แตไมกระทบหญิงเล้ียงผักบุง ซึ่งเปนสัญลักษณแทนเกษตรกร นั่นแสดงวาการแสวงหาของคนรุนใหมไมเปนปญหาเทาใดนักตอชนชั้นลาง ดังบทสนทนาที่วา

ชางไมมีมารยาทเลย ทําใหผมเสียสมาธิ คิดวามันเปนใครนะ อยูๆ ถึงไดมาทําใหน้ําขุน เปาหมายผมเลยพราไปหมด

มันกวนปลาที่จะมากินเบ็ดผมดวย คนตกเบ็ดพูด มาทีหลังแตไมรูจักเกรงใจ คนที่เขาอยูมากอน ถือดีจริงๆ

มันไมกระทบกระเทือนผักบุงของฉันเลย หญิงเล้ียงผักบุงพูดอยางภูมิใจ

ผักบุงมันไมสนวาน้ําจะใสหรือขุน น้ํากระเพ่ือมก็ไมทําใหมันหยุดเติบโต (71)

วิเคราะหไดวา การแสวงหาคําตอบใหแกชีวิตของนักศึกษา อันเปนกิจกรรมที่มุงแสวงหาความจริงที่ไมมีผูสนใจมากอน นอกจากถูกมองวาเปนสิ่งที่กระทบตอผลประโยชนของพอคา นักธุรกิจหรือผูมีอํานาจแลว ยังตีความเปนการแสวงหาทางอุดมการณ ถึงแมยังไมกระจางชัดวานักศึกษาหรือคนรุนใหมจะคนพบสิ่งใด ก็สรางความเคลือบแคลงแกคนเหลานี้ การตั้งคําถามและขอสงสัยของคนถือฉมวกชวนใหผูอานครุนคิดถึงกิจกรรมแสวงหาของนักศึกษาในยุคดังกลาวไดไมยาก

Page 25: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

128

มันอาจจะคนหาอะไรที่มีคากวานั้น คนถือฉมวกออกความเห็นตอ ………….. แตดูทาทางมนัไมไดมาเอาผักบุงหรือปลาเลยนี…่ ...……….. …มันพูดเหมอืนกับวามันไมไดดําน้ํา มนัคงกําลังทําอะไรสักอยางที่

ไมใชดาํน้าํ มนัหาอะไรของมันนะ …………. แตทาทางมันทะมัดทะแมง…ที่จริงการดําน้ําก็เปนศิลปะที่ตองใช

ความสามารถเหมือนกัน อยางนอยตองมคีวามขยัน …………. คุณลองสังเกตดูซิ…ทาทางของมันมีอะไรบางอยาง ที่ไมเหมือนคน

ดําน้ํา นาสนใจ เหมือนกันนะ มันดําไดคลองแคลวเหมือนกับวาไมไดดํา …………… มันฉลาด…มันดําใหเห็นเหมือนไมไดดํา ดูเปนการเปนงานจริงจัง

คลายจะหวังอะไรของมันสักอยาง มันทําเหมือนกับกําลังจะคนหาอะไรบางอยางใหพบ…ความจริงใตบึง

นั่นมันมืดและอาจจะไมมีอะไรอยูเลย แตเจานี่มันทําเหมือนกับรูวามีบางสิ่งบางอยางอยูในนั้น

…………… มันตองมีอะไรบางอยางที่ตรงนั้นแนๆ …ตองมีของมีคาสักอยาง ที่

มันกําลังจะหาใหพบ ……………. อายที่มันตองการ อาจจะหาดวยกลองไมได มันถึงตองดําน้ําเอา…คง

ไมงาย เหมือนที่คิด… …………… แตเจานี่ทาทางเอาเรื่อง…คุณลองคิดดูซิ มันอาจพบทองเขาสักกอน

หรือเพชร หรือ อะไรสักอยางที่มีคา …………… คงจะตองมีอะไรสักอยาง… …………….

Page 26: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

129

แตมันอาจจะหาของใหญโต…เพียงแตควานใหพบเทานัน้มันก็จะ- (72 – 76) (เนนโดยผูวิจยั)

คําพูดของคนถือฉมวกที่ย้ําบอยครั้งวา “มีอะไรสักอยาง” “ของมีคาสักอยาง” “มีบางสิ่งบางอยาง” แสดงความคาดคะเนตอส่ิงที่คนดําน้ําคนหา ตีความวาเปนสัญลักษณแทนกลุมนักศึกษา ปญญาชน กิจกรรมของคนกลุมนี้อาจเปนการแสวงหาคําตอบของชีวิต โดยดําดิ่งลึกลงไป ซึ่งเปนสิ่งที่คนภายนอกไมเขาใจ สวนหนึ่งอาจหมายถึง การหาคําตอบใหกับชีวิต ดังท่ีไดศึกษาไวในบริบททางสังคมและวัฒนธรรมแลว คนหนุมสาวเริ่มตอตานบรรทัดฐานที่สังคมยึดถือเพราะเห็นวาขัดแยงกับความเปนจริง พวกเขาจึงพยายามเรียนรูปญหาและหาคําตอบใหมดวยตัวเอง การแสดงสํานึกรับผิดชอบตอสังคมที่ปรากฏในเรื่องส้ันของนิคมนี้เปนการบงช้ีลักษณะรวมของคนรุนใหมที่เนนบทบาทคนหนุมสาวตอสังคม รวมถึงเตือนสติการยึดอุดมการณที่สุดโตงอยางประนีประนอมและแยบคาย การกระตุนความคิดคนหนุมสาวดวยวรรณกรรมจําเปนตองอาศัยความพินิจพิเคราะห การตีความ คนหาความหมายที่ทาทายผูอาน การแสดงความหวังวาจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของสังคมไปในทางที่ดี สะทอนความหวังในสัญชาตญาณดานบวกในตัวมนุษย

2. สัญลักษณของนิคม รายยวา ในเร่ืองสั้นยุคศัตรทูี่ล่ืนไหล เร่ืองส้ันของนิคมในยุคนี้เนนความคิดหลักเก่ียวกับความเปนความตายของคนในสังคมที่รุนแรงขึ้นแตพบจนชินและกวางขวาง ความพะวงกับการตอสูแขงขันทางเศรษฐกิจก็ทําใหเรามิทันไดสังเกตเห็นความเศราหมอง ความตาย ความสูญเสียที่เกิดขึ้นอยางเงียบเชียบ จุดเดนของงานยุคนี้คือความเขมขนของปญหา ผูวิจัยจะใชวิเคราะหสัญลักษณในชวงนี้เปน 3 กลุม คือ สัญลักษณในฉาก สัญลักษณในพฤติกรรม และสัญลักษณในวาทะ 2.1 สัญลักษณในฉาก ใน “บายของหมอกควัน” ฉากที่กลาวถึงชะตากรรมของแพะเชื่อมโยงสอดรอยกับการดํารงอยูของคนที่มีทางเลือกจํากัด ดังนี้

พวกเขา...ตางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางฝาแสงแดดรอนระอุ นอกจากเด็กชายตัวเล็กๆ คนเดียวที่ราเริง แกกําลังสาละวนอยูกับการไลตามแพะที่วิ่งวนรอบหลักผูกริมลําธาร มันสงเสียงนุมนวลกระตุกเปนชวง

Page 27: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

130

ส้ันๆ ใบหูตั้งชัน ไมยอมใหเด็กนอยเขาใกล มันกระโดดขามกิ่งไมอยางปราดเปรียว ลําตัวสีขาวมีจุดดําแตมอยูที่ใบหูและแผนหลัง น้ําเสียงกังวาน ไมมีทาทีคุกคาม (105)

และ

ชายคนหนึ่งกําลังหมุนไมเสียบไปมาเพื่อใหตัวแพะที่ยางถูกความรอน เทาๆ กัน ทองที่ผาแหวะกวาง ขนสีขาวดําถูกขูดออกจนหมด เหลือแตหนังซึ่งขณะนี้ไหมเกรียม ที่ขางกระทะน้ําเดือดมีเครื่องในและขนขยุกขยุยกองอยู (123)

เห็นไดวา กอนที่กลุมชาวบานจะเดินทางขึ้นเขา แพะยังมีชีวิตและวิ่งวนหลักหนีเด็กชายที่ไลตาม ลักษณะของแพะที่วา “...สงเสียงนุมนวลกระตุกเปนชวงสั้นๆ ใบหูตั้งชัน...ปราดเปรียว...น้ําเสียงกังวานไมมีทาทีคุกคาม” (105) เปนสัญลักษณของชีวิตผูบริสุทธิ์ที่ตองตกเปนเหยื่อ แพะในที่นี้จึงอาจหมายถึงประชาชนที่ดําเนินชีวิตตามปกติ แตไมรูชะตากรรมตัวเองวากําลังจะถูกทําราย หลังจากที่กลุมชาวบานนําศพญาติลงมาจากเขาแพะตัวดังกลาวก็ถูกฆาและมีสภาพตางจากตอนแรกคือ “...ทองที่ผาแหวะกวาง ขนสีขาวดําถูกขูดออกจนหมด เหลือแตหนัง ซึ่งขณะนี้ไหมเกรียม ที่ขางกระทะน้ําเดือดมีเครื่องในและขนขยุกขยุยกองอยู” (123) การบรรยายฉากนี้ไมตางจากสภาพของคนทั้ง 4 ที่ถูกฆาบนภูเขาแลวญาติๆ ชวยกันเผาไฟแลวนํากระดูกลงมา ชะตากรรมแพะเทียบเคียงกับชะตากรรมของคนจนผูบริสุทธิ์ ไมมีความผิดใดๆ ยังถูกทํารายไดโดยไมรูสาเหตุ คนที่ไมมีทางสูจึงตองยอมจํานนตออํานาจที่สงเสริมดวยระบบที่ไมเปนธรรม ใน “เปนลม” ฉากที่รถแทรกเตอรเขาบุกโคนปาโลงเตียนเทียบเคียงไดกับคนที่มีอํานาจในสังคมคุกคามทํารายของคนที่มีทางเลือกนอย ดังนี้

...มีแทรกเตอรสีเหลืองจอดอยูบนลานที่เกล่ียเรียบ ที่รอบๆ รายลอมดวยพงออชูเกสรพริ้วสลอน ลําตนเล็กออนและเปราะบาง แซมเปนหยอมๆ ปะปนกับหญาคาและปาแกหนาทึบ ตนไมเล็กใหญ มีเถาวัลยพันเกี่ยวยุงเหยิงเบียดเสียดจนยากที่จะเดินฝาเขาไป ก่ิงกานและใบเขียวแผขยายปกคลุมพื้นดินปดซอนลําธารหลายสายไวมิดชิด ภายใตเงารมชื้นที่แดดสองไมถึง (127)

Page 28: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

131

และ

บาวกินขาวจนหมดจาน เขาลุกยืน แลวเคลื่อนแทรกเตอรออกไป ดันตนไมเปดปาตอจากที่คางไว จอมเดินตามดูหางๆ เสียงเคร่ืองยนตกังวาน เสียงไมใหญโคนลม ซุมไมไผรากถอนระเนระนาด จอมปลวกเรียบเสมอดิน ปาทึบคอยๆ ราบโลง รมเงาสูญสลาย สายหวยถูกดินทะลายลงกลบ แสงอาทิตยสองกระทบพื้น (130)

ในฉากแรกที่รถแทร็กเตอรจอดอยู “บนลานที่เกล่ียเรียบ” ทามกลาง “พงออ...ลําตนเล็กออนและเปราะบาง...” มีภาพที่ขัดกันระหวางความแข็งแกรงกับความเปราะบางออนไหว แตพอรถแทรกเตอรทํางาน “…เสียงเครื่องยนตกังวาน เสียงไมใหญโคนลม ซุมไมไผรากถอนระเนระนาด จอมปลวกเรียบเสมอดิน ปาทึบคอยๆ ราบโลง รมเงาสูญสลาย สายหวยถูกดินทะลายลงกลบ แสงอาทิตยสองกระทบพ้ืน” (130) สภาพของปาที่มีความสมบูรณกลาย เปนที่เตียนโลงอยางรวดเร็ว แทร็กเตอรจึงเปนสัญลักษณที่กระตุนการตีความ แทร็กเตอรเปนประดิษฐกรรมทางเทคโนโลยีที่มีอํานาจทําลายธรรมชาติเพ่ือประโยชนทางธุรกิจ ทั้งเมื่อเทียบกับตนออดวยแลวยิ่งเห็นความแตกตางอยางส้ินเชิง คลายกับคนเล็กคนนอยในสังคมที่ถูกกลุมคนที่มีอํานาจใชกําลังเขาคุกคามเบียดเบียนจนตองยอมศิโรราบเพราะไมมีกําลังใดจะตอกรได ใน “อุหมัง” ฉากที่คนไขชายชาวประมงเลาถึงเกาะในฝนใหตัวเอกฟงที่วา “...ที่นั่นน้ําใสสะอาด มีปะการังสีสวยมากมาย มันเปนเกาะไกลฝงที่สุดในแถบนี้...ที่นั่นสวยมาก เงียบสงบ ไมมีคนอยู มีหอยตีนชางมาก บางทีปลาโลมาเปนฝูงหลบลมเขามาจากขางนอก (142) เปนลักษณะสังคมในอุดมคติที่สุขสงบ การเนนวา “ที่นั่นสวยมาก เงียบสงบ ไมมีคนอยู...” นาจะส่ือความคิดถึงการหลบหลีกจากสังคมวุนวาย ที่แกงแยงแขงขันไปใหธรรมชาติกลอมเกลาจิตใจใหแข็งแกรง จนกลับมาตอสูกับปญหาที่ตองประสบในชีวิตประจําวันไดอีก ใน “สาบเสือ” ฉากที่เนนมากคือฉากภูเขาสูงซึ่งประกอบดวยปา หุบเหว และความยากลําบาก ภูเขาสูงเปนสัญลักษณของเปาหมายในอุดมคติ แตกวาจะข้ึนไปถึงได ตองอาศัยความวิริยะบากบั่น การตอสูกับตัวเองไมนอยกวาการตอสูภายนอกทางกายภาพ เมื่อข้ึนสูอุดมคติ คนเราอาจจะไดเห็นกวางไกลกวาเดิม หรือกลาวไดวาอุดมคติที่พึงไปใหถึงคือสภาวะแหงปญญา สังเกตไดวา เมื่อตัวละครตอสูกันเพราะความโกรธ ทั้งๆ ที่เปนเพื่อนที่สนิทสนมกันอยู มีคําบรรยายวามีกล่ินสาบเสือรุนแรงขึ้น สาบเสือที่เปนชื่อพันธุไมจึงเปนคําหลายนัย ในที่นี้นาจะหมายถึงสัญชาตญาณสัตวปาที่ซอนอยูในตัวคนทุกคน กลาวไดวา อุปสรรคของการบรรลุอุดมคติ คือ ความไมสามารถกําราบสัญชาตญาณสัตวปาในตัวของมนุษย หรือเรียกอีกอยางหนึ่งวากิเลส โดยเฉพาะโทสะ ขณะที่ตอสูกันทั้งเถินและธนาก็ตกลงไปติดแรวดักเสือของ

Page 29: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

132

ชาวบาน และผูใหญบานบอกชาวบานที่มาถามขาววา ดักเสือไดจริง “ตั้งสองตัว” นั่นแสดงวา คนพรอมจะเปนสัตวปาไดเสมอ หรือตัวตนที่แทจริงของคนก็คือสัตวปานั่นเอง 2.2 สัญลักษณในพฤติกรรม ใน “อุหมัง” สํารวยมีพฤติกรรมมุงแสวงหาวัตถุ เพ่ือหาท่ีปองกันภัย เขาไมกลาที่จะไปเที่ยวเพราะพะวงเรื่องงาน ทั้งนี้เพราะงานเปนสิ่งเดียวที่จะทําใหเขาไดครอบครองรถ รถเปนสัญลักษณของ “เปลือก” เหมือนที่อุหมังรักเปลือกกวาชีวิต สํารวยยึดถือเปลือกสําคัญกวาชีวิต เขาไมกลาขัดใจนายเพราะไมอยากตกงาน เขาเปนคนสํารวยเหมือนชื่อ ดังเห็นไดวา เขายังเปนคนออนแอ ไมกลาจะเดินทางไปในที่ที่แปลกไปจากเดิมเพราะไมกลาเผชิญการแกปญหาดวยตนเอง ดังเห็นวาพอตัวละครเอกชวนไปทะเล

“…เขารับปากที่จะไปเที่ยวกับเธอดวย แตก็ไมวายแสดงความกังวล มีแมงกะพรุนไฟไหม เขาถาม ร้ินกับยุงชุมไหม ผมแพลมทะเล มีฉลามไหม น้ําลึกไหม คลื่นแรงรึเปลา เรือจะไมลมหรือ แลวเราจะกินอะไร มีน้ําจืดอาบไหม คุณเอาครีมกันแดดไปดวยนะ ผมกลัวเปนมะเร็งผิวหนัง (149)

พฤติกรรมของสํารวยจึงไมตางกับลักษณะของอุหมังที่ “…รักเปลือกมาก...ยอมตายมากกวาที่จะทิ้งเปลือก” (147) 2.3 สัญลักษณในวาทะ ใน “บายของหมอกควัน” บทสนทนาระหวางซิ้วกับโลดเกี่ยวกับอาการตามัวกระตุนใหตีความเชิงสัญลักษณ ดังนี้

“ทําไมมันมัวไปหมดเลย ตาฉนัคงเปนอะไรไปแลว” “หมอกควันมันทึบ” โลดพูด “ตาของแกไมเปนอะไรหรอก ฉันก็เห็น

มันมัวเหมือนกัน” ....................... “ตาฉันมัวจริงๆ ดวย” ซิ้วเอยเบาๆ เหมือนรําพึงกับตัวเอง “มืดไป

หมดเลย” “มันก็เปนอยางนี้แหละ” โลดบอก “ขาลงคงจะดีขึ้น”

Page 30: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

133

“พวกเขาขึ้นมาเสียไกลนะ” ซิ้วเสียงเศรา “ไมนามาตายถึงบนนี้เลย” “แกอยาเพ่ิงคิดใหมากไป” โลดปลอบ “เรายังไมเห็น อาจไมใชเขา

ก็ได” “ฉันก็คิดอยางนั้น” ใบหนาซิ้วแจมใสขึ้น “ตอนนี้ตาฉันคอยยังช่ัว

แลวละ ไมมืดเหมือนเมื่อก้ี” (114 – 115) และ

“ทําไมมันมัวไปหมดเลย” ซิ้วขยี้ตา “ขาขึ้นยังพอเห็นลางๆ ตอนน้ีมืดกวาน้ันอีก”

“คงเพราะหมอกควัน” โลดบอก “ฉันก็รูสึกอยางนั้นเหมือนกัน” “ไมใชควันหรอก” ซิ้วมีสีหนาหมองคล้ํา “ฉันแทบมองไมเห็นทาง

ขางหนาเลย มันทึบขึ้นทุกที” (121 – 122) เนนโดยผูวิจัย หากพิจารณา “หมอกควันสีเทาหมน ลอยตัวแทรกอยูตามพุมไมและบนผิวน้ํา จนเห็นเปนภาพพรามัว...” (106) ภาพหมอก “สีเทาหมน” ที่ใหความรูสึกเศราหมองและ หอเห่ียวใจจึงนาจะเปนความทุกขหรือความสิ้นหวัง ส่ิงที่นาสนใจคืออาการตามัวของซิ้วอาจเกิดจากหมอกควันตามความเห็นของโลด แตผูอานจะสังเกตเห็นวาเมื่อเดินผานปาทึบ อาการก็กําเริบอีก จนกระทั่งโลดปลอบซิ้ววาศพบนเขาอาจไมใชญาติของตน ซิ้วก็มีใบหนาแจมใสข้ึนและ “ตอนนี้ตาฉันคอยยังช่ัวแลวละ ไมมืดเหมือนเมื่อก้ี” (115) เราอาจวิเคราะหไดวา อาการของซิ้วเกิดกลัววาศพบนเขาจะเปนสามีของตนเลยเปนทุกข ความคาดหวังวา “ขาลงจะดีข้ึน” ชวยใหซิ้วอาการดีข้ึน แตหลังจากที่กลุมชาวบานนําศพของคนทั้งส่ีลงมาจากเขา ซิ้วกลับมีอาการตามัวหนักข้ึนกวาเกาดังคําพูดวา “...ขาขึ้นยังพอเห็นลางๆ ตอนนี้มืดกวา นั้นอีก” และ “ไมใชควันหรอก...ฉันแทบมองไมเห็นทางขางหนาเลย มันทึบขึ้นทุกที” (121 – 122) คําพูดของซิ้วสื่อความผูกโยงกับชะตากรรมของผูเสียชีวิตทั้งส่ี หลังจากนั้น ตํารวจยังริบแรของชาวบานไปอีก คําบรรยายในตอนจบเรื่องที่วา “...พวกเขายืนเกๆ กังๆ อยูริมถนนทามกลางหมอกควันยามบายที่บดบังเสนทางขางหนาจนมืดมิด” (125) (เนนโดยผูวิจัย) แสดงอาการสิ้นหวังของตัวละครที่ประสบปญหารอบดานมิอาจฝากชีวิตไวกับคนกลุมใดไดเลย นอกจากนี้ การแทรกบทบาทของเด็กชายลูกของซิ้วที่ตัดสินสิ่งรอบตัวอยางไรเดียงสาก็สามารถตีความเชิงสัญลักษณไดดังนี้

Page 31: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

134

เด็กนอยสงเสียงรอง พยายามจะดิ้นใหหลุดจากออมกอดของแม “อยูเฉยๆ นะ” ซิ้วดุ แตลูกไมฟงกลับแกวงแขนไปมา “จะเอาแพะ” แกพูดซ้ําซากและเสียงดังมากขึ้น

“จะเอาไปทําไมนะ” ซิ้วดุ “แพะมันมีอะไร” “แพะ” เด็กนอยพูด “มันโดดได มันรองได” แกตะกายพยายามจะ

ไถลลงจากอกแม (108)

และ ซิ้วตรงเขาอุมลูกที่กําลังเลนอยูกับแพะ แกไมยอม ซิ้วจึงขู “เดี๋ยว

ตํารวจจับนะ ไมกลัวหรือ เขาอยูนั่นเห็นไหม” เด็กนอยหันมองไปทางตํารวจ “ไมใช” แกพูด “ตํารวจจริงๆ” ซิ้วพูด “ทําไมไมใชละ” “ไมมีเส้ือตํารวจ ไมมีหมวกตํารวจ” (113)

และ ถึงกระทอมยายหวิน เด็กนอยวิ่งออกมายืนคอยขางจอมปลวก แก

ตะโกนถามแมซ้ําๆ ซากๆ “พออยูไหน พออยูไหน” เมื่อแมไมตอบ แกจึงหันไปถามคนอื่นๆ แตไมมีใครสนใจ รอหีม

กําลังเหนื่อย...เมื่อเด็กนอยเขามาเซาซี้เสียงดัง เขาจึงช้ีที่กระสอบและพูดเสียงกระชาก “อยูนั่นไง”

เด็กนอยมองตามที่เขาช้ี หันกลับมามองหนาผูพูด หันไปมองที่กระสอบ แลวจึงตะโกนเสียงดังใสรอหีม “ไมใช”

“ทําไมไมใช” “นั่นกระสอบ” “แลวไง” “ไมใชพอ” เด็กนอยลดเสียงออนลง “หายไปไหน พอหายไปที่ไหน

แลว” “ก็อยูนั่นแหละ ไมหายไปไหนหรอก” “หายไปแลว พอหายไปแลว”

Page 32: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

135

ถึงตนไทรใกลลําธาร เด็กนอยไถลตัวลงจากอกแม แลววิ่งออกไป แกมองดูจนรอบตัวแลวกลับมาถามคนโนนคนนี้ “แพะอยูไหน แพะอยูไหน”

“อยูนั่นไง” โลดพูดแลวชี้ใหดูส่ิงที่กําลังยางอยูบนกองไฟ ชายคนหนึ่งกําลังหมุนไมเสียบไปมาเพื่อใหตัวแพะที่ยางถูกความรอน

เทาๆ กัน ทองที่ผาแหวะกวาง ขนสีขาวดําถูกขูดออกจนหมด เหลือแตหนัง ซึ่งขณะนี้ไหมเกรียม ที่ขางกระทะเดือดมีเครื่องในและขนขยุกขยุยกองอยู

เด็กนอยจองมองสิ่งนั้น และหันมาที่โลด “ไหนแพะ” แกถาม “นั่นแหละ” “ไมใช มนัไมมีตา ไมรอง ไมกระโดด” “ก็ตัวเดียวกันนั่นแหละ” “ไมใชแพะ แพะหายไปแลว” เด็กนอยพดู “จะหายยังไง ตัวนัน้แหละ ใชแลวละ” “ไมใช ไมใช” แกแผดเสียงกอง แตไมมใีครใสใจ ....................... “แพะไมมีแลว” เด็กนอยพูดเบาๆ คลายพึมพํากับตัวเองอยูในออม

แขนของแม... (122 - 124) คําพูดของเด็กชายเปนสัญลักษณที่แสดงความรับรูอันลึกซึ้ง ซึ่งยังไมไดถูกการปรุงแตงทางวัฒนธรรมทําลายไป ถาแพะจะเปนแพะมันตองมีชีวิต ส่ิงที่เขาเห็น ไมใชแพะ เพราะมันไมมีตา ไมรอง ไมกระโดด มันก็คือซากเทานั้น เด็กจึงไมยอมรับศพในกระสอบวาเปนพอของตน สวนที่วา ไมใช ตํารวจ เพราะไมมีเส้ือตํารวจ ไมมีหมวกตํารวจ วาทะของเด็กนอยอยูในเหตุการณที่ตํารวจซึ่งถูกตามมาชันสูตรศพขูตะคอกพวกชาวบาน ขณะบนรอน ปลดกระดุมเสื้อและถอดหมวกออก ก็นาคิดวา ผูสวมใสเครื่องแบบคือผูมีวินัย และซื่อตรงตออาชีพจึงจะสมศักดิ์ศรี การสูญเสียจิตวิญญาณตํารวจจึงแสดงออกดวยสัญลักษณในวาทะดังกลาว ขณะเดียวกันคําพูดซ้ําๆ ในตอนทายเรื่องที่วา “แพะหายไป แพะไมมี” เมื่อเช่ือมโยงกับการวิเคราะหฉากชะตากรรมของแพะและผูตาย ผูอานก็พบวา แพะและพอของเด็กกับพวกเปนสัญลักษณชีวิตอันงดงามตามลักษณะธรรมชาติ มิใชชีวิตที่เกิดมาเพื่อเปนเหยื่อของความชั่วรายคือความโลภและความปาเถ่ือน

Page 33: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

136

วาทะที่เยาะหยันคาของชีวิตอยางเจ็บแสบก็คือ “เปนลม” ซึ่งเปนชื่อของเรื่องและเปนคําพูดที่เถาแกบอกพอของจอมใหบอกกับทางอําเภอ เปนลมเปนความเท็จเพราะจอมถูกแทร็คเตอรทับตาย แตไมมีใครอยากพูดความจริง ชีวิตที่เปนลม คือ ชีวิตที่ไรคาดังอากาศธาตุ สังคมที่ใชวัตถุเปนตัวแทนคุณคา หรือความสําเร็จ มักละเลยการคนหาคุณคาภายใน นิคมใชสัญลักษณ คือ อุหมัง เทียบเคียงกับมนุษยที่แสวงหาเปลือกมาเปนที่หลบภัยและไมกลาเผชิญโลกภายนอกดวยตนเอง ธรรมชาติและนิสัยของอุหมังปรากฏในคําบรรยายและ บทสนทนาของตัวละครหญิงชรากับกลุมหญิงสาววา

...ในเปลือกหอยทุกอันลวนมีปูเสฉวนอยูขางใน มันยืดขาตะกุยตะกาย พอรูสึกถูกรบกวนมันก็ใชกามอันใหญปดปากหอยไวมิดชิด

…………………. “ขโมยเปลือกหอย” …………………. “บางทีหอยยังไมตาย มนักฆ็ากินเนื้อ แลวชิงเปลือก” …………………. ...ขณะดูอุหมังที่ซอนตัวอยูในเปลือกสวยๆ บางตัวหลบนิ่งในเปลือก

หุบกามแข็งใหญปดชองแทนประตูไวมิดชิด และปลอดภัยอยูในเปลือก บางตัวยืดกามและขาออกมา พยายามตะกายดิน เดินลากเปลือกที่หอตัวมันไปบนพื้นทราย เพ่ือนคนหนึ่งพยายามดึงมันออกมา แตมันหดตัวกลับเขาขางใน และปดประตูแนน อีกคนนึกสนุกเอาไฟลนเปลือกเพ่ือแกลงมันเลน แตมันก็ไมยอมออก

…………………. “มันรักเปลือกมาก” หญิงชราพูด “ยอมตายมากกวาที่จะทิ้งเปลือก” “ดูตัวโตนั่นซิ มันชูกามเต็มที่เลย นั่น มนัรังแกตัวอื่นดวย” “เปลือกใหญจงั ไมนาลากไหว” “มันคงหนักมากนะ” …………………. “มันชอบสวยงามดวยนะ” คนหนึ่งพูด “ดูซิ เปลือกหอยที่มันอยูมีแต

สวยๆแปลกๆ ทั้งนั้น มันคงจะแขงขันเอามาอวดกัน” “บางตัวก็ไมสวย” หญิงชราพูด “ผุๆ พังๆ แตพอเจอเปลือกสวยที่

วาง มันจะ รีบเปลี่ยนทันที”

Page 34: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

137

“…ดูซิ ตัวมนันิ่มยังกะหนอน” “ถาไมมีเปลือก มันคงถูกปลากินหมด” ใช ถูกปลากินหมด เธอคิด เพ่ือนเธอพูดถูกแลว แมกามจะแข็งแรง

แตตัวมันออนแอเกินไป มันไมกลาออกมานอกเปลือกหรอก ตองซอนตัวอยูขางในตลอดเวลา (145 – 148)

อุหมังมีลําตัวนิ่ม กามใหญ แตกามของมันมิอาจชวยใหมันรอดพนจากปลาได มันจึงตองหาเปลือกหอยมาหุมตัวไว นี่คือวิธีการเอาตัวรอดในระบบธรรมชาติที่สัตวใหญกินสัตวเล็ก เมื่อมันถูกรบกวนก็จะเอากามปดเปลือกหอยไว พอเจอเปลือกใหมก็รีบเปลี่ยน บางครั้งอุหมังก็ทําราย ฆา (หอย) กินเนื้อ แลวชิงเปลือก หรืออุหมังตัวใหญรังแกตัวอื่น นอกจากนี้ มันมีนิสัยรักเปลือกมากถึงขนาดลุมหลง แมถูกดึงหรือถูกความรอนก็ไมยอมออกจากเปลือก เห็นไดวา นิคมใหตัวละครหญิงชราซึ่งดํารงชีวิตแถบชายทะเลใหรายละเอียดของอุหมังจากการสังเกต เพ่ือเพ่ิมความสมจริงของเนื้อเร่ือง

พฤติกรรมการยึดติดเปลือกของอุหมังกระตุนความคดิของตัวละครเอกดังนี ้

…เธอรูวา ตรงปลายหางของมันมีครีบแข็งงอเปนตะขอสําหรับเกี่ยวเปลือกหอยเพื่อยึดตัวมันไว มันจะไมยอมคลายตะขอ แมวามันจะถูกดึงจนขาดก็ตาม

ชางรักเปลือกจริงๆ …จะมีอะไรอื่นเหมือนอุหมังอีกไหมนะ มันเที่ยวว่ิงหาเปลือกมาหอรางแลวยึดมันไวแนน มีความพอใจและมั่นใจวา ในเปลือกนั้นเปนที่ที่มีความสุขและปลอดภัยที่สุด (150) (เนนโดยผูวิจัย)

ขอสังเกตและคําถามของตัวละครขางตนเปนความตั้งใจของผูแตง ที่กระตุนใหผูอานขบคิดและเปรียบเทียบวา “จะมีอะไรอื่นเหมือนอุหมังอีกไหมนะ มันเที่ยววิ่งหาเปลือกมาหอรางแลวยึดมันไวแนน มีความพอใจและมั่นใจวา ในเปลือกนั้นเปนที่ที่มีความสุขและปลอดภัยที่สุด” ภาพชีวิตของตัวละครที่มีลักษณะรวม คือ เพ่ือนผูหญิง เพ่ือนชายของตัวละครเอก และอุหมัง ตัดกับภาพของคนไขชายชาวประมงที่ดูเปนอิสระ แสดงใหเห็นวา ชีวิตที่อยูอยางพอเพียง สมถะ ไมแสวงหาจนเกินตัว เปนสิ่งที่นาพิสมัยเพียงใด

สวนสัญลักษณในวาทะของ “สาบเสือ” ปรากฏในคําบรรยายและบทสนทนาระหวางธนากับชาวบานที่กลาวถึงการจับเสือมาปลอยในวันเปดโรงงานสกัดน้ํามันปาลม ดังนี้

Page 35: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

138

ตอนนั้นชาวบานลือกันวาพบรอยเสือมากินน้ําในหวย และกลับขึ้นไปอยูบนเขาธนาจึงบอกวา - - นาสนใจ เราจะขึ้นไปดู แตเสือมันก็อยูบนนั้นดวยนะ- - ชวงนั้นโครงการสรางโรงงานสกัดน้ํามันปาลมไดรับการอนุมัติพอดี เงินทุนสวนใหญมาจากฮองกงและมาเลซีย เมื่อการกอสรางเสร็จเรียบรอย มีการตกลงกันวาจะทําพิธีเปด ผูถือหุนทั้งหลายจะมารวมทําบุญกันในวันนั้น จะมีการปลอยนกและปลอยปลา ผูถือหุนบางคนบอกวา - - นาจะปลอยสัตวใหญบางนะ - -

- -อะไรละ?- - - -อยางวัวหรือควาย - - - - ธนานึกถึงเร่ืองที่ชาวบานลือกัน จึงพูดเลนๆ วา - - เอาเสือ

ไหม? - - - - อะไรนะ - - - - เสือ เสือโครง - - ทุกคนในหองประชุมหัวเราะ และตอบอยางสนุก - - เอา เอาซิ- - ธนามาฉุกคิดทีหลังวาไมนาพูดทะลึ่งเร่ืองเสือเลย เขาไปถามเรื่องนี้กับ

ชาวบานขางสวนปาลม บางคนบอกวา เคยเห็นมีเสืออยูบนเขา บางคนบอกวาไมมีหรอก เมื่อสามสิบปกอนนี้อาจจะมี แตเดี๋ยวนี้ไมเคยเห็น แตผูใหญบานเชื่อวามี เขาเคยดักสัตวแถวนั้นบอย ไดกระจง, เกง, เมน, อีเห็น, แตไมเคยไดเสือ

......................... ธนามอบเงินใหผูใหญบานเพื่อทําแรวดักเสือที่เชิงเขา ชาวบานมา

ฟงอยูก็ถามวา จะดักมาทําไม - - ดักมาปลอย - - ธนาตอบ - - อาว ถาจะปลอยแลว ทําไมตองจับมันมาดวย - - - - แลวกัน ถาไมจับมา แลวจะปลอยมันไดยังไง?- - - - ไมตองจับ ก็ไมตองปลอย - - - - ก็จะปลอย ก็ตองจับ พวกคุณน่ีไมเขาใจเลย - - (151 – 152)

(เนนโดยผูวิจัย)

คําบรรยายและคําพูดของตัวละครขางตน แสดงความตองการของธนาคือความโลภ กลาวคือ ธนาอยากไดช่ือเสียงที่จับเสือมาปลอยแทนการปลอยสัตวเล็กๆ เขาจึงยอมจางผูใหญบานทําแรวดักเสือ คําพูดของธนาที่วา “ดักมาปลอย” สรางขอกังขาแกชาวบานที่ไมเขาใจวา “ถาจะปลอยแลว ทําไมตองจับมันมาดวย” วาทะจับ ปลอยดังกลาวนี้ก็ฟองวาธนาเปน

Page 36: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

139

คนหลงผิดที่คิดวา “ถาไมจับมา แลวจะปลอยมันไดยังไง” ในความจริง การปลอยคือการไมจับอยูแลว มิใชตองจับกอนจึงจะปลอยได ดูเหมือนความหลงของตัวละครนี้ยังปรากฏในตอนที่เขาติดตามไกฟาหนาเขียว เพ่ือชดเชยความสูญเสียในวัยเด็ก โดยคาดหวังวาจะนําไกฟามาขังกรงซึ่งแสดงอํานาจเหนือผูออนแอ ธนาอาจเปนตัวแทนของคนที่หลงในอํานาจ

สวนการที่เถินกลาวอางถึงไมกฤษณาที่มีราคาแพง และสมควายซึ่งกําลังไดรับความนิยม เพ่ือชักจูงใหธนาข้ึนยอดเขา เปนวิธีการโนมนาวที่สอดรับกับวิธีคิดของธนา ซึ่งคํานึงถึงผลตอบแทนเปนสําคัญ กรอบความคิดของธนาที่ตองการสิ่งที่ “...เห็นไดและกินได...ถาแลกเปนเงินไดก็ยิ่งดีใหญ” (151) เปนสวนหนึ่งของความโลภ

ผูเลาเรื่องและมุมมอง ในการศึกษาวรรณกรรม มุมมองเปนองคประกอบสําคัญ ที่ชวยใหผูศึกษาเขาใจการส่ือความหมายของผูประพันธ ผูศึกษาจําเปนตองพิจารณาวา “เหตุการณที่เกิดขึ้นใครเปน ผูเลาหรือวาเลาผานมุมมองของใคร...” (ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย, 2545 : 63) เพ่ือใหเห็นวานิคมใชมุมมองสื่อความคิดและอารมณอยางใด ผูวิจัยจะวิเคราะหความสัมพันธระหวางมุมมองกับเนื้อเร่ือง ทั้งมุมมองภายนอกและมุมมองภายใน1 1. การใชผูเลาเรื่องและมุมมองของนิคม รายยวา ในเร่ืองสั้นยุคแสวงหา เร่ืองส้ันของนิคมในยุคนี้ใชผูเลาเร่ืองที่ไมใชตัวละครในเรื่องทั้งหมด ความเห็นของผู เลาเ ร่ืองมักอยูในการบรรยายและมักใชมุมมองภายนอก ไดแก ในเรื่อง “ความเปล่ียนแปลง” “ตนทาง” “ปลอยนก” “คนดําน้ํา” และ “ส่ิงที่หลอนพอจะทําได” แตก็ยังมีเร่ืองที่ใชมุมมองภายใน หรือมุมมองของผูอยูในเหตุการณที่เปนบุรุษที่ 3 แทรกอยูดวย เชน “คนบนตนไม” “ฝนแลง” “เชาวันหนึ่ง” “มากับลมฝน” และ “ศึก”

1 มุมมองภายนอกหมายถึงมุมมองของผูเลาเรื่องท่ีเปนเสมือนผูสังเกตการณ สวนมุมมองภายใน คือ “การมองจากภายในของเหตุการณ” หรือ “มองผานตัวละครที่อยูในเหตุการณ” มักปรากฏเมื่อมีผูเลาเรื่องเปนบุรุษที่ 1 แตอาจอยูในการเลาแบบบุรุษที่ 3 ก็ได (ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย, 2545 : 67 – 68)

Page 37: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

140

1.1 ผูเลาเร่ืองแบบผูรูที่เนนมุมมองภายนอก ผูเลาเร่ืองซึ่งไมใชตัวละครจะบรรยายเฉพาะลักษณะภายนอก หรือเหตุการณ หรือบทสนทนา โดยที่ไมแสดงทัศนะแยงหรือสนับสนุนความคิดของตัวละคร ผูอานจึงตองตีความเอาเอง (อิราวดี ไตลังคะ, 2543 : 39) ใน “ความเปลี่ยนแปลง” ผูเลาเร่ืองบรรยายพฤติกรรมของวิทยที่ขะมักเขมนฝกนกแขงบินไกล สภาพกรงที่เขาเลี้ยงนกไว การดัดแปลงขนนกใหนก “บินไดคลองแคลวและเพิ่มความเร็ว” นั่นคือแสดงการดัดแปลงธรรมชาติเพ่ือสนองผลประโยชนของตน ขณะเดียวกันก็แสดงความทุกขทรมานของนกพิราบขาว ที่ถูกทอดทิ้งหลังพลาดรางวัลการแขงขัน ความบอบช้ําและความพิการของนกฟองความเห็นแกตัวของมนุษยที่ขาดความรับผิดชอบ โดยผูแตงใชบทสนทนาของวิทยกับเพื่อนหญิงที่ขบขันกับความพิการของนกและหมา ตอกย้ําความพิการในใจของคนที่นาประณามโดยไมตองกลาวตรงๆ การใชมุมมองภายนอก แสดงความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมจากการประคบประหงมนก และปรนเปรอมาเปนการโยนทิ้งไวในกรงที่เปดอากับสภาพของนก ลวนกระตุนใหผูอานวินิจฉัยการกระทําของตัวเอกไดดวยตนเองวาเปนสิ่งที่นารังเกียจอยางชัดเจน นอกจากนี้ยังแทรกการบรรยายของผูเลาเร่ืองถึงขาวหนังสือพิมพซึ่งพอของวิทยอานอยู ขณะที่วิทยจดจออยูกับการบินกลับมาของนก การเลาจากมุมมองภายนอกเชนนี้ เช่ือมโยงไดกับสัญลักษณที่นกพิราบสีขาวซึ่งเปนเครื่องหมายของสันติภาพถูกทําลายดวยความโลภและความดานชาตอความละอายไดอยางแยบคาย ใน “คนดําน้ํา” ผู เลาเ ร่ืองแสดงมุมมองภายนอกบรรยายรูปลักษณและพฤติกรรมที่แตกตางกันของตัวละครทั้ง 4 ในฉากบึงใหญ คือ หญิงเล้ียงผักบุง คนตกเบ็ด คนถือฉมวก และคนดําน้ํา ดังตัวอยางที่เลาถึงหญิงเล้ียงผักบุงตอเนื่องกับคําบรรยายฉากวา

วันนี้อากาศรมรื่น หลังสังกะสีที่สะทอนประกายกลาตอนแดดจัดดูเงียบสงบ รอบตัวบานมีตนไมรมครึ้ม หญิงวัยสี่สิบ รูปรางสมสวน กําลังเด็ดผักบุงของหลอนอยูริมบึง (65)

หรือเลาถึงคนถือฉมวกตอเนื่องกับบทสนทนาของเขากับหญิงเล้ียงผักบุงวา

ครับ อากาศดีมาก เขาตอบโดยไมไดละสายตาไปจากเบ็ดที่หยอนลง

ในซอกบัว รูปรางเขาคอนขางอวน อายุคงไมออนกวาหญิงคนเลี้ยงผักบุง ทาทางเขาไมใชคนแข็งแรง หวีผมเรียบ โกนหนวดเคราเกลี้ยงเกลา (66)

Page 38: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

141

ดวยกลวิธีเชนนี้ผูเลาเร่ืองที่เปนผูรูและไมใชตัวละครบรรยายเหตุการณและคําพูดของตัวละครที่ผูเลาไมใชตัวละคร ไดเห็นและไดยินเสมือนผูสังเกตการณแสดงความ ผิดแผกระหวางตัวละครในดานความคิดดวย ดังเชน ตอนที่คนดําน้ําเขามาในฉาก

จากถนนหลวงดานทิศเหนือ ชายหนุมทาทางทะมัดทะแมง หนวด

เคราและผมยาวรุงรัง เดินผานทุงหญาตรงมา ทาเดินของเขาเชื่องชา ไมรีบรอน เขาเดินเอื่อยจนถึงริมบึง หันมองคนทั้งสามที่ใตตนโพแวบหนึ่ง แลวถอดเสื้อสีดําลงกองกับพื้นหญา จากนั้นจึงกาวเทาลงในบึง ลุยน้ําออกไป ระดับน้ําคอยๆ สูงข้ึนจนถึงคอ สักครูหนึ่ง ดวยอาการกลั้นหายใจ ก็ผลุบหัวหายไปใตผิวน้ํา

คนทั้งสามที่นั่งคุยกันอยูใตตนโพนิ่งเงียบ ตางมองดูตั้งแตเขาผละออกจากถนนหลวง เดินลุยหญามาเรื่อยๆ จนกระทั่งจมหายลงไปยังพ้ืนน้ํา สักครู เขาก็โผลข้ึนมาแลวจมลงไปอีก ผลุบโผลอยูอยางนั้นเหมือนไมรูจักเหนื่อย คนถือฉมวกเปนคนเอยขึ้นกอนดวยน้ําเสียงราบเรียบ

คงจะมาจากทีอ่ื่น ทาจะเปนพวกนักศึกษาหลงมา คนตกเบด็ตั้งขอสังเกต ฉันวาคงไมใชนักเรียนมหาวิทยาลัย หญิงเล้ียงผักบุงพูด ดูทาทางเขามี

แววฉลาดนี่ หรือเปนพวกนักกีฬา ตอนนี้กีฬาดําน้ํากําลังนิยม คงไมใชหรอก เขาอาจเปนนักสํารวจ อาจเปนสายลับก็ได สมัยนี้มันดูยาก ฉันสงสัยวาเขารูอะไรจริงๆ บาง นอกจากเปนเด็กชอบอวดธรรมดา พวกนี้นาสงสารนะ ผมวานารําคาญ ชางไมมีมารยาทเลย คนถือฉมวกพูด ทําใหผมเสียสมาธิ คิดวามัน

เปนใครนะ อยูๆ ถึงไดมาทําใหน้ําขุน เปาหมายผมเลยพราไปหมด มันกวนปลาที่จะมากินเบ็ดผมดวย คนตกเบ็ดพูด มาทีหลังแตไมรูจัก

เกรงใจคนที่เขาอยูมากอน ถือดีจริงๆ มันไมกระทบกระเทือนผักบุงของฉันเลย หญิงเล้ียงผักบุงพูดอยาง

ภูมิใจ ผักบุงมันไมสนวาน้ําจะใสหรือขุน น้ํากระเพื่อมก็ไมทําใหมันหยุดเติบโต

ดําหาสวรรควิมานอะไรของมันนะ คนตกเบ็ดพูด สติไมคอยดี(70 -71)

Page 39: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

142

ผูเลาวางตัวเปนกลาง โดยไมวิจารณความคิดของตัวละครตัวใดตัวหนึ่ง การใชมุมมองดังกลาวทําใหผูอานเห็นวาคนรุนใหมสมัยนั้นถูกมองอยางหวาดระแวง เพราะคนกลุมอื่นไมเขาใจวาพวกเขากําลังทําอะไร และอีกทั้งระแวงวาส่ิงที่คนรุนใหมกําลังคนหาจะกระทบผลประโยชนและศักดิ์ศรีของพวกตน การใชมุมมองภายนอกแสดงทัศนะของตัวละครทาทายใหผูอานตีความความคิดของตัวละครที่อาจเชื่อมโยงถึงบริบททางสังคมและวัฒนธรรมในชวงที่นักศึกษาเริ่มมีบทบาทมากขึ้นไดเปนอยางดี ผูเลาเร่ืองใน “ตนทาง” เลาแตเหตุการณภายนอก แสดงสิ่งที่ตัวละครกระทํา เห็นและพูด เหตุผลพฤติกรรมของสําเริงที่ยอมเสี่ยงชีวิตเก็บกระสุนปนไวในรางกายเพื่อใหหนังเหนียวปรากฏในคําบอกเลาของปุยภรรยาของสําเริง ที่พูดกับมาณีภรรยาของเยื้อน กอนที่สําเริงกับเยื้อนจะกลับจากไปยิงสัตวดวยกัน

“เห็นวาปนี้ขาวโพดดีใชไหม” มาณีถาม “ก็อยางนั้นแหละ ราคาไมแนนอน บางคนตองเปลี่ยนไปปลูกอยาง

อ่ืน” “เร่ืองลักขโมยที่ยุงๆ ละ” “ก็เหมือนเดิม วัวควายยังมีหาย ตอนที่พวกมันยิงกันเองเรื่องก็ซาลง

หนอย “แลวกํานันละ เห็นวามีคนเกรงไมใชรึ” “นั่นเขามีของดี แกหนังเหนียว ยิงฟนไมเขา” “จริงรึ” “ตรงขาออนแกมีลูกปนฝงอยู เลยทําใหคงกระพัน” “มันไปฝงอยูไดยังไง” “ไมรูคงถูกใครยิงตั้งแตสมัยหนุม แลวปลอยมันอยางนั้น” “ตายละ แลวมันไมเจ็บรึ” “ก็เห็นแกสบายดี วันไหนนึกครึ้มใจ ก็เอานิ้วเลื่อนมันข้ึนๆ ลงๆ ให

เด็กดู ใครเขาก็เกรงใจแกทั้งนั้น พ่ีเริงของฉันง้ี ถึงกับอิจฉาแกเลย” “ทําไมตองอิจฉาดวยละ” “ก็อยากหนังเหนียว ทุกวันนี้ คนตัวเปลาไมมีอะไรคุมกันจะอยูยาก

บางคนถูกเขาตอนควายไปตอหนาตอตา บางคนก็ถูกเผาไร แมแตมาแยงชิงเร่ืองซื้อขายพืชไร ก็แทบยิงกันตายแลว พ่ีเริงนะทั้งกลัว ทั้งโกรธ พอมีคนมายิงปนใกลๆ แตก็ไมรูจะทํายังไง” (85 - 86)

Page 40: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

143

อากัปกิริยาและคําพูดของสําเริงที่ไมยอมไปหาหมอ ที่ผูเลาเร่ืองเลาไวตอจากนั้น สอดคลองกับคําพูดของปุยที่วาสําเริงอิจฉากํานันที่ “หนังเหนียว”

พอออกมาพนหมูบาน ข้ึนถนนหลวง สําเริงแข็งขืน เขาดิ้นและปดปายแขน จะลงจากรถ เย้ือนกอดไหล ปลอบใหเขาสงบ มาณีขับรถตอไปเรื่อยๆ โดยไมสนใจกับการดิ้นและวิงวอน ในที่สุด สําเริงบอกชวยหยุดรถที เขาปวดปสสาวะมาก มาณีเหลียวมองมาทางเยื้อน แลวคอยชะลอรถหยุดขางทาง พอเปดประตูกาวลงสําเริงก็วิ่งกระเซอะกระเซิงเขาไปในปาละเมาะ เย้ือนเอะใจจึงวิ่งตาม ปุยกับมาณีมองตามหลัง ดูคนทั้งสองย้ือยุดฉุดแขน สําเริงสะบัดหนี เสียงพูดจาทัดทานดังแวว มาณีออกมายืนริมถนน หันมองหนาปุย แลวเธอทั้งสองก็วิ่งตามอยางตระหนก

“ผมไมไป” สําเริงสะบัดแขนใหหลุดจากเยื้อน “ผมไมไปโรงพยาบาล” “มันตองผาออก” เย้ือนพดู “ลูกปนเตม็หลังอยางนั้น” “ไมผา” สําเริงผละหนี แตรางกายออนเปลี้ยทรุดลงกับพื้น “ไมผาก็ไมผา ไปหาหมอกพ็อ” “ไมไป” มาณีกับปุยเขามารุมลอม พยายามพูดใหเขายอมไปโรงพยาบาล แต

เขาเสียงแข็ง ขัดขืน “ปลอยผมอยูนี่” เขาเสียงดัง “พวกคุณกลับเถอะ ผมไมไปดวย” เมื่อเห็นเยื้อนยืนกรานจะแบกตัวเขาไป เขายิ่งดิ้นรน ตั้งทาตอสูสุด

ฤทธิ์ “ผมจะกลับบาน ปลอย ผมจะกลับเอง” เขาแผดเสียงกราว เตรียมปะทะ ทั้งที่บาดเจ็บ (87 - 88)

ผูอานเห็นแตอาการขัดขืนของสําเริง ผูเลาไมไดแสดงวามคิดของสําเริงโดยตรง แตเลือกแสดงความคิดของเยื้อนในบทสนทนากับมาณีในเชิงวิจารณความเชื่อของสําเริง แลวโยงไปที่พฤติกรรมของคนอีกหลายวงการที่หวังความเปนอมตะ ดังไดวิเคราะหไปแลวในบทที่ 2 กลาวไดวา การเลือกใชมุมมองเชนนี้โนมนาวผูอานใหเปนฝายเยื้อนมากกวาสําเริง และทําใหพฤติกรรมของสําเริงกลายเปนสวนหนึ่งในปญหาสังคม ใน “ส่ิงที่หลอนพอจะทําได” ผูเลาเร่ืองบรรยายภาพอันเนื่องจากเหตุการณความรุนแรงจากสงครามควบคูกับอาการปวดหัวอยางรุนแรงของตัวละครหญิงที่มีอาการปวดหัวอยางรุนแรง แทรกดวยบทสนทนาของเธอกับสามีที่ไมแยกดวยเครื่องหมายอัญประกาศ ดังคําบรรยายวา

Page 41: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

144

วันนี้แมน้ําโขงมีระดับสูงกวาเมื่อวานเล็กนอย พล้ิวละลอกเล็กๆ ที่ กอตัวสะทอนประกายแดดระยิบ เขากองแหลงในทองเรือ แลวเหยียดแขนจวงพายตรงเขาชิดฝงที่มีตนไมข้ึนหนาทึบ ลึกเขาไปในทางดานฝงลาว มีการเขนฆากันอยูทุกวัน เครื่องบินเอาลูกระเบิดไปทิ้งวันละหลายเที่ยว การทํามาหากินลําบาก ความเปนอยูไมปลอดภัย ชีวิตประจําวันเต็มไปดวยภยันตรายและความหวาดวิตก

..................... เขาเหเรือพายเลาะไปริมฝง ในปาทึบเขาไปทางฝงมหาสมุทรดานโนน

ความทุกขเข็ญมีมากมายกวาที่นี่หลายเทา การทําลายลางชีวิตและทุกส่ิงทุกอยางในเวียดนามดําเนินมานานป ไมมีทีทาวาจะสิ้นสุด ลูกระเบิดถูกทิ้งลงไปเหมือนโปรยเม็ดทรายเลน รางมนุษยนอนตายกระจัดกระจายเหมือนสัตวที่ไรความหมาย (80 – 81)

...................... เขาเบนหัวเรือเลียบชายฝง ตรงกลางแมน้ํามีศพมนุษยศพหนึ่งลอย

ผานไปอยางเชื่องชา พองอืดจนฟู ภาพนี้ไมใชของใหมเสียแลว ในเมื่อสองเดือนกอนมีศพลอยเกล่ือนแมน้ําไหลตามกันไปไมขาดระยะ ความกระเทือนใจ และความหวาดผวาทําใหคนออนเปลี้ยและเศราซึม (80 – 81)

การเลาเร่ืองดังกลาว ทําใหผูอานเขาใจความทุกขของตัวละครรวมถึงชาวบานแถบนั้นที่มีความทุกขไมตางจากเธอ คือ “ ...ใครๆ แถวนี้ก็ปวดกันทั้งนั้น” (79) ที่ตองรับรูเหตุการณรายประกอบกับเห็น “...ศพมนุษย...ลอยผานไปอยางเชื่องชา พองอืดจนฟู...” (81) และภาพนี้ไมใชของใหมเสียแลวเพราะ “...เมื่อสองเดือนกอนมีศพลอยเกลื่อนแมน้ําไหลตามกันไปไมขาดระยะ ความกระเทือนใจ และความหวาดผวาทําใหคนออนเปลี้ยและเศราซึม” (81) สังเกตไดวา ผูเลาเนนแตอาการภายนอกและคําพูดของผูประสบเหตุการณ โดยไมไดแสดงคําบรรยายถึงความรูสึกโดยตรง แตก็มีพลังพอที่จะสื่อความเลวรายปาเถ่ือนของสงครามซึ่งประเทศมหาอํานาจคุกคามทํารายประเทศเล็กๆ

1.2 ผูเลาเร่ืองแบบผูรูที่เนนมุมมองภายใน การเลาเร่ืองเชนนี้ ผูเลาเร่ืองไมมีบทบาทในเรื่อง แตเหมือนมีตัวตนที่ “...แสดง

ทัศนะ ความเห็น ตีความ วิจารณได สามารถถายทอดอดีต ปจจุบัน และอนาคตของตัวละครได รูความคิดของตัวละคร...” (อิราวดี ไตลังคะ, 2543 : 37) ผูเลาเร่ืองใน “คนบนตนไม” แสดงปญหาของชาวนาโดยแทรกความคิดและความรูสึกในชวงเริ่มเรื่อง ดังนี้

Page 42: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

145

เขาเปนชาวนาเชนเดียวกับเพื่อนบานคนอื่นๆ ในหมูบานนี้ เขามีนาผืนเล็กอยูแปลงหนึ่ง มันเปนทุกส่ิงทุกอยางในชีวิตของเขา เปนเกราะคุมภัย เปนที่อยูที่กิน กอนน้ีเขาไมคอยจะรูสึกกังวลกับสิ่งใดเลย แตในระยะหลัง ความเชื่อมั่นในตัวเองของเขาคอยๆ ลดลง มีหลายสิ่งหลายอยางเกิดขึ้น โดยที่เขาไมเคยคาดคิดมากอน บางปน้ําทวม บางปฝนแลง ขาวที่เคยพอกินกลับขาดแคลน แรกๆ ก็ดูเปนสิ่งแปลก แตมันเกิดขึ้นบอย ตอมาก็เคยชิน เมื่อมีการเจ็บปวยในครอบครัว เขาก็มีหนี้สินเพิ่มพูน เขาสองคนผัวเมียทํางานหนัก บางปเมื่อขาวดีพอจะเหลือขาย แตราคาก็ตกมาก ในชวงเวลานั้นเขาจะออกรับจางตัดฟนจากปา บางทีก็เผาถานขาย

ขณะนี้เปนชวงปลายเดือนกรกฎาคมซึ่งฝนควรจะตกชุก แตอากาศกลับแหงแลง ทําใหขาวในนาของเขาเสียหาย เขาจึงตองหางานอ่ืนทําแทน

เขาเคยถูกจับครั้งหนึ่งเมื่อตํารวจพบเหลาเถ่ือนไหหนึ่งฝงอยูใตซุมไผขางบานของเขา ทั้งๆ ที่เขาไมรูเร่ืองอะไรเลย และเหลานั้นก็ไมใชของเขาดวย ตอมาควายตัวเดียวที่มีอยูของเขาก็หายไปอีก เขาจึงตองเชาควายคนอื่นมาไถนา (9 -10) (เนนโดยผูวิจัย)

สวนที่เนนความสับสนของตัวเอกตอนทายเร่ือง เปนมุมมองภายในของเจาตัว ผูอยูในเหตุการณซึ่งแสดงขอขัดแยงของความใฝฝนกับการกระทําของผูปราศจากความรูเทาทันตนเองดังนี้

เขาข้ึนไปเกือบถึงโพรงนก ลมพัดแรงจนใจหวิว ความพึงใจบางอยางวูบขึ้น รูสึกอิจฉานกที่ทํารังอยูบนน้ี มันคงมีความสุขมาก เขาคิด ไมตองผูกพันกับเรื่องราวบนพื้นดิน คนเราจะเปนอยางนี้บางไดไหมนะ เลิกเบียดเบียนกัน อยูอยางรักใคร เห็นอกเห็นใจกัน เขาคิดถึงตัวเอง ไมเคยคิดรายใคร มีแตถูกรังแก บนพื้นดินชางนาเบื่อหนาย อยากหนีไปใหพน เขาสงสัยวาถาเขาเปนนกและขึ้นมาทํารังอยูบนตนไมน้ี ปญหาตางๆ ยังจะติดตามมารบกวนไดไหม เขาจะหนีพนหรือไมหนอ

เขาสลัดหัวขับไลความคิดที่กําลังฟุงซาน แลวปนขึ้นจนถึงโพรง มีลูกนกตัวเล็กๆ สามตัวอยูในนั้น เขารูสึกหัวใจเตนแรงขณะเอื้อมมือเขาไป (12 -13) (เนนโดยผูวิจัย)

Page 43: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

146

ขณะที่ผูเลาเร่ืองใชมุมมองภายนอกแสดงความแรนแคนของชาวนา เปนขอมูลใหผูอานเขาใจไดวาตัวละครมีทางเลือกจํากัด การใชมุมมองภายในก็แสดงความขัดแยงของ ตัวละครที่ตองการสังคมสงบสุข รังเกียจการเบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบแตกลับเปนฝายคุกคามทํารายชีวิตอื่นที่ออนแอกวา ผูอานจึงเห็นไดวา ความจําเปนตองหาเล้ียงครอบครัว ยังไมใชเหตุผลที่พอเพียงสําหรับการยอมตกอยูในวงจรของการเบียดเบียนโดยกลายเปนผูกระทําเสียเอง “ฝนแลง” ใชมุมมองภายนอกบรรยายความยากจนแรนแคนของครอบครัวคุดและบัวคําที่ไมมีปจจัยดํารงชีพอยางเพียงพอวา

...ทั้งสองกําลังนั่งกินขาวอยูกลางชานบานที่ปูดวยปกไม ลมเย็นพุงข้ึนมาตามรองกระดานที่มีจานสังกะสีใสน้ําพริกกับผักตมวางอยู เส้ือที่คุดสวมเปนสีครามจาง ดานหลังมีรอยขาดเปนริ้วยาวเห็นผิวหนังคล้ําแดดดานใน (93)

ความเปนอยูที่ขาดแคลนของคนยากจน บีบคั้นใหบัวคําและเพื่อนบานฝาก

ความหวังไวกับความฝนและส่ิงศักดิ์สิทธิ์ ความสุขใจของบัวคําที่เกิดขึ้นทั้งๆ ที่ยังไมพบไหทองจึงเปนสิ่งที่เขาใจไดไมยาก แตเมื่อส่ิงที่คาดหวังสวนทางกับความจริง บัวคําจึงไดแต “...จองตาไมกระพริบ พยายามขมความรูสึกของตนไว ทําไมมัน หลอนชะงักคําพูด รูสึกงุนงงและออนเพลีย เหง่ือยอยลงตามใบหนาและหยดลงพื้นดิน...” (97) (เนนโดยผูวิจัย) การใชมุมมองภายในแสดงความพยายามตอสูกับความผิดหวังของตัวละคร ทําใหผูอานเห็นใจ สวน บทสนทนาของบัวคําและเพื่อนบานเอยถึงคุด เปนทัศนะของคนสวนใหญ ซึ่งคุดแสดงออกใหเห็นวาตอตานดวยการจามไห มุมมองภายนอกอยางผูสังเกตการณยังไมไดแสดงความคิดของคุด จนกระทั่งเขาพูดกับบัวคําเมื่อเขานอนวา “เราตองการอยางอ่ืนไมใชไหเปลา” (100) และ “แคฝนถึงไหเปลา ฉันก็อายแยอยูแลว แกยังจะใหฉันเอามันไปเรขายอีกหรือ” (101) มุมมองภายในที่ผูเลาลวงรูความคิดของคุดในตอนจบ (หลังจากที่เขาโตแยงกับบัวคําและยืนยันจะทํางานหนักโดยไมยอมใหใครมาเขาฝน) ปรากฏในคําบรรยายทิ้งทาย ซึ่งยํ้าทัศนะของผูแตง ผานผูเลาเร่ือง

ขางนอกบาน ลึกเขาไปในปา จิ้งหรีดและเหลาแมลงตางๆ กรีดเสียงแหลมแทรกอยูในความมืดและหนาวเย็น คุดคิดถึงกองฟนที่ตัดไวดวยแรงกายของตน เขาสามารถนึกเห็นภาพมันไดอยางชัดเจน ตลอดคืนนั้นเขาหลับสนิทดวยความเหนื่อยออน และไมมีใครมาเขาฝนเขาเลย (103) (เนนโดยผูวิจัย)

Page 44: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

147

เห็นไดวา คุดเปนตัวละครตัวเดียวที่คิดและกระทําตางจากคนอื่น ความเดนของเขายังอยูที่เปนตัวละครที่ผูเลาเร่ืองใหเหตุผลการกระทําดวยมุมมองภายในซึ่งสรางความประทับใจ “มากับลมฝน” เปนเรื่องที่ใชมุมมองภายในแสดงปฏิกิริยาในประสบการณของตัวเอก เชน เขา “รูสึกเย็นยะเยียบ” (27) “รูสึกเย็นเยือกจนรางสะทาน...เกิดความเปลาเปลี่ยวอยางรุนแรงขึ้นทันที” (28) ผูอานไดรับรูวา เขาคิดอยางไรกับการตอสูของพังพอนกับงูเหา เขารูสึกอยางไรเม่ือถูกงูกัดจนคิดจะคลานกลับเขาหมูบาน ดวยเหตุผลที่ “ในหมูบานมีคนรูวิธีรักษาพิษงู” (28 - 30) นั่นแสดงวาเขาเห็นคุณคาของสังคมที่เปนแหลงความรู เมื่อเช่ือมโยงกับ บทสนทนากับเพื่อนในอดีตที่วา “ความวุนวายทุกวันนี้ลวนเกิดจากคานิยมและความเคยชินผิดๆ” ในการรวมกลุมเปนสังคม (26 - 27) ก็จะเห็นไดวาการเรียนรูคุณคาของสังคมหลังจากความเขาใจวาตนคิดสุดโตงเกิดขึ้นเมื่อสายเกินไปและความยึดมั่นความคิดของตัวเอกนําไปสูหายนะของชีวิต ขณะที่ผูเลาเร่ืองใน “ศึก” ใชมุมมองภายนอกบรรยายความนากลัวของภัยธรรมชาติที่อาจทํารายมนุษยไดทุกเมื่อ ผูเลาก็ใชมุมมองภายในของสีเทิ้มที่แสดงการขับเคี่ยวตอสูระหวางมโนธรรมกับความโลภอยางหนักหนวง ดังปรากฏในความคิดของตัวละครวา

กองไฟบนฝงมอดสนิท เหลือแตความมืดมิด เสียงสายน้ําไหล เสียง

ดิน ริมตลิ่งถูกเซาะพัง และเสียงปลากดที่รองอยูเบื้องลาง สลับกับเสียงแมลงตางๆ จากความมืดบนฝง ทําใหจิตใจของสีเทิ้มฟุงซาน

อากาศหนาวเย็นขึ้นทุกทีจนตองนอนขดภายใตผาหมผืนบาง สีเทิ้มพยายามขมประสาทแตไมอาจหลับ ความคิดที่เคยผุดขึ้นครั้งหน่ึงหวนกลับมาหลอนอีก เขารูสึกอึดอัดกระสับกระสาย

“อยาไปคิดอยางนั้น” เขาพร่ําบอกตัวเอง “เราตองไมทําอยางนั้น” “เราตองเคารพแก” เขาพูดกับตัวเอง “ตองดีตอลุงบุญปลูก เราจะทํา

อยางนั้นไมได วันพนโทษแกยังไปรับเราถึงหนาประตูเรือนจํา แกรักเราเหมือนลูก”

สีเทิ้มรูวาในการเดินทางคราวนี้ลุงบุญปลูกนําเงินติดตัวมาจํานวนหนึ่ง สําหรับซื้อสินคา เขาเคยคิดจะหนีเตลิดไปยังจังหวัดหางไกล แตยังติดขัดอยูเร่ืองเงิน พวกเพื่อนฝูงรอเขาอยูยังที่นัดพบและกําชับใหเขาไปสมทบใหได

“เราไมตองทํารายแกก็ได” สีเทิ้มบอกตัวเอง “เราเอาเฉพาะเงินอยางเดียวก็พอ” “แตถาแกสูละ” อีกใจหนึ่งถาม “แกไมสูหรอก” เขาแกตัว

Page 45: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

148

“แกตองสูแนนอน” “แกมีดาบอยูขางตัวดวย” “ถาอยางนี้ก็จําเปน” ใจหนึ่งบอก “เราตองปองกันตัว แทงสักทีก็คงอยู” “อยาคิดอยางนั้นเลยนา” “คราวกอนติดคุกก็เพราะเรื่องอยางนี้ เรานาจะเลิกไดแลว”

เขาคิดถึงความสนุกครั้งเกากอนกับเพื่อนหาหกคน มั่วสุมกันอยูตามแหลงตางๆ เขารูวาควรปลีกตัวออกหาง แตไมเคยจริงจังสักที เขารอนเรเร่ือยเปอย ไมยอมทํางานอะไร เคยอยากจะเอาใจพอ แตจนกระทั่งพอตายก็ยังไมมีโอกาสไดทําอะไรตามที่คิดไว

“อยางนอยเราตองเห็นแกพอ เขาอุตสาหฝากเราไวกับลุงบุญปลูกแลว” เขารูตัวเสมอวาอยากทําอะไร และตองการอะไร แตมักพายแพตอ

ความตองการลึกลับที่แฝงอยูเสมอ การลักเล็กขโมยนอย การรวมกับเพื่อนเขาปลนชาวบาน ตลอดจนการยิงกันในวงไพ (39 -41) (เนนโดยผูวิจัย)

การเลาเร่ืองโดยใชมุมมองภายใน นอกจากแสดงความขัดแยงภายในใจของ ตัวละครที่รุนแรงแลวยังมีพลังโนมนาวใหผูอานเห็นใจและเอาใจชวยสีเทิ้มใหรอดพนจากการคุกคามของความคิดชั่วราย เชนเดียวกับตอนที่ซุงหนีบขอเทาเขา การตัดสินใจตัดขอเทาตัวเองเพ่ือรักษาชีวิตตนเองและผูอ่ืนสรางความชื่นชมในความกลาหาญของเขาอันแสดงวาเขาเอาชนะความคิดชั่วรายของตนไดอยางสมภาคภูมิ ขณะที่ “เชาวันหนึ่ง” เลาเร่ืองผานสายตาของนอมที่แสดงปฏิกิริยาทางอารมณควบคูกับความรูสึกนึกคิดที่ปรับเปลี่ยนอยางรวดเร็ว ตั้งแตเสียดายหาน โกรธงูที่กินหานและกลัวภัยที่อาจเกิดข้ึนกับตนตามความเชื่อในวิถีพ้ืนบาน ทําใหผูอานเห็นอิทธิพลของความเชื่อดั้งเดิมที่อยูในสังคมไทย

2. การใชผูเลาเรื่องและมุมมองของนิคม รายยวา ในเร่ืองสั้นยุคศัตรูที่ล่ืนไหล ผูวิจัยจะวิเคราะหมุมมองในเรื่องส้ันยุคนี้จํานวน 3 เร่ือง และ เร่ืองส้ัน “สาบเสือ” ที่เขียนในยุคโลกาภิวัตน งานในยุคนี้นิคมยังใชมุมมองและผูเลาเร่ืองเชนเดียวกับยุคแสวงหา คือ ผูเลาเร่ืองที่ไมใชตัวละครในเรื่องดังนี้

2.1 ผูเลาเร่ืองแบบผูรูที่เนนมุมมองภายนอก ใน “บายของหมอกควัน” และ “เปนลม” มุมมองภายนอกปรากฏในคําบรรยายเหตุการณและบทสนทนา ผูเลาบรรยายฉากเสนทางที่ชาวบานเดินทางไปรับศพญาติยากลําบากและหางไกล แสดงทุกขของคนจน ซึ่งถูกมองขามแมแตความรูสึกอันละเอียดออน

Page 46: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

149

ทางเดินเปนดินลูกรังสีแดง เม่ือเหยียบถูกเม็ดแข็งๆ ตรงทางชันมักจะล่ืนไถล พ้ืนดินบางตอนเปนแผนหิน มีรองน้ําฝนเซาะคดไปคดมา ตนไมใหญสองขางทางรมครึ้ม ซิ้วเดินอยูทายขบวน นางแหงนมองขึ้นไปยังยอดไมที่เห็นลิบๆ บนยอดเขา แลวหันมาพูดกับโลด

......................... ทางแคบลงจนตองเดินเรียงหนึ่ง เสียงเทายํ่าบนใบไมแหงดังชัดเจน

จากหัวขบวนถึงทายขบวน ดานขวาเปนเชิงผาสูงชัน ดานซายเปนเหวมองลงไปขางลาง เห็นยอดไมติดตอกันเปนพืดไกลลิบ ถัดออกไปตรงสีเทาหมนใกลขอบฟา มีสายธารสะทอนเปนประกายแดด คดเคี้ยวหายเขาไปในสีเขียวของดงไมตรงบริเวณที่แมน้ําพังงาไหลผาน (114 – 115)

การใชมุมมองภายนอกดวยการบรรยายและบทสนทนาของตัวละคร ในภาวะแหงความสูญเสียและยังไมพบความกระจางโดยไมพยายามแสดงมุมมองภายใน นับเปนกลวิธีที่กระตุนใหผูอานเอาใจใสกับคําบรรยายพฤติกรรม และคําพูดของตัวละคร เพ่ือทําความเขาใจใหไดวาอะไรคือส่ิงที่ซอนเรนอยูภายในสิ่งที่เห็นภายนอก ทั้งอารมณความรูสึกกับปญหาและมูลเหตุของปญหา สวนใน “สาบเสือ” นิคมใชมุมมองภายนอกที่ลวงรูจิตใจของตัวละคร ดังเห็นจากความไมพอใจที่ตองเดินทางมาประสบความลําบาก ทั้งยังบงช้ีวาธนาไมไดเขาใจความ มุงหมายที่แทจริงของตัวเอง

เมื่อตอนที่ธนาเร่ิมรูสึกเหน่ือยและลังเลใจน้ัน เขาตามไกฟาหนาเขียวข้ึนไปบนเขารวมชั่วโมงแลว เขาลอดใตพุมไม ขามโขดหิน ออมซุมไผ และปนข้ึนหนาผา ไกฟาตัวนั้นมันเปรียวมาก มันมุดเขาพุมหญาเดินออกไปที่โลงและกางปกบินต่ําๆ เร่ียผิวดินในบางครั้ง ใบหนาและเหนียงคอสเีขียวนั้นสะดุดตามาก มันสดใส เปลงประกาย หนาและเขม ดูลึกลับเหมือนหนากากโบราณ ธนาเพงมองมันไมวางตาขณะที่เทาทั้งสองกาวตามไมหยุด เขาลุยฝาดงหนามเถาวัลยที่พันยั้วเยี้ย และก่ิงไมที่ครูดตามตัว เขาคงไมหยุดถาไกฟายังไมหายลับไปจากสายตา เขาว่ิงพลานไปมา เขยาพุมไม ตะโกน กมลงมองลอดเขาไปตามซอกของกิ่งไม แตก็ไมเห็นแมแวบเดียวของปลายขนปกสีทองแดงสลับน้ําเงินของมัน

............................. - - น่ีฉันขึ้นมาถึงน่ีไดยังไง - - ... เขาหัวเราะขบขันตัวเองที่จดจอ

อยูกับไกฟาจนไมไดยินเสียงอะไรอื่น

Page 47: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

150

............................ ธนาหัวเราะ ใช ข้ึนยอดเขา นั่นตางหากที่เปนเปาหมายที่แทจริง ข้ึน

ยอดเขา ไมใชไลตามไกฟา แตวาที่จริงถาไมเห็นไกฟา เขาก็ไมแนใจวาจะขึ้นมาบนนี้หรือเปลา เขาคิดจะขึ้นยอดเขาตั้งนานมาแลว ตั้งแตวันแรกที่มาทําสวนและไดเห็นภูเขาลูกนี้ เขาเคยพูดกับเถิน -- เราข้ึนไปบนนั้นกันไหม - - เถินตอบวาไปซิ - - แลวจึงถามทีหลังวา - - จะข้ึนไปทําไม - - เขาไมรูจะตอบวาอยางไร แตก็พูดวา - - ก็ข้ึนไปนะซิ (149 – 150)

............................. ใช ทนอีกหนอย ฉันรู แตทําไมฉันตองขึ้นมาบนนี้ดวย ทําไมฉัน

ตองมาทนอยูตรงนี้ ฉันไมจําเปนตองมาดวยซ้ํา ฉันนาจะโทรศัพท มาสั่งงานก็พอหรือมาตรวจแคในสวน หรือมาอยูโรงแรมที่ภูเก็ต แลวใหเขาทํารายงานสงที่น่ันเหมือนกับตอนประชุมกรรมการ พวกเขาก็ไปพักกันที่น่ัน พวกเขาเปนผูถือหุนทําสวนปาลม แตหลายคนไมเคยเห็นตนปาลมเลยก็มี – -เสียงลมนาเกลียดจัง พัดเปนบาอยูได --- (155) (เนนโดยผูวิจัย)

เมื่อพิจารณาคําพูดของธนาที่แสดงความโกรธเกินควบคุม ประกอบกับคําถาม

ที่วา “แตทําไมฉันตองข้ึนมาบนนีด้วย ทาํไมฉนัตองมาทนอยูตรงนี”้ ปรากฏชัดวาเขากลาวโทษอีกฝายวาเปนเหตุใหตนลําบาก หรือยืนกรานวา เขาไมตองการขึ้นมาบนยอดเขาเองแตที่เขาตองลําบากเชนนี้เพราะเถินคะยัน้คะยอ ธนามิไดไตรตรองวา “เขาตามไกฟาหนาเขียวขึ้นไปบนเขารวมชั่วโมง” (149) แลวมีเถินเปนฝายตดิตาม

สวนเถินนั้นผูอานไดรูวาคิดตางจากธนา จากคําบรรยายที่เปนมุมมองภายนอกดังนี้

...ทุกครั้งที่เขา (ธนา) ไปสวน เถินก็จะชวนเขาดวยคําถามเดิมวา - - จะขึ้นเขากันหรือยัง - - บางทีก็ใชคําพูดวา - - จะไปบนโนนกันละยัง - - ซึ่งเขาก็แสดงทาทางกระตือรือรนอยากจะไปแตก็ขอผัดผอนทุกที - - เอาไววันใหมเถอะ ตองข้ึนไปใหถึงบนโนนใหไดมองเห็นอยูตรงนั้นเอง งายจะตาย ข้ึนไดสบาย - -

ธนาไมถามอีกแลววาจะขึ้นไปทําไม เพราะเถินเคยตอบวา - - ข้ึนไปสูดอากาศบริสุทธิ์ไปใหมันใกลเมฆอีกหนอยหนึ่ง ไปขางบนเพื่อมองลงมา

Page 48: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

151

ขางลางเห็นภาพกวางไกลลิบตา และเพ่ือรูวาเราไดข้ึนไปแลว - - (150 -151)

ในสวนที่เปนสัญลักษณใหตีความไดวาคนทั้งสองมีสัญชาตญาณสัตวปาไมตางกัน

ผูเลาใชมุมมองภายนอก โดยแสดงแตคําบรรยายและบทสนทนาแทรก ดังตอไปนี้

ธนาตะโกนใหเถินหยุดพูด และกระโจนเขาใสเขา ทั้งสองฟดเหวี่ยงกันจนลมลงพื้น และกลิ้งลงเนินไปยังซุมไผขางลาง

แลวทันทีทันใด เขาทั้งสองรูสึกเหมือนตัวถูกจับเหวี่ยงขึ้นในอากาศและลอยคางอยูขางบน มีเสียงกระดึงที่หอยอยูปลายไมไผดังรัวไปมาตามแรงเหวี่ยง เขาท้ังสองถูกเชือกรัดหอยอยูขางซุมไผ กวาจะรูวาเขาหลนเขาไปติดแรว ก็ตอนที่เขาเห็นชาวบานเดินถือไฟฉายตามกันเขามา

กวาชาวบานจะปลดธนาและเถินออกจากแรวได ก็ทุลักทุเล ตอนนั้นมืดมากแลว แมผูใหญบานจะบอกใหเขาพักคางคืนที่บาน ก็ไมเปนผล ทาทางทั้งสองคนดูแยมาก แตพอชาวบานชวยกันยกรถขึ้นจากหลม พวกเขาก็ขับออกไปจากที่ตรงนั้น

ใครในหมูบานตางก็รูวาผูใหญบานเปนคนชอบพูดอะไรเกินจริง และเหลือเช่ือ แตบางครั้งก็มีอะไรบางอยางที่ตองถามจากแก เพราะไมรูจะไปถามใคร ชาวบานที่อยูริมคลองมาหาผูใหญบานในเชาวันรุงข้ึน และถาม - -ไดขาววาเมื่อคืนดักเสือไดหรือ- -

- -ใช - - ผูใหญบานตอบ “ตั้งสองตัวแนะ เสือโครงลายพาดกลอน ปลอยไปหมดแลว” - -แหม เสียดายจัง ฉันวาจะมาดูสักหนอยนะนี่- - (156 -157)

2.2 ผูเลาเร่ืองแบบผูรูที่เนนมุมมองภายใน “อุหมัง” ใชมุมมองภายในแสดงความรูสึกนึกคิดของตัวเอกที่เช่ือมโยงกับการดําเนินชีวิตของคนสองกลุม คือ เพ่ือนและคนรักของเธอ ที่เอาจริงเอาจังกับงานเพื่อความมั่นคงของชีวิตซึ่งใชวัตถุเปนเครื่องวัด กับคนไขชายชาวประมงที่มีความเอื้อเฟอตอคนไขดวยกัน และใหคาตอชีวิตที่เปนสุขโดยไมตองอาศัยเปลือก ตอนที่นาสนใจคือตอนที่ตัวเอกหญิงคิดทบทวนถึงลักษณะของอุหมังที่ไมกลาออกจากเปลือกเทียบเคียงกับกลุมคนที่เธอรูจัก ดังนี้

Page 49: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

152

ปูเสฉวนโผลหัวออกมาจากเปลือกหอยในมือเธอ แลวรีบหดกลับเขาขางในทันที ที่เธอพลิกมันขึ้นดู ทําไมมันขี้ขลาดอยางน้ีนะ เธอคิด หวาดกลัวแมแตจะออกมาถูกแสงสวางขางนอก เธอรูวา ตรงปลายหางของมันมีครีบแข็งงอเปนตะขอสําหรับเกี่ยวเปลือกหอยเพื่อยึดตัวมันไว มันจะไมยอมคลายตะขอ แมวาตัวมันจะถูกดึงจนขาดก็ตาม

ชางรักเปลือกจริงๆ เธอคิด จะมีอะไรอื่นเหมือนอุหมังอีกไหมนะ มันเที่ยวว่ิงหาเปลือกมาหอรางแลวยึดมันไวแนน มีความพอใจและมั่นใจวาในเปลือกน้ันเปนที่ที่มีความสุขและปลอดภัยที่สุด

เธอคิดถึงเพื่อนชายที่วาจะมาวันน้ี พรอมกับชะเงอไปทางขอบฟาดานที่เมืองตั้งอยู ปานนี้เขาคงไมมาแน เลยเวลาไปมากแลว เพ่ือนๆ ผูหญิงของเธอก็เชนกันคงไมมีใครมา พวกเขาทํางานบริษัทเงินทุนหลักทรัพย บางคนทําธนาคาร คนที่ทําราชการก็มี คราวกอนที่ไมมีใครมาตามนัดนั้น พวกเขาใหเหตุผลวาตองทํางานลวงเวลา เธอรูสึกเห็นใจ และคิดวาวันน้ีพวกเขาคงตองทํางานลวงเวลาอีก

เธอมองไปยังเกาะที่ตะคุมอยูลิบขอบฟา รูสึกอยากจะไปที่นั่น เสียงเรือหางยาวแลนมาทางโคงหัวแหลม เธอหันมองตามขณะมันกําลังออมจากหลังเกาะ เธอนึกถึงคนไขชาวประมงคนนั้น เธอรูวาบานเขาอยูที่น่ัน ออมไปจากตรงนี้นิดเดียว เขาเคยชวนเธอไปเที่ยวดวย มันจะเปนไปไดยังไง เธอคิดในใจ ก็ตัวเขามีสายน้ําเกลือหอยระโยงระยางอยางน้ัน เขาไปไมไดหรอก เขาชางไมรูเร่ืองน้ีเลยนะ แตวาที่จริงสายน้ําเกลือมันก็คงไมติดตัวเขาอยูอยางน้ันตลอดไปหรอก เธอเผลอยิ้มออกมาเมื่อคิดถึงตรงนี้ (150 - 151) (เนนโดยผูวิจัย)

การใชมุมมองภายในทําใหผูอานเขาใจกระบวนการคิดของตัวละครตั้งแตการเห็น

อุหมังที่โผลออกจากเปลือกหอยในมือ แลว “รีบหดกลับเขาขางในทันทีที่เธอพลิกมันขึ้นดู” พฤติกรรมของอุหมังกระตุนใหตัวเอกตั้งคําถามวา “ทําไมข้ีขลาดอยางนี้...หวาดกลัวแมแตจะออกมาถูกแสงสวางขางนอก” และ “จะมีอะไรอื่นเหมือนอุหมังอีกไหมนะ” คําถามของตัวเอกชวนใหผูอานครุนคิดถึงวิถีที่ตัดกันของกลุมคนที่ตัวเอกนึกถึง คือ เพ่ือนๆ ของเธอ และคนไขชายชาวประมง การที่กลุมเพื่อนของเธอใหเหตุผลวา “ตองทํางานลวงเวลา” แสดงถึงการคร่ําเครงในหนาที่จนกลายเปนพันธะท่ีบรรดาเพื่อนของเธอมิอาจผละหรือปลีกตัวออกมาได เมื่อเธอคิดวาพวกเขาคงไมไดมาเที่ยวกับเธอ “เธอรูสึกเห็นใจ และคิดวาวันนี้พวกเขาคงตองทํางานลวงเวลาอีก” นาสนใจวาเธอไดมองไปยังเกาะในฝนที่ชายชาวประมงเลาใหฟง การนึก

Page 50: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

153

ถึงคนไขชายชาวประมงกระตุนใหเธอไดเพงพินิจถึงบางสิ่งบางอยางที่วา เธอเช่ือวาคนไขมิอาจพาเธอไปเที่ยวเกาะในฝนไดเพราะเขามี “สายน้ําเกลือหอยระโยงระยางอยางนั้น” แตแลวเธอก็เกิดความคิดขัดแยงข้ึน “แตวาที่จริงสายน้ําเกลือมันก็คงไมติดตัวเขาอยูอยางนั้นตลอดไปหรอก” การใชมุมมองภายในแสดงลําดับความคิดของตัวละครเชนนี้ ชวยใหผูอานไดเขาใจวาแทจริงแลวสิ่งผูกมัดภายนอกสามารถแกไดโดยงาย หากแตพันธนาการที่ผูกโยงดวยความอยากไดใครมีตามคานิยมที่มุงสรางสมความมั่งคั่งทางโภคทรัพย ยากที่จะสลัดใหหลุดพนออกไปได

ขณะที่ผูเลาใน “เปนลม” ใชมุมมองภายนอกบรรยายเหตุการณและการทํางานของจอมที่ลําบากเสี่ยงอันตรายจากธรรมชาติและผูคนที่ไมคุนเคย

จอมเปนคนขับมือหนึ่ง บาวมือสอง และไขเปนมือฝกขับ ที่ตองเร่ิมจากงานดูแลทั่วไป คอยเติมหมอน้ํา อัดจารบี ตรวจน้ํามันเครื่อง น้ํามันเช้ือเพลิง ตลอดจนเตรียมอาหารและชวยงานจิปาถะ พวกเขารอนแรมไปกับรถแทร็กเตอรเพ่ือรับจางเปดปา และปรับผิวดินตามที่ตางๆ ในฤดูแลงงานมาก บางทีตองทําทั้งกลางวันกลางคืน ในฤดูฝนงานนอย รถทํางานลําบาก พวกเขาเคยอยูเฉยๆ เปนเดือนที่พัทลุง นั่งนอนดูสายฝนที่ตกลงมาทุกวัน

งานดันปรับที่ดินทํานาที่พัทลุงทํางาย นาอยูใกลหมูบาน พวกเขามีที่พักและอาหารในบานของผูวาจาง ผิดกับงานสวนปาลมนี่ อยูในปาลึก หางไกลผูคน ตองกางเต็นทนอนบนดิน ลมแรงจนเต็นทปลิวบอย อาหารการกินไมสะดวก ไขมาลาเรียชุกชุม บางทีเจอปญหาจี้ปลน ขมขูเอาน้ํามันและแยงชิงรถแทร็กเตอร

คนทองถ่ินบางคนสุภาพ นุมนวลและเอื้ออารี มีอยูครั้งหนึ่งคนในหมูบานหิ้วกลวยมาฝากหวีหนึ่ง “เอาไวกินตอนหิว” เขาพูดดวยสําเนียงหวงใย “ถามีปญหาอะไรใหชวย บอกนะ” แลวมองไปที่ถังน้ํามัน พรอมกับยื่นถังเปลาที่ห้ิวติดมือออกมาขางหนา “ชวยถายน้ํามันใหสักถังซิ”

พวกเขาบางคนมาเยี่ยมและพูดคุยดวยบอย บางคนก็มากินขาวดวย ถือปนติดตัวตลอดเวลา เมื่อรูสึกวาสนิทสนมพอสมควรแลว ก็พูดอยางเปนกันเองวา “ไปดันที่ใหผมหนอยซิ” “ชวยโคนตนไมในไรผมสักแปดตนเกาตนซิ” “ไปลากซุงออกจากคลองหลังบานผมหนอย” การทํางานของรถแทร็กเตอรคิดคาจางเปนรายชั่วโมง แตคนเหลานี้ขอใหทําฟรี ไมตองจายเงิน สถานที่ที่จอมและเพื่อนทํางานมักเปนที่หางไกลและเปลี่ยว มีโจรชุกชุม จอมมักจะกลัวและไมกลาปฏิเสธคําขอของพวกเขา (132 – 133)

Page 51: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

154

ในตอนที่จอมเสียชีวิต ผูเลาใชมุมมองภายในแสดงความคิดคํานึงสุดทายของ ตัวละครวา

บาวข้ึนรถ แลวเดินหนาถอยหลัง ดันตนไมที่ขวางหนา เสียงเครื่องยนตระงม ในวงลอมของหุบเขา ลมเย็นพัดแรง ยอดออพล้ิว จอมเอนตัวนอนขางซุมไผ จนแสงแดดเปลี่ยนทิศสาดเขาใบหนา เขาลุกข้ึนหารมใหมแลวลงนอนหลังพุมพงออ ที่มีเสียงลมพัดใบเสียดสีกัน ตนมันเปราะบางและออนไหวขึ้นเปนพุมโปรงคลายมานบาง ลมเย็นพัดเอื่อย เขาเคลิ้มหลับอยางออนเพลีย ฝนถึงบาน ถึงลูกชาย ฝนถึงแทร็กเตอรที่มั่นคงแข็งแรง คอยปกปองและเลี้ยงชีวิตเขา ฝนถึงที่ดินที่จะไถคืน และตนกาแฟเขียวขจี สํานึกสุดทาย เขาคลับคลายคลับคลาวาไดยินเสียงอะไรที่คุนเคยมานาน มันสั่นระรัว ทั้งกังวานนุมนวลและแผดกองใกลเขามากอนที่สติจะดับวูบลง (137 – 138)

การใชมุมมองภายในทําใหผูอานเขาใจ ความใฝฝนของจอมที่ปรากฏเปนครั้งสุดทายในความฝน โยงกับความสําคัญของเงินจํานวนหนึ่ง ที่จอมตองการไปไถที่ดินทําสวนกาแฟ เพราะนั่นคือหนทางที่ทําใหเขาไดอยูพรอมหนาพรอมตาครอบครัว ซึ่งเปนความสุขสูงสุดในชีวิตของคนเล็กๆ แตความฝนตองพังลงพรอมกับการจบชีวิตเพราะความบังเอิญและอํานาจของวัตถุอันเกิดจากเทคโนโลยีที่คนคิดขึ้นมาเพื่อหาผลประโยชน จอมตายดวยวัตถุที่เขารักและรูสึกปลอดภัยที่ไดอยูใกล อันจัดเปนกลวิธีที่เรียกวาการแฝงนัย(irony) การใชมุมมองภายนอกอีกครั้งในตอนจบ ที่พอของจอมตอบคําถามหลานปูวา “ตายชานะซิ” โดยใหเหตุผลวา “ถามันตายกอนนี้สักป ก็ทันไดไถที่คืนมาใหมึงแลว” (140) ซึ่งเปนวิธีเลาที่เสียดสีวาคนจนไมวาจะเปนหรือตายก็ดูไรคา หากจําเปนตองตายก็นาจะตายอยางมีคามากกวาตายอยาง “เปนลม” ดังช่ือเร่ืองซึ่งเปนคําเท็จ

สรุปกลวิธีการประพันธ ในเรื่องสั้นยุคแสวงหากับยุคศัตรูทีส่ื่นไหล

เมื่อวิเคราะหกลวิธีการประพันธของนิคม รายยวา คือ สัญลักษณและผูเลาเร่ืองและมุมมอง เห็นไดวา นิคมเลือกใชสัญลักษณเพ่ือผลของการสื่อสาร เพราะสําหรับนิคมสัญลักษณคือเครื่องมือและวิธีการอธิบายความหมายที่เขาตองการส่ือสาร หรือกลาวไดวาสัญลักษณเปนเครื่องมือส่ือความหมายที่ใชแทนการบอกอยางตรงไปตรงมา ที่ชวยใหการสื่อ

Page 52: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

155

ความหมายและการรับสารชัดเจนซึ่งนาจะหมายถึงความชัดของความคิดและอารมณควบคูกัน แตถาเอาสัญลักษณออกจากงานเขียนทั้งหมด ก็ยังอานไดเร่ืองอยู แตอาจจะเปนอีกระดับหนึ่ง

กลาวไดวานิคมประสบความสําเร็จในการใชสัญลักษณใหผูอานเขาใจ และรับรูการสื่อความหมายอีกระดับหนึ่งจากการอานเอาเรื่องตามธรรมดา นิคมใชสัญลักษณส่ือความหมายในระดับลึกถึงข้ันปรัชญาที่มุงสรางความเขาใจในการดํารงอยูของคน เมื่อพิจารณาสัญลักษณของนิคม รายยวาในเรื่องส้ันยุคแสวงหา สามารถแบงออกได 4 กลุมคือสัญลักษณในฉาก สัญลักษณในพฤติกรรม สัญลักษณในวาทะ และสัญลักษณในหลายองคประกอบ

สัญลักษณในฉากที่โดดเดนไดแก ฉากบนตนไมที่ชายชาวนาปนขึ้นไปเก็บลูกนกบนยอดไมสูง ใน “คนบนตนไม” ที่แสดงความใฝฝนซึ่งขัดกับการกระทําของตัวเอกเพ่ือส่ือความหมายวา ตราบใดที่มนุษยยังขจัดความขลาดเขลาไมได และยังหมกมุนในความทกุขของตนจนละเลยความใสใจในความทุกขของผูอ่ืนแลว การแกปญหาของตนดวยการสรางปญหาใหผูอ่ืนก็คงจะหมดลงไดยาก สวนใน “ศึก” ฉากภัยธรรมชาติในการลองเรือส่ือภารกิจที่ตองตอสูในชีวิตและการงาน ขณะเดียวกันในฉากที่ตัวละครมีความขัดแยงภายใน ก็มีการตอสูภายในจิตใจของ สีเทิ้มระหวางมโนธรรมกับความคิดฝายต่ํา สัญลักษณที่เดนในฉากนี้คือจระเข (ในจินตนาการ) ซึ่งเปนสัญลักษณของอํานาจอันลึกลับในจิตใจ เมื่อโยงกับปญหาของสีเทิ้ม อํานาจนี้ก็คือความโลภ อํานาจจากความตองการที่เขาตองกําจัดใหได เพ่ือคงความเปนคนเอาไว การแทรกสัญลักษณชวยใหเห็นความจําเปนตองการตอสูกับอํานาจฝายต่ําอยางเขมขน แตสุดทายสีเทิ้มก็ชนะศึก แมเขาตองแลกกับความเจ็บปวดและความพิการทางกาย เมื่อยอมเสี่ยงชีวิตชวยลุง บุญปลูกผูมีพระคุณ การตอสูภัยธรรมชาติเพ่ือชวยชีวิตลุงบุญปลูกและคนทั้งเรือเปนเหตุใหเขาตองฟนขอเทาตนเองใหขาดเพื่อคงความสมประกอบของจิตใจเอาไว

ขณะที่ ใน “ความเปลี่ยนแปลง” ผูแตงเนนฉากในกรงที่วิทยพยายามสรางใหนกอยูอยางสะดวกสบาย เปนความสุขสบายซึ่งสรางข้ึนเพื่อหวังผลคือเงินรางวัล จึงจําเปนตองทําลายธรรมชาติของนก ฉากกรงที่สรางเพ่ือกํากับชีวิตนก เสียดสีความเห็นแกตัว การแสดงภาพนกพิราบที่ประสบชะตากรรมดวยน้ํามือมนุษยจึงสามารถปลุกมโนธรรมของผูอาน เช่ือมโยงกับความโหดรายของสงครามที่ชาติมหาอํานาจคุกคามชีวิตของผูบริสุทธิ์เพ่ือครองอํานาจ ดังที่ ผูแตงแทรกขาวเหตุการณในสงครามเวียตนาม ภาพของนกพิราบที่ถูกรังแกจนมิอาจดํารงชีวิตอยางปกติ วางเทียบกับขาวสหรัฐอเมริกาเขามาทําสงครามเวียดนาม จนเกิดความสูญเสียใหญโตดวยขออางวารักษาสันติภาพ สันติภาพที่กลาวอางเปนเหมือนนกพิราบซึ่งถูกทํารายอยางบอบช้ํา ใน “ปลอยนก” นิคมใชฉากวัดที่หางไกลจากความสงบดวยกิจกรรมของนักทัศนาจรและผูทํามาหากินกับการทองเท่ียว แสดงบริบทของการทําบุญ ซึ่งในความหมายลึกกลายเปนการทําบาปและหลอกลวง สอดคลองกับสภาพของนกกระจาบที่ถูกปลอยออกจากกรง สัญลักษณดังกลาวกระตุนบทบาทของคนหนุมสาวที่ควรจะคิดแกปญหาสังคมที่ตนเหตุ การทําบุญที่หางไกลจากแกนธรรมะคงจะหมดไปถาแกปญหาได

Page 53: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

156

ขณะที่ สัญลักษณในพฤติกรรมอาจแทรกอยูในฉาก ดังตัวเอกใน “ความเปลี่ยนแปลง” กระทําตอนกพิราบที่ตนเคยเอาใจใสเล้ียงดูอยางประคบประหงม ความเปลี่ยนแปลงของเขาชวนใหผูอานคนหาเหตุผลซึ่งแฝงฝงอยูในจิตใจของเขาเอง สวน พฤติกรรมของนอมใน “เชาวันหนึ่ง” ที่จุดธูปขอขมางูเหลือมที่ตนดาวา ทั้งๆ ที่มันกินหาน แสดงปญหาของคนชนบทซึ่งถูกความเชื่อส่ิงเหนือธรรมชาติครอบงํา ความกลัวงูจนลนลานก็คือการสยบยอมตออํานาจอยางไรเหตุผล ไมตางจากการยอมถูกยิงเพ่ือใหอยูยงคงกระพันของสําเริง ใน “ตนทาง” ที่เห็นวา การทําใหหนังเหนียวตามความเชื่อเปนวิธีการเดียวในการแกปญหา การกระทําของสําเริงก็คือการสรางอํานาจเหนือธรรมชาติ จนอาจจะกลายเปนการทําลายชีวิตหรือคุณคาของชีวิต พฤติกรรมของสําเริงยังเปนสัญลักษณของการเปดรับสิ่งช่ัวรายของคนในยุคที่ไมคิดจะแกไขความเลวรายดวยความดี

ใน “มากับลมฝน” พฤติกรรมของตัวเอกที่ปฏิเสธการมีสวนรวมในสังคมจนประสบหายนะถึงชีวิต กระตุนความคิดผูอานไดอยางลุมลึก กลาวคือ ถึงแมคิดวาจะหาความสุขจากการดํารงอยูในธรรมชาติแตเขาก็ไมเขาใจธรรมชาติและไมเขาใจตัวเอง ขณะเขาตองการความสงบสุข เขากลับทํารายชีวิตอื่น และไมรูสึกวาตนก็กระทําการเบียดเบียนเหมือนกัน เขาปฏิเสธการอยูรวมกันของสังคมมนุษย พอถูกงูกัดเขาไมอาจปฏิเสธไดวา ตองมีหมอรักษาเพื่อใหพนจากความตาย พฤติกรรมนี้ขัดกับที่เขายึดมั่นถึงข้ันจะแยกตนออกจากสังคมเพื่อจะไดไมมีปญหา หายนะของตัวละครเปนผลจากการยึดถือความคิดสุดโตง กระท่ังถูกงูกัดเขาเรียกหาคนที่จะมาชวยเหลือเขา พฤติกรรมนี้เปนสัญลักษณใหตีความไดวา สังคมมนุษยเทานั้นที่มีการชวยเหลือเก้ือกูลตอผูอ่ืน พฤติกรรมของตัวเอกจึงเปนสื่อทางความคิด ที่วามนุษยควรตระหนักถึงคุณคาของอารยธรรมและควรผดุงรักษาไวหรือแกไขใหดีข้ึนแทนที่จะหลีกหนี ใน “ฝนแลง” การทําลายไหของคุดก็เปนสัญลักษณของการทําลายความลวงของความเพอฝน ดวยการรักษาไว ซึ่งความทระนง การใชเหตุผลและความเชื่อมั่นในตนเองวา ไมตองรอคอยโชคเคราะหหรือการหยิบยื่นจากผูอ่ืน

สัญลักษณในวาทะ เห็นจากบทสนทนาและคําบรรยายคลื่นสํานึกในแทบทุกเร่ือง “ส่ิงที่หลอนพอจะทําได” ใชบทสนทนาระหวางตัวละครชวนใหผูอานคนหาสาเหตุอาการปวดหัวของตัวละครหญิงที่มิอาจบรรเทาไดดวยยาแกปวด วิธีการตัดสลับระหวางบทสนทนากับคําบรรยาย แสดงกระบวนการคิดของตัวละครสรางความเขาใจแกผูอานวา อาการปวดหัวของ ตัวละครเปนอาการเจ็บปวยจากความรูสึกคับแคนและขมขื่น คําบรรยายสั้นๆ ที่แสดงความทุกขของตัวละครเชื่อมโยงกับปฏิบัติการทํารายมนุษยอยางไรมนุษยธรรมโนมนําใหผูอานตระหนักถึงภัยสงครามที่กระทบมวลมนุษยชาติ

นาสังเกตวา นิคมใชช่ือเร่ืองเปนวัสดุสวนหนึ่งของการเลาเร่ือง ในเรื่องนี้วาทะของผูเลาเร่ืองปรากฏในชื่อเร่ือง คือ “ส่ิงที่หลอนพอจะทําได” ก็หมายถึง การรองไห ซึ่งเปนสิ่ง

Page 54: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

157

เดียวที่พอจะทําไดในสถานการณที่เต็มไปดวยความสิ้นหวัง ช่ือเร่ือง “ศึก” ก็เปนวาทะที่แสดงการประจญสูเพ่ือชัยชนะซึ่งตัวเอกทําไดสําเร็จ “ปลอยนก” เช่ือมโยงกับวาทะของตัวเอกชายหลังปลอยนกวาไมรูสึกไดปลอยอะไรเลย คําวาปลอยจึงส่ือความหมายตรงกันขาม ใน “ฝนแลง” คําพูดของคุดยืนยันความเชื่อมั่นในวิถีปฏิบัติของตนแทนที่มัวรอคอยการบันดาลของสิ่งศักดิ์สิทธิ์รวมทั้งคําโฆษณาเรื่องการพัฒนาของรัฐวา “ถาอยากฝน เราก็ฝนเองได” ฝนในที่นี้คือ เปาหมายของชีวิตที่ตองสรางข้ึนดวยตนเองดวยภาวะการตื่น ซึ่งตีความไดวา มีความรูตัว (สติ) และยืนอยูบนความจริง ใน “ตนทาง” ช่ือเร่ืองเปนปริศนามากที่สุดเพราะนอกจากชื่อเร่ืองแลว ไมมี คําวาตนทางอยูในเรื่อง ทางอาจจะหมายถึงทางรอดหรือทางแหงหายนะก็ได ตนทาง นาจะตีความไดวา ตนเหตุแหงความอยูรอดหรือตรงกันขาม บทสนทนาระหวางเยื้อนกับมาณี แสดงวา พฤติกรรมของสําเริงบงบอกความหลงผิดของคนหลายกลุมในสังคมที่เปนเหตุของ “กําแพง” ซึ่งก้ันขวางความเขาใจกัน

สัญลักษณในหลายองคประกอบ ปรากฏใน “คนดําน้ํา” ผูแตงแสดงความแตกตางในพฤติกรรมที่สะทอนความคิด ในการดําเนินชีวิตของคน 4 กลุม แทนกลุมคนตางสถานภาพและบทบาทในสังคม คือ ผูมีอํานาจ นายทุน เกษตรกร และปญญาชนคนรุนใหมลักษณะของคน คนดําน้ํา เปนสัญลักษณของคนรุนใหมที่คนกลุมอื่นในสังคมไมเขาใจ ชวนใหคิดวาการคนหาความหมายอยางเอาจริงเอาจังไมใชเปาหมายของคนกลุมอื่นที่มุงผลประโยชนเฉพาะตน

เร่ืองส้ันของนิคมในยุคศัตรูที่ล่ืนไหลเนนปญหาความเปนความตายของคนเล็กๆในสังคมที่รุนแรงขึ้น ขณะที่ความพะวงกับการตอสูแขงขันทางเศรษฐกิจเปนเหตุใหสังคมมองขามชะตากรรมของคนเหลานี้ สัญลักษณที่ปรากฏในเรื่องส้ันยุคนี้วิเคราะหได 3 กลุม คือ สัญลักษณในฉาก สัญลักษณในพฤติกรรม และสัญลักษณในวาทะ สัญลักษณในฉาก ของ “บายของหมอกควัน” ที่แสดงชะตากรรมแพะสอดรอยกับการดํารงอยูของคนที่มีทางเลือกจํากัด ไมตางจากสภาพของคนที่ถูกฆาบนภูเขาจนศพเนาแลวญาติๆ ชวยกันเผาไฟ ฉากช้ีแนะใหผูอานเทียบเคียงชะตากรรมแพะกับชะตากรรมของคนจนผูตกเปนเหยื่อการแกงแยงแขงขันทามกลางอํานาจเถื่อน คนที่ไมมีทางสูจําตองยอมจํานนตออํานาจที่สงเสริมดวยระบบที่ไมเปนธรรม ใน “เปนลม” ฉากที่รถแทร็กเตอรเขาบุกโคนปาเตียนเทียบเคียงไดกับคนที่มีอํานาจในสังคมคุกคามทํารายคนที่มีทางเลือกนอย แทร็กเตอรเปนประดิษฐกรรมทางเทคโนโลยีที่มีอํานาจทําลายธรรมชาติเพ่ือประโยชนทางธุรกิจ เมื่อเทียบกับตนออดวยแลวยังเห็นความแตกตางอยางส้ินเชิง คลายกับคนเล็กคนนอยในสังคมที่ถูกคนกลุมที่มีอํานาจใชกําลังคุกคามเบียดเบียนจนตองยอมศิโรราบเพราะไมมีกําลังตอสู ใน “สาบเสือ” ฉากที่เนนมากคือฉากภูเขาสูง ซึ่งประกอบดวยปา หุบเหว และความยากลําบาก ภูเขาเปนเปาหมายในอุดมคติ แตกวาจะขึ้นไปถึงได ตองอาศัยความวิริยะบากบั่น การตอสูกับตัวเองไมนอยกวา

Page 55: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

158

การตอสูภายนอกทางกายภาพ เมื่อข้ึนสูอุดมคติ อุปสรรคของการบรรลุอุดมคติ คือ ความไมสามารถกําราบสัญชาตญาณสัตวปาในตัวของมนุษย

สัญลักษณในพฤติกรรม ปรากฏดังนี้ สํารวย ตัวละครใน”อุหมัง” มีพฤติกรรมที่มุงแสวงหาวัตถุ ซึ่งเปนที่ปองกันภัย เขาทุมเทเวลากับงาน มิใชดวยความรักในหนาที่แตเพ่ือหาเงินและความมั่นคงในชีวิต รถเปนสัญลักษณของเปลือก เหมือนกับที่อุหมังรักเปลือกกวาชีวิต สํารวยยึดถือเปลือกสําคัญกวาชีวิต เขาไมกลาขัดใจนายเพราะไมอยากตกงาน และเขาตองมีเงินมาผอนรถดวย นอกจากเขาเปนคนสํารวยเหมือนชื่อแลว เขายังเปนคนออนแอ ไมกลาจะเดินทางไปในที่ที่แปลกไปจากเดิม

สัญลักษณในวาทะ บทสนทนาระหวางซิ้วกับโลดเกี่ยวกับอาการตามัวกระตุนใหตีความเชิงสัญลักษณ คือ ภาพหมอกที่ตัวละครพูดถึงไมเพียงแตสะทอนเปนความทุกขที่เกิดจากการสูญเสียคนในครอบครัว ยังบงช้ีความอับจนในชีวิตที่ส้ินหวัง นอกจากนี้การแทรกวาทะของเด็กชายลูกของซิ้วที่ปฏิเสธส่ิงที่ไมใชชีวิตอยางแทจริงแสดงความรับรูอันลึกซึ้งที่วิจารณความหลงของผูใหญ ผูอานจะตีความไดวาแพะและพอของเด็กกับพวกเปนสัญลักษณชีวิตอันงดงามตามลักษณะธรรมชาติ มิใชชีวิตที่เกิดมาเพื่อเปนเหยื่อของความชั่วราย คือ ความโลภและความปาเถ่ือน นอกจากนี้ วาทะที่หยันคาชีวิตของจอมก็คือ “เปนลม” ซึ่งเปนชื่อเร่ืองและคําพูดเถาแกที่ใหบอกพอของจอมบอกทางอําเภอวาเปนลมทั้งๆ ที่จอมถูกรถแทร็กเตอรทับ

ในการวิเคราะหมุมมองและผูเลาเร่ืองซึ่งเปนกลวิธีที่เดนอยางหนึ่งในผลงานที่ศึกษา ผูวิจัยวิเคราะห ทั้งมุมมองภายนอกและมุมมองภายใน ปรากฏวา เร่ืองส้ันของนิคม รายยวา ทั้งยุคแสวงหาและยุคศัตรูที่ล่ืนไหล ใชผูเลาเร่ืองที่ไมใชตัวละครในเรื่องทั้งหมด ส่ิงที่ ผูเลาเร่ืองเห็นปรากฏในคําบรรยาย ไดแก “ความเปลี่ยนแปลง” “ตนทาง” “ปลอยนก” “คนดําน้ํา” และ “ส่ิงที่หลอนพอจะทําได” “บายของหมอกควัน” และ “เปนลม” แตยังมีเร่ืองที่ใชมุมมองภายในหรือมุมมองของผูอยูในเหตุการณที่เปนบุรุษที่ 3 แทรกอยูดวย เชน “คนบนตนไม” ”ฝนแลง” “เชาวันหนึ่ง” “มากับลมฝน” “ศึก” “อุหมัง” และ “สาบเสือ”

ในประเด็นผูเลาเร่ืองแบบผูรูที่เนนมุมมองภายนอก ผูแตงใชผูเลาเร่ืองซึ่งไมใชตัวละครบรรยายลักษณะภายนอก ผูอานตองตีความเอาเอง เชน “ความเปลี่ยนแปลง” ผูเลาเร่ืองบรรยายพฤติกรรมของวิทย แสดงความทุกขทรมานของนกพิราบขาว และใชบทสนทนาของวิทยกับเพื่อนหญิงที่ขบขันความพิการของนกและหมา ตอกย้ําความพิการในใจของคน การใชมุมมองภายนอกแสดงความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมจากการประคบประหงมนกและปรนเปรอมาเปนโยนทิ้ง กระตุนใหผูอานวินิจฉัยการกระทําของตัวเอกวานารังเกียจ ใน “คนดําน้ํา” ผูเลาเร่ืองบรรยายรูปลักษณและพฤติกรรมที่แตกตางกันของคน 4 คน ผูเลาเร่ืองวางตัวเปนกลางโดยไมวิจารณความคิดของตัวละครตัวใดตัวหนึ่ง บทสนทนาของตัวละครทําใหผูอานเห็นวาคนดําน้ํา ซึ่งเปนสัญลักษณแทนคนรุนใหมในสมัยนั้นถูกมองอยางหวาดระแวง เพราะคนอื่นไมเขาใจและ

Page 56: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

159

ระแวงวาการกระทําของคนดําน้ําจะกระทบผลประโยชนของตน ปฏิกิริยาของตัวละครทั้ง 3 ทําใหผูอานตีความเชื่อมโยงถึงบริบททางสังคมและวัฒนธรรมในขณะที่นักศึกษาเริ่มมีบทบาท ผูเลาเร่ือง ใน “ตนทาง” เลาแตเหตุการณภายนอกแสดงสิ่งที่ตัวละครเห็นและพูด โดยเฉพาะความเห็นเรื่องพฤติกรรมของสําเริงที่ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อใหหนังเหนียวปรากฏในคําบอกเลาของปุยกับมาณี แลวจึงมีบทสนทนาแสดงความเห็นของเยื้อนกับมาณีวิจารณส่ิงที่สําเริงกระทํา โยงกับความหลงผิดอยางเดียวกันของคนอีกหลายวงการ ใน “ส่ิงที่หลอนพอจะทําได” ผูเลาเร่ืองบรรยายภาพอันเนื่องจากเหตุการณความรุนแรงจากสงครามควบคูกับอาการปวดหัวอยางรุนแรงของตัวละครหญิง แทรกดวยบทสนทนาของเธอกับสามีที่ไมแยกดวยเครื่องหมายอัญประกาศ แมผูเลาเลาแตอาการภายนอกและคําพูดของผูประสบเหตุการณโดยไมไดแสดงความรูสึกโดยตรง แตก็มีพลังพอท่ีจะสื่อใหเห็นความเลวรายของสงคราม สวน “บายของหมอกควัน” และ “เปนลม” ผูเลาใชมุมมองภายนอกดวยคําบรรยายและบทสนทนาของตัวละครในภาวะแหงความสูญเสียโดยไมแสดงมุมมองภายในนับเปนกลวิธีที่กระตุนใหผูอานเอาใจใสคําบรรยายพฤติกรรมและคําพูดของตัวละครเพื่อทําความเขาใจวาอะไร คือ ส่ิงที่ซอนเรนอยูภายใน

สวนผูเลาเร่ืองแบบผูรูที่เนนมุมมองภายใน ที่แสดงความในใจของตัวละคร ปรากฏ ใน “คนบนตนไม” มุมมองภายในของตัวเอกแสดงขอขัดแยงของความใฝฝน กับการกระทําอันเกิดจากความไมรูเทาทันตนเอง ในเรื่องส้ันนี้ผูเลาเร่ืองใชมุมมองภายนอกแสดงความแรนแคนของชาวนา อันโนมนําใหผูอานเห็นใจตัวละครที่มีทางเลือกจํากัด และใชมุมมองภายในแสดงความขัดแยงของตัวละครที่ตองการสังคมสงบสุข โดยลืมคิดวาตนตองมีสวนสรางข้ึนดวย “ฝนแลง” ผูเลาใชมุมมองภายนอก บรรยายความยากจนแรนแคนของครอบครัวคุดและบัวคํา ที่ ไมมีปจจัยดํารงชีพอยางเพียงพอ และใชมุมมองภายในแสดงความพยายามตอสูกับความผิดหวังของตัวละครทําใหผูอานเห็นใจ ใน “มากับลมฝน” เปนเรื่องที่ใชมุมมองภายในแสดงปฏิกิริยาทางอารมณของตัวเอกที่ไดเรียนรูคุณคาของสังคมเมื่อกําลังจะสายเกินไป คือตองจบชีวิตดวยพิษงูในธรรมชาติซึ่งเขาไมมีความเขาใจอยางเพียงพอ ผูเลาเร่ืองใน “ศึก” ใชมุมมองภายนอกบรรยายความนากลัวของภัยธรรมชาติที่อาจทํารายมนุษยไดทุกเมื่อ และใชมุมมองภายในที่แสดงการขับเคี่ยวตอสูระหวางมโนธรรมกับความโลภ การเลาเร่ืองโดยใชมุมมองภายใน นอกจากแสดงความขัดแยงภายในใจของตัวละครที่รุนแรงแลวยังมีพลังโนมนาวใหผูอานเห็นใจและเอาใจชวยสีเทิ้มใหรอดพนจากการคุกคามของความคิดชั่วรายอีกดวย ขณะที่ใน “สาบเสือ” ใชมุมมองภายนอกแสดงฉากภูเขาที่ทาทายใหมนุษยปนปายอยางมานะบากบั่นเพื่อข้ึนถึงอุดมคติ ขณะเดียวกันก็บรรยายความยากลําบากสลับกับบทสนทนาที่แสดงความโกรธ และการกลาวโทษกันของตัวละครทั้งสอง พรอมกับกลิ่นสาบเสือที่ทวีความรุนแรง สวน “อุหมัง” ใชมุมมองภายในแสดงความรูสึกนึกคิดของตัวเอกที่เช่ือมโยงกับการดําเนินชีวิตของคนสองกลุม คือ เพ่ือนของเธอและคนไขชายชาวประมง

Page 57: กลวิธีการประพั นธkb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6848/7/Chapter3.pdf · รวมเรื่องสั้น คนบนต นไม มีข

160

เห็นไดวา การใชมุมมองในเรื่องส้ันของนิคม รายยวามีความเชื่อมโยงกับความหมายที่เขาตองการสื่อสารไดอยางชัดเจน คือ มุมมองภายนอกที่ไมแสดงทัศนะของตัวละครกระตุนใหผูอานพินิจความจากคําบรรยายและบทสนทนา เพ่ือทําความเขาใจ “สาร” ที่แฝงอยู ขณะเดียวกันการใชมุมมองภายในก็ชวยใหผูอานเห็นลักษณะนิสัยและความขัดแยงของตัวละคร อันเปนที่มาของพฤติกรรมทั้งที่นาช่ืนชมและบกพรอง