Upload
wsarakarn
View
811
Download
0
Embed Size (px)
Citation preview
หนวยที ่1 ทฤษฎพีืน้ฐานทางเคมีฟสิกสที่เกีย่วของกับการยอมส ี
การยอมเปนกระบวนการท่ีศึกษาระบบที่เกี่ยวของกับสียอมซ่ึงสามารถละลายไดในตัวทําละลายท่ีเหมะสม
ที่สามารถดูดซึมไดบนผิวของวัสดุสิ่งทอและแพรเขาสูภายในเสนใย ดังนั้นการศึกษาของวิชาเคมีฟสิกสการยอมสีจึง
จําเปนตองศึกษาสมบัติธรรมชาติของสารละลายท่ีมีโมเลกุลซับซอนอยางสียอม การดูดซึมของสียอม ปรากฎการณ
ที่ผิวประจันตระหวางวัสดุสิ่งทอและสียอมรวมถึงการแพรของสียอมดวย และนอกจากนั้นการพิจารณาระบบยอมสีที่
จุดสมดุลจําเปนตองใชหลักเทอรโมไดนามิกสอางอิง รวมไปถึงการพิจารณาระบบการยอมกอนท่ีจะเขาสูสมดุล
จําเปนตองใชจลนศาสตรในการศึกษาดวยโดยที่จะใชพิจารณาอัตราการยอมสีและกลไกการเปล่ียนแปลงของระบบ
การยอมสีดวย
แมวาหัวขอเหลานี้นั้นจะไมไดใชงานท้ังหมดแตก็สามารถใชประกอบคําอธิบายถึงปรากฎการณยอมไดดี
พอควร ดังนั้นจึงควรท่ีจะทําความเขาใจและมีพื้นฐานในหัวขอเหลานี้พอควรเพื่อทําความเขาใจทฤษฏีการยอมยุค
ใหมซ่ึงในบทนี้จะกลาวถึงพื้นฐานเกือบทุกเรื่องเวนแตเรื่องการแพรซ่ึงจะกลาวแยกในบทท่ี 5
1.1 เทอรโมไดนามิกส
การศึกษาทางเทอรโมไดนามิกสนั้นจะพิจารณาเมื่อระบบเขาสูสมดุลซ่ึงการศึกษาในเชิงเทอรโมไดนามิกส
นั้นปกติจะพิจารณากฎทางเทอรโมไดนามิกส 3 ขอซ่ึงสามารถใชงานไดโดยไมจําเปนตองพิจารณาถึงแบบจําลองของ
โมเลกุลของท้ังสียอมและวัสดุสิ่งทอเลย
กฎขอท่ี 1 ทางเทอรโมไดนามิกส
โดยท่ัวไปเมื่อเกิดการเปล่ียนแปลงทางเคมีหรือทางกายภาพจะทําใหเกิดการเปล่ียนแปลงของพลังงาน ซ่ึง
พลังงานท่ีเกี่ยวของกับทางเทอรโมไดนามิกสสามารถแบงออกมาเปนดังนี้
พลังงานความรอน (q) 1)
งานหรือพลังงานเชิงกล (w) 2)
พลังงานภายใน (U) 3)
พลังงานไฟฟา (ซ่ึงจะกลาวถึงในเรื่องไฟฟาเคมี) 4)
ซ่ึงปริมาณของพลังงานท้ังหมดสามารถที่จะเปล่ียนแปลงไดทั้งในทางบวกและลบดังนั้นจึงจําเปนตอง
พิจารณาในทิศทาง (+) และทิศทาง (-) ดังนั้นจึงมีการต้ังเง่ือนไข
เมื่อ q (+) คือ พลังงานความรอนจากสิ่งแวดลอมเขาสูระบบ
คือ งานท่ีระบบกระทําตอสิ่งแวดลอม w (+)
กฎขอท่ี 1 เปนกฎที่เก่ียวของกับการอนุรักษพลังงานซ่ึงกลาวไววา พลังงานไมสามารถท่ีจะสรางขึ้นหรือสูญ
หายได โดยท่ีเมื่อพลังงานชนิดหนึ่งหายไปก็จะตองเปล่ียนรูปเปนพลังงานชนิดอ่ืนขึ้นมาทันที
ในระบบทางเคมีนั้นสามารถที่จะอธิบายถึงความสัมพันธของเทอมท้ัง 3 คือ q , w และ U ไดดังนี้ เมื่อสมมติ
วาเมื่อใหความรอน (Heat) q จูล เขาไปในระบบของกาซในสมดุล กาซก็เกิดการขยายตัวและใหงาน (work) ออกมา w
จูลดวย ดังนั้นถาพลังงานความรอนท้ังหมดไมสามารถเปล่ียนเปนงานไดทั้งหมด เนื่องจากความรอนบางสวนนั้นไป
ทําใหระบบทํางาน เชน เพิ่มการเคล่ือนท่ีของโมเลกุลของกาซทําใหเกิดการสั่นสะเทือน (Vibration) ซ่ึงคาเหลานั้น
เปนการเพิ่มพลังงานภายใน (internal energy) ของกาซซ่ึงเครื่องหมาย หมายถึงมีการเปล่ียนแปลงจนเห็นได
ชัดเจน ดังนั้น กฎขอ 1 ทางเทอรโมไดนามิกสสามารถเขียนไดดังนี ้
ΔU Δ
Δ = −U q w (1.1)
และนอกจากนั้นถาพลังงานภายในของระบบกาซกอนการใหความรอนนั้นเปน และหลังใหความรอน
เปน ดังนั้น
U
bUa
Δ = −bU U Ua (1.2)
ทฤษฎีพื้นฐานทางเคมีฟสิกสที่เกีย่วของกับการยอมส/ี2
จากสมการท่ี (1.2) นั้นใชพิจารณาการเปล่ียนแปลงของระบบสถานะเริ่มตน a (Initial state) และสถานะ
สิ้นสุด b (Final state) โดยที่ไมเกี่ยวของกับวิธีการและทิศทางการเปล่ียนแปลงดังนั้นเราก็สามารถที่เรียก U เปน
ฟงกชันสถานะ (State function) ซ่ึงฟงกชันสถานะเปนฟงกชันที่พิจารณาเฉพาะความแตกตางระหวางสถานะเริ่มตน
และสถานะสิ้นสุดเทานั้น แตไมขึ้นอยูกับทิศทางการเปล่ียนแปลง ดังนั้นจากสมการ (1.1) ถามีการเปล่ียนแปลงนอย
มากๆ δ δ= −dU q w (1.3)
โดยท่ีสัญลักษณ d นั้นหมายถึงเปนผลตางแบบแมนตรง (Exact differential) จะสามารถใชงานไดแตในกรณี
ของฟงกชันสถานะ (State function) ในขณะท่ีสัญลักษณ นั้นใชกับผลตางแบบไมแมนตรงของพลังงานภายในของ
กาซอุดมคติ
δ
จากการกําหนดวากาซอุดมคติเปนกาซท่ีไมมีแรงยึดเหนี่ยวระหวางโมเลกุล ดังนั้นถากําหนดใหอุณหภูมิ
คงท่ี แลวพลังงานภายในของกาซอุดมคตินั้นจะไมขึ้นอยูกับระยะทางระหวางโมเลกุลของกาซดังนั้นจึงเขียนไดวา
จึงทําใหพลังงานภายในของกาซอุดมคตินั้นจะขึ้นอยูกับอุณหภูมิอยางเดียว ( / ) 0δ δ =TU V
งานทางเคมี
เมื่อมีการขยายตัวของกาซท่ีอยูในปริมาตรจํากัด กาซเองก็จะตานความดันจากภายนอก ดังนั้นจากการ
พิจารณาการขยายตัวของกาซหรือของเหลวในทรงกระบอกท่ีตานแรงดันภายนอก P ก็สามารถแสดงออกมาไดเปน δ =w PdV
หรือ w = ∫ = (1.4) b
a
PdV ΔP V
เมื่อ a และ b เปนปริมาตรของกาซในสถานะเร่ิมตนและสถานะสิน้สุดตามลําดับ
กระบวนการผันกลับไดและกระบวนการทางธรรมชาติ
จากสมการท่ีกลาวมาแลวนั้นไดจากการต้ังสมมติฐานขึ้นจากกระบวนการผันกลับได (Reversible process)
หรือเรียกอีกอยางวากระบวนการทางอุดมคติ (Ideal process) ซ่ึงเปนกระบวนการที่กลาวถึงการเปล่ียนแปลงจาก
ระบบท่ีหนึ่งไปสูอีกระบบที่มีการเปล่ียนแปลงนอยมากๆจนแทบจะไมสังเกตเห็นความเปล่ียนแปลงได ในขณะท่ี
กระบวนการผันกลับไมได (Irreversible process) หรือกระบวนการธรรมชาติ (Natural process) เปนกระบวนการท่ี
เปล่ียนแปลงจากระบบหนึ่งไปยังอีกระบบจนเห็นชัดเจน
ถาพิจารณากาซอุดมคติ (Ideal gas) ณ ที่ความดัน P เกิดการขยายตัวตานกับความดันจากภายนอก p
(External pressure) ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงจะเกิดการผันกลับไดก็สามารถเขียนออกมาไดเปน = +p P dp
แตถาในกรณีของกระบวนการผันกลับไมได = + Δp P p
กระบวนการปริมาตรคงท่ี
ในกระบวนการปริมาตรคงท่ีคางานท่ีทําใหเกิดการขยายตัว (Work of expansion) เทากับ 0 ดังนั้นในกรณีนี้
ก็จะไมมีงานเกิดขึ้น w = 0 และ Δ =U q (1.5)
ซ่ึงก็หมายความวาในกระบวนการปริมาตรคงท่ีความรอนจะแปรผันโดยตรงกับพลังงานภายใน
กระบวนการที่ความดันคงท่ีและคาเอนธาลป
โดยมากกระบวนการทางเคมีนั้นมักจะเกิดท่ีความดันคงที่ซ่ึงปฏิกิริยาท้ังหมดน้ันจะเกิดในระบบเปด (open
system) ณ ที่ความดันบรรยากาศ ดังนั้นจากกฎขอท่ี 1 เมื่อ และไมมีงานอ่ืนๆที่เกิดขึ้นจึงมักเรียกวาคา
ความรอนแหงปฏิกิริยา (Heat of reaction) ที่ความดันคงที่และคาความรอนท่ีไดจะเรียกวาเอนธาลป H (Enthalpy)
ดังนั้น
= Δ +q U w
(1.6) Δ = Δ + ΔH U P Vสําหรับสถานะ a (เริ่มตน) และสถานะ b (สิ้นสดุ)
( )− = − + −b a b a b aH H U U P V V
วิโรจน สารการโกศล เคมีฟสิกสการยอมสี / 3
จาก (1.7) = +H U PV
ถาพิจารณาในระบบท่ีกระบวนการผันกลับไดที่ความดันคงที่ = +dH dU PdV (1.8)
คาเอนธาลป H เปน ฟงกชันสถานะทางเทอรโมไดนามิกสและมีความคลายคลึงกับพลังงานภายใน
โดยเฉพาะอยางย่ิงในของแข็งและของเหลวคา H และ U ที่เปล่ียนแปลงไปเกือบจะเปนคาเดียวกันได
กระบวนการอะไดเบติค
ถาระบบที่พิจารณาเปนระบบโดดเด่ียว หรือในกรณีที่ปฏิกิริยาท่ีเกิดขึ้นรวดเร็วมากจนกระท่ังระบบยังไมมี
การถายทอดความรอนเขาสูระบบดังนั้นกระบวนการที่ไดจะเปนกระบวนการอะไดเบติค (Adiabatic Process) ไดเปน q = 0 , Δ = −U w (1.9)
การขยายตัวแบบไอโซเทอรมัล
เมื่อกาซเกิดการขยายตัว ณ ที่อุณหภูมิคงที่ กระบวนการท่ีเกิดขึ้นจะเรียกวาการขยายตัวแบบไอโซเทอรมัล
(Isothermal expansion) ถาในกรณีของกาซอุดมคติแลว 0 ดังนั้น Δ =U
q = w = ∫PdV (1.10)
เมื่อพิจารณาจากสมการกาซอุดมคติที่ 1 โมลแลว, ของกาซอุดมคติ
q = w = (1.11)
=PV RT2
2
11
ln⎛ ⎞
= ⎜ ⎟⎝ ⎠
∫V
V
RT dV RTV V
V
จาก จากกฎของบอยล (Boyle’s law) 1 1 2 2 =PV PV
q = w = 1
2ln⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
PRTP
(1.12)
อุณหเคมี
การใชงานของกฎขอท่ี 1 ของเทอรโมไดนามิกสในกรณีของปฏิกิริยาเคมีเราจะเรียกวาอุณหเคมี
(Thermochemistry) ซ่ึงจะสนใจเกี่ยวกับปริมาณความรอนท่ีมีการใหหรือรับจากปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้น
การเปล่ียนแปลงของพลังงานภายในและคาเอนธาลปของปฏิกิริยา
จากปฏิกิริยา Reactant → Product (1.13)
คาพลังงานภายใน และการเปล่ียนแปลงของเอนธาลป ของปฏิกิริยานั้นจะสัมพันธกับคาพลังงาน
ภายใน U และคาคงที่เอนธาลป ของสารต้ังตน (Reactant) และผลิตภัณฑ (Product) โดยท่ี
ΔU ΔH
H (1.14) Product Reactant = - ΔU U U
(1.15) Product Reactant = - ΔH H H
จากตัวอยาง C(s) + O2(g) → CO2(g) (1.16)
ดังนั้นคา ของปฏิกิริยานี้ก็จะเทากับ ΔH (1.17) CO C O2 - - Δ =H H H H 2
เมื่อกําหนดคา เปนบวก (+) เมื่อปฏิกิริยาเปนปฏิกิริยาดูดความรอน (Endothermic reaction) และเปน
ลบ (-) เมื่อเปนปฏิกิริยาคายความรอน (Exothermic reaction) และ เปนศูนยเมื่อเปนกระบวนการที่ไมมีการ
แลกเปล่ียนความรอน (Athermal process)
ΔH
ΔH
สมการของอุณหเคมี
จากคาความรอนแหงปฏิกิริยา (Heat of reaction) นั้นจะขึ้นอยูกับสถานะของสารเคมีซ่ึงอาจจะเปนของแข็ง
(Solid), ของเหลว (Liquid) หรือกาซ (Gas) ทําใหจําเปนตองเติม s, l หรือ g หลังชื่อสารเคมีดวยโดยเฉพาะสารเคมีบาง
ตัวท่ีอาจจะมีโอกาสเกิดขึ้นมากกวา 1 สถานะ เชน น้ําอาจเปนกาซหรือของเหลวก็ไดและอีกปจจัยหนึ่งท่ีมีผลตอคา
เอนธาลป Δ คือ อุณหภูมิ H
ทฤษฎีพื้นฐานทางเคมีฟสิกสที่เกีย่วของกับการยอมส/ี4
จากสัดสวนของตัวเลข (Fractional number) ของจํานวนโมลของสารต้ังตนหรือผลิตภัณฑบางตัวซ่ึงเห็นใน
ปฏิกิริยาอุณหเคมี เชน H2(g)+ ½ O2(g) → H2O(l) ; ΔH (298) = -286.9 kJ (1.18)
ในกรณีเดียวกันปฏิกิริยาการเผาไหมปกติแลวสามารถท่ีจะเขียนเปนความรอนแหงการเผาไหม (Heat of
combustion) ของสาร 1 โมลก็ไดเปน C2H6(g) + 3 ½ O2(g) → H2O(l); ΔH (298) = -1568.8 kJ (1.19)
สวนตัวยก °นั้นเปนตัวแสดงวาวัดที่ P เทากับ 1 atm ซ่ึงเปนสภาวะอางอิงดังสมการ C(s) + O2(g) → CO2(g); Δ °H (298) = -395.01 kJ (1.20)
กฎของเฮสส
บางปฏิกิริยาท่ีเกิดขึ้นนั้นมีหลายขั้นตอนทําใหบางทีไมสามารถท่ีจะหาคาความรอนแหงปฏิกิริยาของ
ปฏิกิริยายอยได เนื่องจากความยากลําบากในการวัดแตละขั้นตอนดังนั้นเราสามารถท่ีจะใชคาความรอนแหง
ปฏิกิริยาของปฏิกิริยายอยที่ทราบแลวตามกฎของเฮสส (Hess’s law) เพื่อท่ีจะใชหาคาความรอนแหงปฏิกิริยายอยที่
ยังไมทราบได เชน C(graphite) + 2H2(g) → CH4(g) (1.21)
จากปฏิกิริยาการเผาไหมนี้สามารถที่จะหาไดจาก
CH4(g) + 2O2 → CO2+ 2H2O(l); Δ °H (298) = -893.8 kJ (1.22)
H2(g) + ½ O2(g) → H2O(l); Δ °H (298) = -286.9 kJ (1.23)
C(graphite) + O2(g) → CO2(g); Δ °H (298) = -395.01 kJ (1.24)
ดังนั้นถารวมคาจากสมการ(1.24) และ 2 เทาของสมการ (1.23) และลบดวย (1.22) ก็จะไดเปน
C(graphite) + H2(g) → CH4(g); Δ °H (298) = -75.18 kJ (1.25)
คาความรอนแหงการเกิดมาตรฐาน
คาเอนธาลปของธาตุหรือสารประกอยนั้นจะใหคาที่สภาวะมาตรฐานความดัน 1 atm อุณหภูมิ 298 K
เนื่องจากวาเปนสภาวะท่ีธาตุสวนใหญสามารถอยูตัวได ดังนั้นคาเอนธาลปของธาตุนั้นจะถูกกําหนดใหเทากับ 0
ดังนั้นคาเอนธาลป ณ สภาวะท่ีความดัน 1 atm อุณหภูมิ 298 K เราเรียกวา คาเอนธาลปการเกิดมาตรฐาน
(Standard enthalpy of formation) จาก C(graphite) + O2(g) → CO2(g); Δ °H (298) = -395.01 kJ (1.24)
คาการเปล่ียนแปลงของเอนธาลปของปฏิกิริยานั้นจะเทากับคาเอนธาลปมาตรฐานของ CO2 ซ่ึงจะนอยกวา
คาเอนธาลปมาตรฐานของ C และ O2 ดังนั้นถาพิจารณา C และ O2 ซ่ึงเปนธาตุแลวคา ของ C และ O2 เทากับ 0
และคาความรอนแหงการเกิดมาตรฐานของ CO2 ก็จะเทากับ (–395.01 kJ)
Δ °H
เอนโทรปและกฎขอท่ีสองทางเทอรโมไดนามิกส
โดยทั่วไปนักเคมีมักจะพบปญหาถึงการตัดสินวาปฏิกิริยาท่ีเกิดขึ้นนาจะเปนไปไดหรือไม โดยปจจัยแรกท่ี
ศึกษามักจะเปนพลังงานท่ีใชนั้นจะเพียงพอหรือไม ถาในกรณีนี้อาจจะทําใหคิดวาปฏิกิริยาคายความรอนนั้นจะตอง
เปนปฏิกิริยาท่ีเกิดขึ้นเองไดแนนอน ในขณะที่ปฏิกิริยาดูดความรอนนั้นจะตองเกิดขึ้นไมได ซ่ึงการระบุแบบนี้ก็ไม
ถูกตองซะเลยทีเดียว เพราะในชีวิตประจําวันเราก็พบปฏิกิริยาดูดความรอนไดบอยพอควร ดังนั้นการที่จะคิดวา
พลังงานเปนสิ่งท่ีใชตัดสินวาปฏิกิริยานี้สามารถเกิดขึ้นไดเองนั้นก็ไมถูกตองท้ังหมด ซ่ึงในกรณีของปฏิกิริยาดูด
ความรอนนั้นจะมีอีกหนึ่งปจจัยท่ีเพิ่มเขามาเพื่อชวยพิจารณาซ่ึงจะมีความสําคัญมากในกรณีนี้ ปจจัยใหมที่เกิดขึ้นก็
คือ เอนโทรป (Entropy)
นิยามของเอนโทรป
ถากระบวนการใดๆที่เปนผันกลับได ดังนั้นคา ก็จะเปนจํานวนความรอนท่ีถูกระบบใชไปใน
กระบวนการท่ีอุณหภูมิคงท่ีดังนั้นคาการเปล่ียนแปลงของเอนโทรป dS (Entropy change) ก็จะเปน revdq
วิโรจน สารการโกศล เคมีฟสิกสการยอมสี / 5
= revdqdST
(1.26)
สําหรับการเปล่ียนแปลงท่ีมีขอบเขต (Finite change)
Δ = ∫ revdqST
(1.27)
ซ่ึงคา มีการใชงานอยางมากสําหรับการศึกษาทางดานเคมี ΔS
ความหมายของเอนโทรป
ก) เอนโทรปเปนคาองศาแหงความเปนอิสระหรือความไมเปนระเบียบของระบบ (
ข) การเปล่ียนแปลงของเอนโทรปก็เปนความสามารถท่ีจะเกิดขึ้นไดเองของระบบ (
ตัวอยางของกรณีที่ทําความเขาใจคําวา เอนโทรป
เมื่อตัวถูกละลายเกิดการถายเทจากสวนที่มีความเขมขนสูงไปยังสวนที่มีความเขมขนตํ่ากวาเนื่องจาก
โมเลกุลของตัวถูกละลายนั้นจะมีชองวางในการเคล่ือนท่ีมากขึ้น ดังนั้นจึงหมายความวาโอกาสที่มันจะ
ถูกทําใหอยูกับที่นอยลงระบบนี้คาเอนโทรปจะเพิ่มขึ้น
1)
เชนกันในกรณีของการขยายตัวของกาซจากสวนท่ีมีความดันสูงไปยังสวนท่ีมีความดันตํ่ากวาก็จะทํา
ใหแรงยึดเหนี่ยวระหวางโมเลกุลลดลงทําใหโมเลกุลของกาซนั้นก็จะมีปริมาตรท่ีจะทําใหเกิดการ
เคล่ือนตัวเพิ่มขึ้นดวยระบบนี้คาเอนโทรปจะเพิ่มขึ้น
2)
เมื่อโมเลกุลของสียอมถูกดูดซึมจากสารละลายไปยังแผนฟลมคาความไมเปนระเบียบนั้นจะลดลงและ
ในกรณีนี้คาเอนโทรปก็จะลดลงดวย
3)
กฎขอท่ี 2 ทางเทอรโมไดนามิกส
แมวากฎขอที่ 2 จะสามารถท่ีจะกําหนดถึงทิศทางท่ีแตกตางกันไป แตอยางไรก็ตามกระบวนการตางๆ
มักจะเคล่ือนตัวเขาสูสภาวะสมดุล โดยที่กฎขอท่ี 1 นั้นเปนผลรวมของการสรุปเรื่องของพลังงานท้ังหมด แตปรากฎ
วาในทางเคมีนั้นไมสามารถที่จะใชกฎการอนุรักษพลังงานเพียงอยางเดียวดังนั้นจึงมีเทอมของเอนโทรปเกิดขึ้นใน
กฎขอที่ 2 ของเทอรโมไดนามิกสก็จะทําใหเกิดสมการท่ีเปนคํานิยามของเอนโทรปออกมาไดเปนเทอมของการ
เปล่ียนแปลงของเอนโทรป เมื่อ dS
= revdqdST
(1.28)
เมื่อ เปนปริมาณความรอนท่ีถูกระบบดูดเขาไปในการทําปฏิกิริยาผันกลับไดที่อุณหภูมิ (K) revdq
เมื่อเอนโทรป S ก็เปนฟงกชันสถานะเชนเดียวกันกับเอนธาลป และพลังงานภายในU ซ่ึงขึ้นอยูกับการ
เปล่ียนแปลงท่ีจุดเริ่มตนและจุดสมดุลยแตไมขึ้นอยูกับทิศทางและวิธีการ
H
เอนโทรปและการเกิดข้ึนไดเอง
กระบวนการผันกลับไดนั้นมักจะเปนกระบวนการทางอุดมคติและเกิดขึ้นไดยากมากในทางปฏิบัติ
โดยมากในทางปฏิบัติมักจะเปนกระบวนการผันกลับไมไดซ่ึงโดยมากมักจะเกิดการสูญเสียความรอนท่ีหลบหนี
ออกไป ดังนั้นคา จะมีคามากกวา ซ่ึงเปนปริมาณความรอนท่ีระบบดูดเขาไปสําหรับกระบวนการผันกลับ
ไมไดก็จะทําใหเอนโทรปเพิ่มขึ้นซ่ึงสามารถแสดงออกมาเปนสมการ revdq irrevdq
> irrevdqdST
(1.29)
ซ่ึงมักจะใชพิจารณาในกรณีที่เปนกระบวนการจริง
พลังงานอิสระ
ซ่ึงจากการพิจารณาฟงกชันเทอรโมไดนามิกสทั้ง 2 ตัวคือ H และ S ซ่ึงทําใหเราสามารถท่ีจะใชพิจารณาคา
ความเปนไปไดของการเกิดปฎิกิริยา ซ่ึงสามารถที่จะอธิบายออกมาไดดังนี ้
บทบาทของพลังงานภายในและเอนโทรปในระบบที่มีคาเอนโทรปคงท่ีดังนั้นสมดุลของปฏิกิริยาก็จะ
เกิดในทิศทางท่ีมีพลังงานตํ่ากวา
1)
ทฤษฎีพื้นฐานทางเคมีฟสิกสที่เกีย่วของกับการยอมส/ี6
แตถาพิจารณาในระบบท่ีมีคาพลังงานคงที่สมดุลยของปฏิกิริยาจะเกิดในทิศทางที่มีเอนโทรปที่สูงกวา
หรือเปนระบบที่มีความเปนระเบียบลดลง
2)
สวนมากในปฏิกิริยาเคมีทั้งเอนโทรปและพลังงานมักจะไมคงท่ี ดังนั้นเราจึงมักท่ีจะหาวิธีที่จะใชหาคาท้ัง
พลังงานและเอนโทรปนั้นจะทําใหสมดุลของปฏิกิริยาเกิดไปในทิศทางใดท่ีจะเขาสูสมดุล ดังนั้นจากการพิจารณานี้ก็
จะทําใหเกิดฟงกชันเทอรโมไดนามิกสใหมขึ้นมา 2 เทอม คือ
พลังงานอิสระเฮลมโฮลตซ : Helmholtz Free energy A (V,T คงท่ี) -
พลังงานอิสระกิบส : Gibb’s Free energy G (P,T คงท่ี) -
ซ่ึงเปนเทอมที่เกิดจากการอางอิงท้ังในระบบพลังงานและเอนโทรปซ่ึงเทอมทั้ง 2 นี้สามารถท่ีจะอธิบาย
ความหมายไดดังนี ้
ใชวัดและดูคาการดําเนินไปของปฏิกิริยาวาเกิดขึ้นไดเองหรือไม 1)
ใชวัดปริมาณงานที่ใชในการทําใหเกิดปฏิกิริยาซ่ึงเกิดจากการเปลี่ยนรูปจากงานรูปอ่ืนๆท่ีไมใชงานท่ี
ทําใหเกิดการขยายตัว เชน งานทางไฟฟา
2)
ใชสําหรับพิจารณาท่ีสภาวะสมดุล 3)
ฟงกชันพลังงานอิสระ
จากฟงกชันใหมซ่ึงสามารถอธิบายไดจากสมการ - =A U TS (1.30)
- =G H TS (1.31) การท่ีพิจารณาท่ีกระบวนการความดันคงที่ ดังนั้นความสัมพันธระหวางฟงกชันพลังงานอิสระและสภาวะ
สมดุลของระบบสามารถท่ีจะแสดงออกเปนคาอนุพันธ (Derivative) จากการเปล่ียนแปลงของพลังงานอิสระ ดังนั้นถา
แทนคา ในสมการ (1.31) ก็จะกลายเปน = +H U PV -= +G U PV TS (1.32)
ดังนั้นทําการดิฟเฟอเรนเชียลไดเปน - -= + +dG dU PdV VdP TdS SdT (1.33) ถากระบวนการเกิดขึ้นในระบบที่ใกลเคียงกับปฏิกิริยาผันกลับได นั่นก็หมายความวาอุณหภูมิและความดัน
คงท่ี ก็จะไดเปน สมการก็จะลดรูปเหลือเพียง , 0 , 0 δ= = =TdS q SdT VdP - δ= +dG dU PdV q (1.34)
จากกฎขอท่ี 1 ก็จะถูกนํามาใชโดยแทน ดังนั้นถาตองการดุลสมการเพื่อท่ีจะหาปริมาณ
งานสูงสุดท่ีระบบใหออกมาซ่ึงก็จะเปนเทอม คาการเปล่ียนแปลงของพลังงานอิสระก็จะเปน
- δ δ=dU q w
maxδw max- -δ=dG w PdV (1.35)
เมื่อ นั้นเปนคาที่บอกถึงปริมาณงานที่สูญเสียไปดังนั้นคา ก็จะเปนงานสุทธิ ( ) ที่
ระบบใหออกมา
PdV max -δw PdV δ usefulw
- δ= usefuldG w (1.36)
ซ่ึงจากสมการ (1.36) ก็จะบอกวาปฏิกิริยาท่ีเกิดขึ้นในกรณีที่คาพลังงานอิสระนั้นลดลงเทากับปริมาณงาน
สุทธิที่เกิดขึ้นซ่ึงเปนหลักท่ีใชในการเกิดขึ้นของแตละกระบวนการ
ซ่ึงคาพลังงานอิสระสามารถหาไดจากการวัดปริมาณงานท่ีระบบใหออกมา ดังนั้นเราสามารถที่จะบอก
คาที่เปนพลังงานอิสระ ที่จะใชพิจารณาเขาสูสภาวะสมดุลออกมาไดเปนดังนี้ ΔG
ΔG มีคาเปนลบ (-) แสดงวากระบวนการกําลังเขาสูสภาวะสมดุล
มีคาเทากับศูนย (0) แสดงวาระบบอยูในสภาวะสมดุลอยู ΔG
มีคาเปนบวก (+) แสดงวากระบวนการเคล่ือนตัวออกจากสภาวะสมดุล ΔG
พลังงานอิสระมาตรฐาน
พลังงานอิสระก็เชนเดียวกับหนวยพลังงานอ่ืนๆจําเปนตองมีสภาวะอางอิงซ่ึงมักจะใชจุดเดียวกับการวัดคา
เอนโทรปของธาตุ การกําหนดคาพลังงานอิสระมาตรฐานของธาตุที่อุณหภูมิ 298 K ที่ความดัน 1 atm ดังนั้นพลังงาน
วิโรจน สารการโกศล เคมีฟสิกสการยอมสี / 7
ผลของความดันและอุณหภูมิตอพลังงานอิสระ
จากความสัมพันธระหวาง G กับ H จะไดเปน G - = H TS (1.31) - = +U PV TS (1.32)
และการเปล่ียนแปลงแบบทั่วไปของ G ก็จะเปน - - = + +dG dU PdV VdP TdS SdT (1.33) ถากระบวนการเปนแบบผันกลับไดแลว และถาไมมีงานอ่ืนๆ นอกจากงานท่ีทําใหเกิดการ
ขยายตัวเกิดขึ้นดังนั้น , จากกฎขอท่ี 1 ดังนั้นจาก (1.31) เทอมท้ัง 3 ก็จะหายไป
เหลือเพียง
δ=TdS q
δ=PdV w - 0 δ δ+ =dU q w
- =dG VdP SdT (1.37) และถายังกําหนดความดันคงที่แลวคา VdP ก็จะถูกตัดท้ิงเปน
-=dG SdT (1.38) แตถาอุณหภูมิคงที่ก็จะไดเปนสมการ
=dG VdP (1.39) ถาพิจารณาระบบที่มีการเปล่ียนแปลงความดันจาก P1 ไปยัง P2 จากสมการ (1.39) ก็จะถูกอินทิเกรต
ออกมาไดเปน
2
2 11
- = ∫P
P
G G nRT VdP (1.40)
ในกรณีที่เปนกาซอุดมคติ P และ V ก็จะสามารถใชความสัมพันธของกาซอุดมคติจาก ดังนั้นจาก
สมการ (1.40) ก็จะกลายเปน
=PV nRT
22
2 111
ln− = =∫P
P
dP PG G nRT nRTP P
(1.41)
ดังนั้นถาพิจารณาท่ีสภาวะมาตรฐาน P เทากับ 1 atm ที่เกิดการเปล่ียนแปลงไปยังความดันอ่ืนๆโดย
กําหนด เปนความดันมาตรฐานดังนั้น 1P
1P = °P = 1 atm = 101,325 Nm-1 และ 1 = °G G
ดังนั้นสมการ (1.41) ก็จะกลายเปน
1
0ln ln
101,325= ° = =
PG G RT RTP
P (1.42)
ความสัมพันธระหวางพลังงานอิสระกิบสและคาคงที่สมดุล
เมื่อพิจารณาสมการเคมีที่ประกอบไปดวยกาซ 4 ชนิดคือ A, B, C และ D aA + bB → cC + dD
เมื่อ a, b, c และ d เปนจํานวนโมลของสารแตละตัวคาพลังงานอิสระของสาร A จํานวน a โมล ณ ความดัน
, สาร B จํานวน b โมล ณ ความดัน ก็จะสามารถเขียนออกมาไดเปน
AP BP
ln°= +°A
A APaG aG aRTP
(1.43)
ln°= +°B
B BPbG bG bRTP
(1.44)
ln°= +°
CC C
PcG cG cRTP
(1.45)
ln°= +°
DD D
PdG dG dRTP
(1.46)
คาการเปลี่ยนแปลงของพลังงานอิสระสําหรับปฏิกิริยานี้ ถาความดันของสารท้ัง 4 เปน , ,
และ ก็จะสามารถที่จะหาคาไดจาก AP BP CP
DP
Product ReactantΔ = −G G G (1.47)
ทฤษฎีพื้นฐานทางเคมีฟสิกสที่เกีย่วของกับการยอมส/ี8
B= + − −C D AcG dG aG bG (1.48) ( )
( )ln .° +
° ° ° °° += + − − +
c d a bC D
C D A B a b c dA B
P P PcG aG aG bG RTP P P
(1.49)
หรือ
ln . ΔΔ = Δ ° + °c d
nC Da bA B
P PG G RT PP P
(1.50)
เมื่อ ถาระบบพจิารณาท่ีสมดุล ( ) ก็จะได ( ) - ( )Δ = + +n a b c d 0Δ =G
ln . Δ−Δ ° = °c d
nC Da bA B
P PG RT PP P
(1.51)
ถาเขียนใหมโดยท่ีกําหนด เมื่อ เปนคาคงที่สมดุลทางเทอรโมไดนามิกส
หรือมักจะใช สมการ (1.51) ก็จะกลายเปน
. Δ⎡ ⎤= = °⎢ ⎥°⎣ ⎦
c dp nC D
a bA B
k P PK PP P P
⎡ ⎤= ⎢ ⎥°⎣ ⎦
pkK
P
K
ln−Δ ° =°PkG RT
P (1.52)
หรือ ln−Δ ° =G RT K
ซ่ึงสมการ (1.52) เปนท่ีรูจักกันดีในชื่อ สมการของแวนตฮอฟฟ (van’t Hoff equation)
ผลของอุณหภูมิตอสภาวะสมดุล
การพิจารณาสมดุลที่อุณหภูมิตางๆซ่ึงสามารถใชหลักเลอชาเตอลิเยรโดยการเริ่มจากการใชนิยามของ
พลังงานอิสระ = +H G TS (1.31)
และ (1.38) ∂⎛ ⎞= −⎜ ⎟∂⎝ ⎠P
GST
∴ ∂⎛ ⎞= − ⎜ ⎟∂⎝ ⎠P
GH G TT
(1.53)
ดังนั้นสามารถเขียนออกมาในรูปคาการเปลี่ยนแปลงเปน
∂Δ⎛ ⎞Δ = Δ − ⎜ ⎟∂⎝ ⎠P
GH G TT
(1.54)
ทําการหารสมการ (1.53) ดวย ก็จะไดเปน
(1.55)
2T
2 21 ∂⎛ ⎞= − ⎜ ⎟∂⎝ ⎠P
H G GT TT T
ทําการดิฟเฟอเรนเชียลเทอม ก็จะไดเปนสมการ ⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠P
GT
21− ∂⎛ ⎞ ⎛ ⎞= +⎜ ⎟ ⎜ ⎟∂⎝ ⎠ ⎝ ⎠P P
d G G GdT T T TT
(1.56)
เมื่อทําการเทียบกับสมการ (1.55) ก็จะไดเปน
2⎛ ⎞= − ⎜ ⎟⎝ ⎠P
H d GdT TT
(1.57)
ซ่ึงสามารถเขียนไดอีกรูปเปน
2Δ Δ⎛ ⎞= − ⎜ ⎟
⎝ ⎠P
H d GdT TT
(1.58)
ซ่ึงสมการนี้จะใชในระบบที่เปนกาซหรือสารละลายก็ได
lnln
⎛ ⎞⎜ ⎟ Δ °°⎝ ⎠ = =
Pkdd K HP
dT dT RT (1.59)
ดังนั้นถาทําการอินทิเกรตจากจุดเริ่มตน (1) และจุดสิ้นสุด (2) ก็จะไดเปนสมการแวนตฮอฟฟ
1
2 1
1 1ln⎛ ⎞ ⎛Δ °
= − −⎜ ⎟ ⎜⎝ ⎠ ⎝
K H
2
⎞⎟⎠K R T T
(1.60)
วิโรจน สารการโกศล เคมีฟสิกสการยอมสี / 9
เทอรโมไดนามิกสของสารละลาย
ตัวทําละลายในสารละลายอุดมคติ
สําหรับสารละลายอุดมคติ (Ideal solution) และสารละลายจริง (Real solution) ที่มีความเจือจางมากๆ
เพราะย่ิงสารละลายเจือจางมากขึ้นก็จะทําใหเขาสูความเปนอุดมคติมากขึ้น สารละลายเหลานี้สามารถใชกฎของรา
อูลท (Raoult’s laws) ใชอธิบายความสัมพันธระหวางความดันไอ (Vapor pressure) ของตัวทําละลาย (Solvent) ใน
สารละลายก็สามารถเขียนไดเปน = °P xP (1.61)
เมื่อ P เปนความดันไอ (Vapor pressure) ของสารละลาย
เปนสัดสวนโมลของตัวทําละลาย x
และ เปนความดันไอของตัวทําละลายบริสุทธิ ์°P
ถาสมมติที่สมดุลไอท่ีเกิดขึ้นมีพฤติกรรมเหมือนกาซอุดมคติ ดังนั้นสารละลายท้ัง 2 มีคาความดันไอเปน
และ ตามลําดับ คาพลังงานอิสระที่เปล่ียนไปสําหรับตัวทําละลาย 1 โมลก็จะไดเปน 1P 2P
22 1
1ln− =
PG G RTP
(1.41)
จากกฎของราอูลทนั้นจะแทนคา และ ดังนั้นก็จะไดสภาวะท่ีใชสําหรับตัวทําละลายท่ีมี
พฤติกรรมเปนอุดมคติเปน 1 1= °P x P 2 2= °P x P
22 1
1ln− =
xG G RTx
(1.62)
ซ่ึงการพิจารณาเรามักจะพิจารณาคาพลังงานอิสระของตัวทําละลายท่ีอยูในสารละลายโดยเทียบกับตัวทํา
ละลายบริสุทธิ์ โดยถือวาเปนสภาวะมาตรฐาน ซ่ึงก็หมายความวาสัดสวนโมลของตัวทําละลายในตัวทําละลาย
บริสุทธิ์เทากับ 1 หรือ ซ่ึงก็เปนสภาวะมาตรฐานที่มีความสัมพันธกับพลังงานอิสระ ดังนั้นจากสมการ
(1.62) คาพลังงานอิสระ G สําหรับตัวทําละลายในสารละลายท่ีมีสัดสวนโมลเทากับ x ก็จะไดเปน
=x 1 °G
ln− ° =G G RT x หรือ (1.63) ln= ° +G G RT x
ตัวถูกละลายในสารละลายเจือจาง
จากพฤติกรรมของสารละลายท่ีประกอบไปดวยตัวถูกละลายที่ไมใชอิเล็กโตรไลตนั้นจะมีพฤติกรรมของ
ความดันไอตามกฎของเฮนรี (Henry’s law) =P kC (1.64)
ซ่ึงจะใชไดดีในกรณีที่เปนสารละลายเจือจางซ่ึงแสดงถึงความสัมพันธของความดันไอท่ีขึ้นอยูกับความ
เขมขนซ่ึงเปนสัดสวนเทากับ k ดังนั้นจากกฎของเฮนรีก็จะทําใหไดคาพลังงานอิสระของสารละลายท่ีความเขมขน
เมื่อเทียบกับ ดังสมการ 2C 1C
22 1
1ln− =
PG G RTP
(1.41)
2
1ln=
CRTC
(1.65)
เชนเดียวกันเม่ือเทียบกับสภาวะอางอิงสําหรับตัวถูกละลาย (solute) ในสารละลายตองเทียบกับสภาวะ
อางอิงซ่ึงตองคํานึงถึงความเขมขนในหนวย M ดังนั้น
ln= ° +o
CG G RTC
และเม่ือ = 1 ดังนั้น oC
ln= ° +G G RT C (1.66) เมื่อ เปน พลังงานอิสระตอโมลของตัวถูกละลายที่ความเขมขน 1 M °G
ทฤษฎีพื้นฐานทางเคมีฟสิกสที่เกีย่วของกับการยอมส/ี10
คาแอคติวิตีและสัมประสิทธิ์แอคติวิตี
ในสารละลายจริง เชน สารละลายอิเล็กโตรไลตจะมีความแตกตางของพฤติกรรมที่ตางจากสารละลายอุดม
คติอยางมาก ดังนั้นจึงตองมีการแกไขตัวแปรในสมการที่กลาวมาแลว ในกรณีของสารละลายอุดมคติซ่ึงก็มีวิธีการ
หลายแบบแตวิธีที่งายท่ีสุดคือ การหาตัวคูณท่ีจะนํามาคูณกับเทอมของความเขมขน ซ่ึงคาเปนคาสัมประสิทธิ์ที่ระบุ
ถึงความแตกตางท่ีตางไปจากความเปนอุดมคติ ดังนั้นจากสมการ (1.62) ที่เปนสมการอุดมคติสามารถเขียนใหมได
เปน
2 22 1
1 1ln− =
f xG G RTf x
(1.67)
เมื่อ และ เปนคาสัมประสิทธิ์แอคติวิตี (Activity Coefficient) ของตัวทําละลายในสารละลายโดย
พิจารณาวาสารละลายอุดมคติ (Ideal solution) คา โดยที่ผลคูณของ f และ C (หรือ x) นั้นจะเรียกวาแอคติ
วิตี a ของตัวถูกละลายโดยท่ีหาไดจากสมการ
1f 2f
2 1 1= =f f
= ×a f C หรือ ×f x
ดังนั้น (1.68) ln= ° +G G RT a
เมื่อ เปนคาศักยเคม ีเมื่อคาแอคติวิตีเทากับ 1 เมื่อสารละลายอยูในสภาวะมาตรฐาน °G ศักยเคมี : ระบบปดและระบบเปด
คําวาระบบปด (Closed System) หมายถึงระบบท่ีไมมีการถายเทมวลขณะที่ทําการพิจารณาในขณะท่ีระบบ
เปด (Open System) เปนระบบที่มีการถายเทมวลซ่ึงการยอมก็ถือวาเปนระบบเปด เนื่องจากมีการถายเทสียอมจาก
น้ํายอมเขาสูเสนใย
ถาเกิดการเปล่ียนแปลงของมวลไมวาจะเกิดในระบบหรือสวนใดสวนหนึ่งก็จะมีเทอมใหมเกิดขึ้นที่เรียกวา
ศักยเคมี (Chemical potential : ) ซ่ึงจะเปนตัวบอกถึงการเปล่ียนแปลงของมวล 1 โมล ( dn ) ซ่ึง B อาจจะเปน U, H,
G หรือ A และ S ไดดังนั้น
μ
μ=dB dn (1.69)
ซ่ึงคาศักยเคมีก็สามารถเทียบกับศักยไฟฟาได ซ่ึงความแตกตางของศักยไฟฟาท้ัง 2 จุดก็จะเปน
กระแสไฟฟาในขณะท่ีถาเปนศักยเคมีนั้นมักจะวัดตัวแปรท่ีมีการเปลี่ยนแปลงอยางเห็นไดชัดท่ีสุด คือ คาพลังงาน
อิสระกิบส (Gibb’s free energy) ที่เปล่ียนแปลงไป ดังนั้นคาศักยเคมีที่สําคัญท่ีสุดคือ
, ,
μ⎛ ⎞∂
= ⎜ ⎟∂⎝ ⎠
ii T P ni
Gn
(1.70)
เมื่อ เปนคาการเปล่ียนแปลงของพลังงานอิสระเม่ือความเขมขนขององคประกอบ iนั้นเปลี่ยนแปลงไป
โมลโดยท่ีความเขมขนขององคประกอบอ่ืน, อุณหภูมิและความดันนั้นยังคงที่
μi
dn
เมื่อ G เปนฟงกชันเทอรโมไดนามิกสดังนั้น ซ่ึงเปนคาพลังงานอิสระกิบสตอโมลก็สามารถใชแทนท่ีคา
G ไดเลยโดยท่ี
μ
lnμ−Δ ° = RT K (1.71)
และ (1.72) lnμ μ= ° + RT a
วิโรจน สารการโกศล เคมีฟสิกสการยอมสี / 11
คาอัฟฟนิตีมาตรฐานของสีบนเสนใย
ซ่ึงมักจะเปนเทอมที่ใชบอกถึงความสามารถของสีที่จะเกาะติดกับเสนใยซ่ึงโดยมากแลวการยอมบนเสนใย
ทางสิ่งทอนั้นมักจะเปนกระบวนการเทอรโมไดนามิกสที่ผันกลับได เชน การหลุดออก (Desorption) ของสีก็จะเปน
กระบวนการยอนกลับของการดูดซึม (Adsorption) ดังนั้นจึงสามารถท่ีจะใชระบบการยอมอางอิงกับฟงกชันเทอรโม
ไดนามิกสสําหรับระบบที่ประกอบไปดวยเสนใยและสียอม
ถากําหนด และ เปน คาแอคติวิตีของสียอมในเสนใย (Fiber) และนํ้ายอม (Dyebath) ตามลําดับ โดย
ที่ถาเปนตัวหอย (Phi) จะหมายถึงคาท่ีอยูในเฟสของเสนใย และ (sigma) จะหมายถึงคาท่ีอยูในเฟสของ
สารละลายหรือน้ํายอม ดังนั้นจาก (1.72)
φa σa
φ σ
lnμ μ= ° + RT a (1.72)
สําหรับคาศักยเคมีของสียอมในเสนใย
lnφ φ φμ μ°= + RT a (1.73)
และคาศักยเคมีของสียอมในน้ํายอม
lnσ σ σμ μ°= + RT a (1.74)
ที่สภาวะสมดุลแลวคา ก็จะไดเปน φ σμ μ=
ln lnφ φ σμ μ° °+ = +RT a RT aσ (1.75)
และ
( ) φφ σ
σμ μ μ° °−Δ ° = − − =
aRT
a (1.76)
เมื่อ เปนเทอมของคาอัฟฟนิตีมาตรฐาน (Standard affinity) ซ่ึงเปนตัวที่บอกถึงโอกาสท่ีสียอมจะ
เคล่ือนตัวจากสภาวะมาตรฐานจากน้ํายอมไปยังเสนใย การคํานวณคา นั้นไดมาจากคํานวณคาศักยเคมีของสี
ยอมในเสนใยและน้ํายอม ซ่ึงการคํานวณหาคาในสารละลายนั้นไมยากนัก เพราะโดยทั่วไป ก็มักจะเทากับความ
เขมขน (Concentration) ของสียอมท่ีอยูในน้ํายอมหรือ แมวาบางกรณีจะไมเปนสารละลายอุดมคติก็ตาม
μ−Δ °
μ−Δ °
σa
σC
แตในสําหรับในวัสดุเสนใยแลวมักจะเกิดปญหาท่ียุงยากเพราะเสนใยแตละชนิดก็จะมีความแตกตางกันไป
ดังนั้นจึงจําเปนตองใชแบบจําลองและไอโซเทอมการดูดซึมที่แตกตางกันไปในการพิจารณาเพื่อท่ีจะใชหาคาแอคติวิ
ตีและศักยเคมีตามลําดับ
สมบัติของสารละลาย
สมบัติคอลลิเกตีฟ
วิธีการท่ีนิยมในการศึกษาตัวถูกละลายในตัวทําละลายทุกชนิดนั้นใชกฎของราอูลทดังสมการท่ี (1.61) ไดก็
ตอเมื่อสารละลายนั้นเปนสารละลายที่เจือจางมากๆ ซ่ึงคาความดันไอของสารละลายก็จะลดลงตามสัดสวนโมล
(Fraction mole) ของตัวถูกละลายเทานั้น ซ่ึงวิธีการนี้เราสามารถท่ีจะใชหามวลโมเลกุลของตัวถูกละลายได เนื่องจาก
คาความดันไอที่ลดลงนั้นจะเปนสัดสวนกับจํานวนโมลของตัวถูกละลาย
เชนกันเมื่อเติมตัวถูกละลายลงในตัวทําละลายแลวก็จะทําใหจุดเดือดเพิ่มขึ้น ในขณะที่จุดหลอมเหลวมีคา
ลดลงและทําใหความดันออสโมติค (Osmotic pressure) มีคาสูงขึ้น ซ่ึงสมบัติเหลานี้จะเกิดจากการเปล่ียนแปลงเปน
สัดสวนตอจํานวนอนุภาค (Particle) ของตัวถูกละลายซ่ึงคุณสมบัติเหลานี้เราจะเรียกวา สมบัติคอลลิเกตีฟ
(Colligative properties) โดยท่ัวไปการวัดน้ําหนักโมเลกุลของตัวถูกละลายโดยใชคุณสมบัติเหลานี้ทํานายโดยท่ีแตละวิธีก็จะ
เหมาะสมกับระบบที่แตกตางกันไป เชน การวัดความดันออสโมติคก็จะเหมาะสมกับระบบคอลลอยด (Colloidal
system) ในขณะท่ีการวัดจุดหลอมเหลวท่ีลดลงของสารละลายนั้นคอนขางที่จะวัดยากโดยวิธีทั่วไปจึงไมนิยมใช ใน
ที่นี้จึงกลาวเฉพาะความดันออสโมติคเทานั้น
ความดันออสโมติค
ปรากฏการณที่เกิดขึ้นเมื่อเกิดการซึมผานเย่ือเลือกผาน (semi-permeable membrane) นั้นเมื่อใชเทอรโม
ไดนามิกสในการอธิบายโดยพิจารณาวาพลังงานอิสระของตัวทําละลายในสารละลายนั้นมีคานอยกวาพลังงานอิสระ
ทฤษฎีพื้นฐานทางเคมีฟสิกสที่เกีย่วของกับการยอมส/ี12
รูปท่ี 1. 1 การวัดความดันออสโมติค (a) เริ่มทําการวัด (b) ระบบเขาสูสมดุล
สําหรับสารละลายอุดมคติ คาความดันออสโมติค นั้นจะสัมพันธกับจํานวนโมลของตัวถูกละลาย n โดย
อาศัยกฎของแวนตฮอฟฟ เชน
π
π =n RTV
(1.77)
เมื่อ V เปนปริมาตรของสารละลาย ดังนั้นคา n/V ก็จะเปนความเขมขนของตัวถูกละลายในหนวย M
สมบัติคอลลิเกตีฟของอิเล็กโตรไลต
แวน ฮอฟฟ (1885) ไดทําการทดลองหาคาความดันออสโมติค โดยเปรียบเทียบในกรณีของสารละลายอิเล็ก
โตรไลตเพื่อศึกษาพฤติกรรมคอลลิเกตีฟ ซ่ึงสามารถเขียนออกมาไดในรูปสมการ (1.77) หรือสามารถเขียนไดอยูใน
รูปท่ัวไปดังนี้ π π°= i (1.78)
เมื่อ เปนความดันออสโมติคของสารที่ไมใชอิเล็กโตรไลต (non-electrolyte) π°
เปนคาปจจัยแวนตฮอฟฟ (van’t Hoff factor) ซ่ึงใชเปนตัวคูณสําหรับในกรณี i
ที่เปนอิเล็กโตรไลต
ซ่ึงผลท่ีไดจะพบวาอิเล็กโตรไลตที่ละลายเจือจางมากๆคา จะมีคาเทากับ 2, 3 หรือ 4 เทาของจํานวนโมล
ของอิเล็กโตรไลตนั้น ซ่ึงจํานวนตัวเลขเหลานี้เปนจํานวนอนุภาคตอโมเลกุลสารนั้น เชน NaCl จะแตกตัวออกเปน
Na+และ Cl- คา จะเทากับ 2 แตถาเปน Na2SO4 ก็จะเปน Na+ 2 ตัว และ SO4-2 1 ตัว คา ก็จะเปน 3 เปนตน
i
i i
สมบัติการนําไฟฟาของอิเล็กโตรไลต
จากกฎของโอหม (Ohm’s laws) สามารถเขียนไดดังนี้
=EIR
(1.79)
เมื่อ I เปนกระแสไฟฟามีหนวยเปนแอมแปร (Ampere)
เปนความตางศักยมีหนวยเปนโวลต (Volt) E
เปนคาความตานทานของตัวนํา (Conductor) มีหนวยเปนโอหม (Ohm) R
โดยท่ีคาความตานทานจะมีสัดสวนโดยตรงกับความยาว และแปรผกผันกับพื้นท่ีหนาตัด ดังนั้น
โดยท่ี เปนคาคงที่การตานทาน (Resistivity)
A
/ =R r A r
วิโรจน สารการโกศล เคมีฟสิกสการยอมสี / 13
ในการพิจารณาในสารละลายอิเล็กโตรไลตนั้นมักจะพิจารณาคาการนําไฟฟามากกวาคาการตานทาน
ไฟฟา โดยที่วัสดุที่มีความเปนตัวนําไฟฟาสูงกวาก็จะมีความเปนตัวตานทานท่ีตํ่ากวาจึงสามารถกลาวไดวาคาการ
นําไฟฟา นั้นเปนสวนกลับของคาการตานทานไฟฟานั่นเอง χ
1χ =r
(1.80)
โดยท่ีเทอมการนําไฟฟาสามารถท่ีจะเขียนในเชิงความสัมพันธกับความตานทานไดดังนี้
χ =RA
(1.81)
คาการนําไฟฟาโมลาร
คาการนําไฟฟาของสารละลายอิเล็กโตรไลตนั้นคอนขางที่จะแปรปรวนมากตามความเขมขนของตัวถูก
ละลายดังนั้น จึงมักจะพิจารณาท่ีความเขมขน 1 โมลาร เพื่อท่ีจะทําการเปรียบเทียบไดงายขึ้น ดังนั้นจึงมีเทอมใหม
เกิดขึ้น คือ คาการนําไฟฟาโมลาร (Molar conductivity) สามารถเขียนไดเปนสมการไดดังนี้ Λ
χΛ =
C (1.82)
เมื่อ C เปนความเขมขนในหนวย M
จากการเปรียบเทียบคาการนําไฟฟาโมลารของอิเล็กโตรไลตหลายๆชนิดโดยการพิจารณาปริมาณกระแส
โดยการถายเทประจุ (charge transfer) ดังนั้นการพิจารณาคาการนําไฟฟาของ ZnSO4 และ NaCl ควรจะพิจารณาใน
กรณีที่เปนเพียงแค ½ ZnSO4 กับ 1NaCl จึงสามารถที่จะเปรียบเทียบกันได
ผลของความเขมขนตอคาการนําไฟฟาโมลาร
จากการพิจารณา คาการนําไฟฟาโมลาร ณ ที่ความเขมขนตางๆพบวาเพื่อลดความเขมขนลงก็จะทําใหคา
ความสามารถในการนําไฟฟาดีขึ้น ซ่ึงคาการนําไฟฟาโมลารที่เพิ่มขึ้นนั้นจะมีคาที่สูงขึ้นจนถึงจุดสูงสุดคาหนึ่งเราจะ
เรียกวาคาการนําไฟฟาโมลารจํากัด (Limiting molar conductivity) โดยท่ีสัญลักษณเปน ∞Λ
โคลรอช (Kohlrausch) ไดพบความสัมพันธของคาการนําไฟฟาโมลาร , และความเขมขน C กรณีของ
สารละลายเจือจางไดเปน
Λ
∞Λ = Λ − k C (1.83) เมื่อ k = เปนคาคงที่
รูปท่ี 1. 2 คาการนําไฟฟาของสารละลายอิเล็กโตรไลตที่มีความเขมขนตางๆกัน
จากรูปเม่ือทําการพล็อตกราฟระหวางความเขมขน ของอิเล็กโตรไลตชนิดตางๆจะเห็นวากราฟจะ
แสดงออกมาเปนผล 2 แบบท่ีแตกตางกันอยางมาก ในกรณีที่เปนอิเล็กโตรไลตแก (Strong electrolyte) เชน NaCl
หรือ KCl จะเห็นวามีคาการนําไฟฟาโมลารที่สูงมากแมจะเพิ่มความเขมขนก็ตามซ่ึงอาจรวมไปถึงพวกสีแอซิดหรือสี
ไดเรกทที่มีหมูซัลโฟเนตดวย ในขณะอีกกลุมหนึ่ง เชน กรดอาซีติก (CH3COOH) จะพบวามีคาการนําไฟฟาที่เจือจาง
C
ทฤษฎีพื้นฐานทางเคมีฟสิกสที่เกีย่วของกับการยอมส/ี14
ทฤษฎีการแตกตัวเปนอิออน
อารีเนียส (Arrhenius) ไดกลาววาในกรณีของอิเล็กโตรไลตนั้นเมื่อเกิดการแตกตัวนั้นมิไดอยูในรูปของอิ
ออนท้ังหมดแตจะอยูในรูปของสารท่ียังไมไดแตกตัวปนอยูดวย ดังนั้นสารอิเล็กโตรไลตแบบไบนารี (Binary
electrolyte : BA) เมื่อละลายแลวอยูในสมดุลไดเปน + -BA B +A→
เมื่อสารละลายมีความเจือจางสมดุลก็จะเล่ือนไปทางขวาซ่ึงก็หมายความวาเกิดการแตกตัวเปนอิออน
(Ionization) มากขึ้น ที่ความเจือจางอนันต (Infinite dilution) แลวการแตกตัวเปนอิออนควรจะเกิดสมบูรณดังนั้น
คา ก็จะเปนคาการนําไฟฟาโมลารจํากัด ณ ที่ความเขมขนใดๆ ซ่ึงจะวัดจากจํานวนของอิออนท่ีแตกตัวออกมา ณ
ความเขมขนท่ีแตกตางกัน เพราะฉะนั้นอัตราสวนของ ตอ นั้นก็ควรจะเปนองศาการแตกตัวเปนอิออน
(Degree of ionization) ดังสมการ
∞Λ∞Λ Λ α
α∞Λ
=Λ
(1.84)
จากทฤษฎีของอารีเนียสนั้นจะใชไดดีในกรณีที่เปนอิเล็กโตรไลตออน แตไมสามารถใชไดกับกรณีที่เปนอิ
เล็กโตรไลตแกซ่ึงมีแตกตางกันเพราะวาอิเล็กโตรไลตแกนั้นสามารถที่จะแตกตัวไดทั้งหมดแมวาความเขมขนจะ
เปล่ียนแปลงไปก็ตาม
จากทฤษฎีที่ใชงานกับอิเล็กโตรไลตแกนั้นถูกพัฒนาขึ้นโดยเดบาย, ฮุกเคลและออนซาเงอร (Debye,
Hückel & Onsager) ซ่ึงการเปล่ียนแปลงคาการนําไฟฟาโมลารตามความเขมขนนั้นสามารถอธิบายไดโดยสมการของ
ออนซาเงอร (Onsager equation)
( )∞Λ = Λ − +A B C (1.85)
เมื่อ A และ B เปนคาคงท่ีที่ขึ้นอยูกับอุณหภูมิและสมบัติของตัวทําละลาย สมการของออนซาเงอรนั้น
สามารถจะใชพิจารณาในเชิงทฤษฎีสําหรับการหาความสัมพันธของอัตราสวนอยางตํ่าของโคลรอชได
อัตราสวน นั้นไมสามารถจะใชไดในกรณีของอิเล็กโตรไลตแกหรือแมแตการใชงานกับอิเล็กโตรไลต
ออนท่ีตองทําการกําหนดใหวา ความเร็วในการเคล่ือนท่ีของอิออนในสารละลายนั้นคงที่ ดังนั้นอัตราสวน
นั้นควรที่จะเรียกวา อัตราสวนการนําไฟฟา (conductance ratio) มากกวา
∞Λ Λ∞Λ Λ
กฎของการเคลื่อนท่ีของอิออนท่ีไมข้ึนแกกัน
เปนกฎที่กลาวถึงการกระจายตัวของอิออนแตละตัวรวมกันในความเขมขนที่เปนคาการนําไฟฟาโมลาร
จํากัด ซ่ึงไมมีผลตออิออนอ่ืนๆท่ีเปนอยูดังสมการ
∞ ∞ ∞+ −Λ = Λ + Λ (1.86)
1.2 กรดและเบส
คาคงที่การแตกตัว
เมื่อกรด HA ละลายในนํ้า ก็จะเกิดเปนสมดุลดังนี้
(1.87) +2 3HA + H O H O + A→ -
เมื่อใชกฎของสมดุลและมีการใชแอคติวิตีแทนเทอมของความเขมขนเพื่อความถูกตอง ก็จะไดเปน
2
.
.+ −H A
HA H O
a a
a a= คาคงที่ (1.88)
โดยที่สัญลักษณ ใชเปนตัวแทนของโปรตอนท่ีถูกลอมรอบดวยน้ํา (Hydrated proton) ถาสารละลายมี
ความเจือจางมากๆสมการก็จะลดรูปไดเปน
+H
.+ −
=H AA
HA
a aK
a (1.89)
วิโรจน สารการโกศล เคมีฟสิกสการยอมสี / 15
โดย ก็จะเปนคาคงที่การแตกตัวของกรดทางเทอรโมไดนามิกส (Thermodynamic dissociation constant of
the acid) ซ่ึงเปนคาคงที่เมื่อสัดสวนโมลของตัวทําละลายเขาใกลหนึ่ง AK
จากสมการ 1.89 สามารถเขียนไดอีกรูปเปน
[ ][ ] .[ ]
+ − + −=H A
AHA
f fH A KHA f
(1.90)
เมื่อเทอม [ หมายถึงความเขมขน ถาสารละลายมีความเจือจางมากๆคาสัมประสิทธิ์แอคติวิตีก็จะมีคา
เขาใกล 1 ก็จะทําการตัดเทอมหลังทิ้ง (ก็จะไดผลท่ีมีความผิดพลาดตํ่ามาก) ก็จะไดเปน
]
[ ][ ][ ]
+ −
= ≈A AH A k K
HA (1.91)
ซ่ึงก็จะมีการใชงานโดยท่ีกําหนดเทอมดานซายเทากับ ซ่ึงเปนคาคงที่การแตกตัวท่ีมักจะใชกัน(Classical
dissociation constant) ซ่ึงไมใชคาคงที่จริงซ่ึงสามารถแปรเปล่ียนตามความเขมขนได Ak
-
ความสัมพันธระหวางความแรงของคูกรด-เบส
จากนิยามของเบิรนเสตด (Brønsted) และลาวรี (Lowry) ที่วากรด (acid) เปนสารที่สามารถที่จะสูญเสีย
โปรตอนและเบส (Base) เปนสารท่ีจะสามารถรับโปรตอนเขามาดังนั้นจากสมการ นั้นก็สามารถท่ีจะ
อธิบายออกมาไดวาท้ังกรดและเบสเม่ือ p+ เปนโปรตอน (proton) ดังนั้นจากสมการจะเห็นไดวาเปนการถายเท
โปรตอนจากโมเลกุลของกรดไปยังอีกโมเลกุลของเบส ซ่ึงกรดและเบสนั้นจะแตกตางกันตรงการรับ-ใหโปรตอน
เทานั้น ดังนั้นจากความสัมพันธนี้ทําใหกรดทุกตัวจะตองมีคูเบส (Conjugate base) และเบสทุกตัวจะตองมีคูกรด
(Conjugate acid) ดวย และจากผลท่ีเดนชัดของการใชโปรตอนเปนตัวท่ีจะแสดงวาโมเลกุลหรืออิออนนั้นเปนกรดหรือ
เบส ซ่ึงบางตัวอาจจะเปนไดทั้งกรดและเบสขึ้นอยูกับวามันสูญเสียหรือรับโปรตอนในปฏิกิริยานั้นๆ
+A B + p→
ในกรณีของ HCl ที่ไมแตกตัวเปนอิออนในเบนซีน (Benzene) เปนเพราะวาเบนซีนมีความเปนเบสที่ตํ่ามาก
แตถาเปนกรณีของน้ําก็จะเห็นวามันสามารถท่ีจะแตกตัวเปนอิออนไดอยางสมบูรณ ซ่ึงในกรณีหลังนี้น้ําถือวาเปน
เบสท่ีรับโปรตอนมาจาก HCl ได ดังนั้นเมื่อทําการละลาย HA ในตัวทําละลายแอมฟโปรติก (Amphiprotic solvent)
เชน น้ํา เราก็จะไดระบบกรด-เบสและคูกรด-คูเบส ดังนี ้ HA + H2O → H3O+ + A-
(1.92) กรด เบส คูกรด คูเบส
เมื่อ A- เปนคูเบสของกรด HA และมันสามารถท่ีจะทําปฏิกิริยากับตัวทําละลายตอดังนี้
(1.93) -2A + H O HA + OH→
ดังนั้นคาคงที่การแตกตัว ของกรด HA ก็จะเปน AK
[ ][ ]
[ ]
−
=AHA AK
HA (1.94)
และคาคงที่การแตกตัวของเบสของคูเบส A- ก็จะเทากับ
[ ][ ]
[ ]
−
−=BHA OHK
A (1.95)
ดังนั้น
[ ][ ] [ ][ ]. [ ][
[ ] [ ]
− −
]+ −−= =A B
HA A HA OHK KHA A
H OH (1.96)
เมื่อ (1.97) =A B WK K K
ซ่ึงจากสมการ (1.97) ก็จะพบวาคาความแรง (Strength) ของคูเบสและคูกรดในตัวทําละลายเดียวกันนั้นจะ
เปนคาสวนกลับของกันและกัน ดังนั้นคาความแรงของกรดตัวนั้นมีคามากขึ้น คา ก็จะมากขึ้นและคา ก็จะ
ลดลงก็จะทําใหมีคูเบสที่มีความแรงลดลง AK BK
ทฤษฎีพื้นฐานทางเคมีฟสิกสที่เกีย่วของกับการยอมส/ี16
ความเปนกรด-เบสในสารละลายเอเควียส
ในระบบของน้ําบริสุทธิ์ จํานวน H+ และ OH- จากโมเลกุลของน้ําก็จะเปน -
2 2 3H O + H O H O + OH→ (1.98)
โดยท่ีคาความเขมขนของ [H+] ก็จะเทากับ [OH-] ดังนั้นก็สามารถที่จะบอกไดวาน้ํานั้นเปนกลางได
จากกรณีนี้เมื่อน้ําเปนตัวทําละลาย และผลิตภัณฑอิออน (Ionic product) ที่ไดจะเรียกวา ดังนั้น WK
[ ][ ]+ − = WH OH K (1.99)
เมื่อ H+ เปนโปรตอนท่ีลอมรอบดวยน้ํา (Hydrated proton) ดังนั้น [ ก็จะไดเปน ] [ ]+ −=H OH 14 7[ ] [ ] 10 10+ − − −= = = =WH OH K M (1.100)
ในสารละลายที่เปนกลาง (Neutral solution) ที่ 25°C คาความเขมขนของ H+ เปน 10-7 M ถาความเขมขนของ
H+ มีคามากกวา 10-7 M สารละลายนั้นก็จะมีความเปนกรดแตถาตํ่ากวา 10-7M ก็จะมีความเปนเบส
เพื่อเปนการงายในการวัดความเปนกรด-เบสนั้นเราจึงมีหนวยใหมเปน pH ซ่ึงเปนคาลอกการิธึมของสวน
กลับ (Reciprocal) ของแอคติวิตีของ H+ ดังนี ้
1log log ++
= = −H
H
pH aa
(1.101)
ดังนั้นคา pH จึงสามารถเขียนเปนนิยามไดดังนี้
log[ ]+= −pH H (1.102)
ดังนั้นถา
7[ ] 10 , 7 + −=H M pH =
=
=
เปนสารละลายที่เปนกลาง
เปนสารละลายที่เปนกรด 3[ ] 10 , 3+ −=H M pH
10[ ] 10 , 10 + −=H M pH เปนสารละลายที่เปนเบส
นอกจากคา pH แลว กฎนี้สามารถใชกับอิออนอ่ืนๆดวย เชน OH- (Hydroxide ion) ดังนั้นก็จะไดเปน
log[ ]−= −pOH OH (1.103)
และ (1.104) log= −ApK KA
ดังนั้นจากสมการ 1.99 สามารถเขียนอยูในรูปลอการิธึมไดเปน
log[ ] log[ ] log+ −+ = WH OH K (1.105)
หรือ (1.106) log[ ] log[ ] log+ −− − = − WH OH K
เมื่อ = 14 ที่ 25°C WpK 1.3 เซลไฟฟาเคมี
ปรากฎการณอิเล็กโตรด
ถาจุมแทงโลหะหรือลวดโลหะ M ลงในสารละลายท่ีมีอิออน เชน ทองแดง (Copper) ในสารละลายคิว
ปริกอิออน (Cupric ion) ก็จะมีปฏิกิริยาเกิดขึ้น 2 อยาง ณ ที่ผิวประจันต (Interface) ของโลหะและอิออนของมันเปน
+nM
+n -M + ne M→ ซ่ึงจะเห็นวาปฏิกิริยานี้จะมีอิเล็กตรอนเขามาเก่ียวของกับปฏิกิริยาดวย
ซ่ึงโดยท่ัวไปคาศักยอิเล็กโตรด (Electrode potential) นั้นไมสามารถท่ีจะวัดเด่ียวๆได ดังนั้นการวัดนั้นมักจะ
ทําการเทียบกับคาศักยอิเล็กโตรดอีกอันหนึ่ง ดังนั้นจึงจําเปนท่ีจะตองเลือกหาอิเล็กโตรดอางอิงมาตรฐาน
(Reference electrode) ที่เหมาะสม คือ อิเล็กโตรดไฮโดรเจนมาตรฐาน (Standard hydrogen electrode) โดยกําหนดคา
ศักยอิเล็กโตรดไฮโดรเจนมาตรฐานเทากับ 0
การแบงประเภทของอิเล็กโตรด
พิจารณาปฏิกิริยาท่ีอิเล็กโตรดโดยท่ัวๆไป
(1.108) -A + B + ... + e C + D +...α β →n c d
วิโรจน สารการโกศล เคมีฟสิกสการยอมสี / 17
โดยที่ และ เปนจํานวนของอะตอม, อิออนหรือโมเลกุลของ A และ B นั้นทําปฏิกิริยากับอิเล็กตรอน
จํานวน n ตัว เพื่อท่ีจะทําใหเกิด C จํานวน c และ D จํานวน d อะตอม, อิออนหรือโมเลกุล
α β
จากสมการของเนินส (Nernst) ก็จะไดคาศักยอิเล็กโตรดของอิเล็กโตรดจากปฏิกิริยาอิเล็กโตรดทั่วไปเปน
C D
A B
.ln
.α β= ° −c da aRTE E
nF a a (1.109)
และ (1.110) Δ = −G EF
เมื่อ E เปนคาศักยอิเล็กโตรด
เปนคาศักยอิเล็กโตรดมาตรฐาน °E
เปนคาคงที่ฟาราเดย F
เปนแอคติวิตีของตัวท่ีเราสนใจ a
เมื่อแอคติวิตีของทุกตัวท้ังหมดท่ีเกิดขึ้นในปฏิกิริยาเทากัน ก็จะได
C D
A B
.ln
.α β
c da aRTnF a a
ก็จะเทากับ 0 ดังนั้น = °E E
ขอสังเกต
ที ่25°C, 2.303( /RT F ) มีคาเทากับ 0.059 volt หรือ 59 mV 1.)
ในกรณีที่เปนของแข็งและของเหลวบริสุทธิ์ คาแอคติวิตีจะเทากัน 2.)
ในกรณีที่เปนกาซ คาแอคติวิตีสามารถใชคาความดันยอยแทนได 3.)
ในกรณีที่เปนสารละลายเจือจาง สามารถใชความเขมขนแทนคาแอคติวิตีไดเลย 4.)
อิเล็กโตรดประเภทที่ 1 1)
เปนอิเล็กโตรดที่เกิดจากการจุมโลหะลงในสารละลายท่ีประกอบไปดวยอิออนของมัน เชน Ag/Ag+ ปฏิกิริยาท่ี
เกิดขึ้น ณ อิเล็กโตรด มักจะเกิดเปนปฏิกิริยารีดักชันไดเปน
(1.107) +n -M + ne M→
เมื่อนํามาพิจารณาดวยสมการของเนินสก็จะไดเปน
M+n +nM /M M /M +M
ln= ° −RT aE EnF a
(1.111)
ถากําหนด =1 Ma
+n +nM /M M /M +nM
1ln[ ]
= ° −RTE EnF a
(1.112)
เพราะฉะนั้นถา นั้นวัดได เราก็จะไดคา ดวยโดยที่ความเขมขน [ ] นั้นสามารถหาได
อยูแลวอิเล็กโตรดชนิดนี้ที่จะเกิดการผันกลับไดของการเกิดอิออนของโลหะไดซ่ึงอาจจะเรียกอีกอยางวา อิเล็กโตรดที่
เกิดปฏิกิริยาผันกลับท่ีขั้วบวก (Cationic reversible electrode)
+nM /ME +nM /M
°E +nM
อิเล็กโตรดประเภทที่สอง 2)
ตัวอยาง เชน Ag / AgCl / Cl-solution มีชื่อวา Silver/silver chloride electrode
มีชื่อวาคาโลเมลอิเล็กโตรด (Calomel electrode) Hg / Hg2Cl2 / Cl-solution
อิเลกโตรดเหลานี้ตัวขั้วโลหะนั้นจะสัมผัสกับเกลือของโลหะท่ีไมละลายน้ํา ดังนั้นโลหะก็จะมีโอกาสท่ีจะ
สัมผัสกับอิออนลบ (anion) เทานั้น เนื่องจากอิออนบวกของโลหะนั้นถูกทําใหตกตะกอนไปแลว ครึ่งปฏิกิริยารีดักชัน
สามารถเขียนไดเปน
(1.113) -AgCl + e Ag + Cl→ -
- (1.114) -2 2Hg Cl + 2e 2Hg + 2Cl→
ซ่ึงศักยอิเล็กโตรดนั้นจะขึ้นอยูกับความเขมขนของอิออนลบของเกลือที่ไมสามารถละลายน้ําเทานั้นดังนั้น
จึงเรียกอิเล็กโตรดประเภทนี้วา อิเล็กโตรดท่ีเกิดปฏิกิริยาผันกลับที่ขั้วลบ (Anion reversible electrodes) สามารถหาคา
ไดดังนี ้
ทฤษฎีพื้นฐานทางเคมีฟสิกสที่เกีย่วของกับการยอมส/ี18
- -Ag/AgCl/Cl Ag/AgCl/Clln[ ]−= ° −
RTE E CF
l
2Calomel Calomel ln[ ]
2−= ° −
RTE E CF
l
อิเล็กโตรดประเภทที่สาม 3)
พวกนี้จะเปนอิเล็กโตรดท่ีเปนกาซแมวาจะไมมีการใชงานทางอุตสาหกรรมแตคาศักยอิเล็กโตรดมาตรฐาน
ที่ใชคือคาศักยอิเล็กโตรดมาตรฐานไฮโดรเจนน้ันก็เปนตัวอยางของอิเล็กโตรดประเภทนี ้
จากครึ่งปฏิกิริยารีดอกซสําหรับไฮโดรเจนและอิเล็กตรอนสามารถเขียนไดดังนี้ + 1
22H + e H→ (1.117)
ไดเปน
1/ 2H2
+ +H /H H /H2 2ln
[ ]°
+= −PRTE E
F H (1.118)
เมื่อ เปนความดันยอยของ H2 ดังนั้น ถากําหนด เปน 0 คาอิเล็กโตรดไฮโดรเจนมาตรฐาน
ก็จะเทากับ 1atm ดังนั้นก็จะได
H2P +H /H2
°E H2P
+H /H2
1ln[ ]+
= −RTEF H
(1.119)
และ (1.120) +H /H22.303= −
RTE pHF
ก็จะทําใหเราทราบคา ไดโดยการเพียงแควัดคา pH ของสารละลายเทานั้น +H /H2
°E
4) อิเล็กโตรดประเภทที่สี ่
ในกรณีนี้ ไดแก การจุมอิเล็กโตรดชนิดไบรทแพลตินัม (Bright platinum electrode) ในสารละลายที่มีอิออน,
อะตอมหรือโมเลกุลของสารเดียวกันต้ังแต 2 สปชีส (Species) ขึ้นไป เชน Fe2+ และ Fe3+; หรือ Sn2+ และSn4+; หรือ
ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) และควิโนน (Quinone) ; หรือสีวัต (Vat dyes) และ สีลิวโควัต (Leuco vat dyes)
จากปฏิกิริยา 3+ - 2+Fe + e Fe→ (1.121)
ไดเปน
2
3+ 2+ 33+ 2+Fe /Fe /Pt Fe /Fe /Pt
[ln[ ]
]+°+= −
RT FeE EF Fe
(1.122)
คาศักยอิเล็กโตรดที่ไดก็จะขึ้นอยูกับอัตราสวนของความเขมขนของท้ัง 2 สปชีส
อิเล็กโตรดประเภทน้ีสามารถท่ีจะใชหาคาศักยรีดักชันมาตรฐานของสีวัต ถาตัวทําละลายท่ีเลือกใช
สามารถละลายไดทั้งสีวัตและสีลิวโควัต เชน ไพริดีน (Pyridine) สมการ (1.122) ก็จะเขียนไดเปน
vat/leuco/Pt vat/leuco/Pt[ln[ ]
°= −RT leucoE EF vat
]
]
(1.123)
ดังนั้นก็จะได
[ ] [ =leuco vat ดังนั้น vat/leuco/Pt vat/leuco/Pt°=E E
เมื่อ เปนคาการเปล่ียนแปลงของพลังงานอิสระของกระบวนการรีดักชันก็จะสามารถหาคา
ไดจากการทดลองหาคาศักยรีดักชันมาตรฐานกอน
Δ ° = − °G nE F
เซลลสมบูรณ
โดยทั่วไปเซลลนั้นจําเปนที่จะตองมีอยางนอย 2 อิเล็กโตรดโดยท่ีจะเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันท่ีอิเล็กโตรด
หนึ่งและพรอมๆกันนั้นก็จะเกิดปฏิกิริยารีดักชัน ณ อีกหนึ่งอิเล็กโตรดจากตัวอยาง
ตัวอยางท่ี 1 สมมติวาเซลลที่พิจารณาจะประกอบไปดวยอิเล็กโตรดไฮโดรเจนมาตรฐาน V และ
อิเล็กโตรดคาโลเมลอ่ิมตัวซ่ึงมีคาศักยอิเล็กโตรดมาตรฐานเทากับ 0.245 V ดังนั้นปฏิกิริยารีดักชันก็จะเกิดที่คา
โลเมลอิเล็กโตรดและปฏิกิริยาออกซิเดชันท่ีไฮโดรเจนอิเล็กโตรดดังนั้นปฏิกิริยาอิเล็กโตรดที่ไดก็จะเปน
+H /H20° =E
วิโรจน สารการโกศล เคมีฟสิกสการยอมสี / 19
- -2 2Hg Cl + 2e 2Hg + 2Cl→ ( = 0.245 V) (1.124) °E
+ -2H 2H + 2e→ ( = 0 V) (1.125) °E
ดังนั้นปฏิกิริยาของเซลลสมบูรณที่จะไดจากการรวมปฏิกิริยาท่ีอิเล็กโตรด 2 ปฏิกิริยาเปน
( =0.245 V) (1.126) - +2 2 2Hg Cl + H 2Hg + 2Cl + 2H→ °E
ขอสังเกต : กอนท่ีจะรวมปฏิกิริยารีดอกซนั้นจําเปนตองดุลจํานวนอิเล็กตรอนของคร่ึงปฏิกิริยาใหเทากันดวย
ตัวอยางท่ี 2 เซลลที่ประกอบไปดวยควินไฮโดรนอิเล็กโตรด (Quinhydrone electrode) ซ่ึงมีคา เปน0.7 V และซิล
เวอรคลอไรดอิเล็กโตรด (Silver chloride electrode) มีคา เทากับ 0.2 V ดังนั้นปฏิกิริยารีดอกซก็จะเปน
°E
°E
O
O
OH
OH
+2H+ +2e-
( )0.7V° =E (1.127)
- -2Ag + 2Cl 2e + 2AgCl→ ( =-0.2 V) (1.128) °E
เมื่อรวมกันก็จะไดเปน
+2AgCl
O
O
OH
OH
+2H+ +2Ag+2Cl-
( = 0.5V) 1.129) °E
สมดุลเมมเบรนของดอนแนน
ถาสมมติวาสารละลาย 2 ชนิดนั้นถูกก้ันดวยตัวก้ัน (Barrier) ซ่ึงสารละลายทั้ง 2 นั้นจะมีอิออนละลายอยูใน
ตัวทําละลายท่ีสามารถเคล่ือนที่อยางอิสระผานตัวกั้นนั้นโดยท่ีไมไดนําพาอิออนบางตัวออกมาดวย ซ่ึงการศึกษาอิ
ออนท่ีไมสามารถแพรผาน (Non-diffusible ionic species) นั้นจะทําใหเกิดปรากฏการณพิเศษขึ้น ดอนแนน (F.G.
Donnan) จึงไดทําการเริ่มศึกษาระบบดังรูป
จากตัวอยางรูปโดยท่ีตัวก้ันที่ใชเปนแผนเซลโลเฟนซ่ึงท่ีสารละลายท่ี 1 จะมีเพียงแต NaCl และสารละลายท่ี
2 จะมีโซเดียมโดเดคซิลซัลโฟเนต (SDS) ที่มีความเขมขนเปน mol/l ถาพิจารณาวาอิออนเด่ียวของโซเดียมโดเดค
ซิลซัลโฟเนตนั้นมีปริมาณที่นอยมาจนสามารถละเลยได ดังนั้นสารละลายก็ควรจะความเขมขนของคอลลอยดที่
เกิดขึ้นเทากับ
C
=nzCN
(1.130)
เมื่อ n เปนจํานวนไมเซลล (Micelle) ตอลิตร
เปนจํานวนประจุของไมเซลลนั้น z
เปนเลขอาโวกาโดร (6.02 x 1023) N
ทฤษฎีพื้นฐานทางเคมีฟสิกสที่เกีย่วของกับการยอมส/ี20
เมื่อไมเซลลมีขนาดใหญก็จะไมสามารถแพรผานตัวก้ันไดในขณะท่ี NaCl นั้นสามารถผานไดเพราะฉะนั้น
Na+ และ Cl- ก็จะแพรผานแผนเมมเบรนจนถึงสมดุลจนกระท่ังศักยเคมีของท้ังสองดานของแผนเมมเบรนเทากัน
ดังนั้น
μ μ=NaCl NaCl (1.131)
+ − + −+ = +Na Cl Na Cl
a a a a (1.132)
เมื่อใหเครื่องหมาย ( ) ที่อยูขางบนหมายถึง คาแอคติวิตีในสารละลายที่ 2 ถานําเอาความเขมขนมา
พิจารณาแทนท่ีแอคติวิตีก็สามารถเขียนไดเปน
...
+ − + −+ = +Na Cl Na Cl
C C C C (1.133)
สวนสภาวะสมดุลครั้งที่สองหรือท่ีเกิดใหมอีกครั้งในสารละลายท่ี 2 ระบบก็จะเขาสูความเปนกลางทาง
ไฟฟา (Electrical neutral) ดังนั้น
+ −= +Na Cl
C C C (1.134)
และในสารละลายท่ี 1 ก็จะเปน
+ −=Na Cl
C C (1.135)
ในสารละลายท่ี 2 นั้นปริมาณของ Na+ จะตองดุลประจุใหเทากับปริมาณประจุลบของ Cl- และไมเซลล
รวมกันแตปรากฎวา
+ −>Na Cl
C C (1.136)
ดังนั้นสมการทั้งสองเม่ือรวมกันจะไดเปน
( )2− − −=
Cl Cl ClC C C C− (1.137)
และ
( )2+ + +=
Na Na NaC C C C− (1.138)
ซ่ึงก็จะเห็นคาความแตกตางของความเขมขนของอิออนของสารละลายท้ัง 2 ขางของแผนเมมเบรน
ในการพิจารณาท่ีสมดุลจะเห็นวา สารละลายท่ี 2 นั้นจะมีความเขมขนของ Na+ มากกวาสารละลายท่ี 1
และกลับกันในกรณีของ Cl- ดังนั้นความเปนไปไดที่ Na+ จะเกิดการเคล่ือนตัวกลับไปยังสารละลายที่มีความเขมขน
ของ Na+ นอยกวาซ่ึงเปนสารละลายที่ 1 นั้นก็จะถูกจํากัดโดยแรงตาน (Opposing force) ซ่ึงเกิดจากความแตกตางของ
ศักยไฟฟาระหวางสารละลายทั้งสองท่ีเราเรียกวา ศักยเมมเบรนของดอนแนน (Donnan membrane potential)
ถาพิจารณาในกรณีที่ไมมีการเคล่ือนตัวของ Na+ จากสารละลายท่ี 2 ไปยังสารละลายที่ 1 ดังนั้นคาพลังงาน
อิสระท่ีลดลงก็จะเทากับ
ln+
+
Na
Na
aRTa
(1.139)
แตในความเปนจริงเมื่อสารละลายเขาสูสมดุลแลวพลังงานอิสระก็จะเทากับ 0 ดังนั้นงานทางไฟฟาท่ีใชใน
การถายเท Na+ จากสารละลายท่ี 2 ไปยังสารละลายท่ี 1 ก็จะไดจาก
ln+
+= Na
mNa
aFE RTa
(1.140)
และโดยท่ีคาศักยทางไฟฟาก็จะไดจาก
ln ln+ −
−+= =Na Cl
mClNa
aRT a RTEF a F a
(1.141)
จะไดเปน
+ −
−+= =
E FmNa Cl RT
ClNa
aa ea a
วิโรจน สารการโกศล เคมีฟสิกสการยอมสี / 21
ถาระบบท่ีพิจารณาประกอบไปดวยเกลือท่ีสามารถแพรผานไดมากกวา 1 ชนิดเราก็สามารถท่ีจะใชสมการ
ที่กลาวมาเชนกันดังตัวอยางของสารละลายท่ีประกอบไปดวย MgCl2และ NaCl จะไดเปน 1/ 2
2
2
+ + −
−+ +
⎡ ⎤⎢ ⎥= = =⎢ ⎥⎣ ⎦
E FmNa Mg Cl RT
ClNa Mg
CC C eC C C
(1.142)
เพราะฉะน้ัน ในระบบท่ีมี 2 เฟสท่ีมีองคประกอบของอิออนท่ีแพรผานไมไดนั้นก็จะเปนตัวที่รบกวนการ
กระจายตัวอยางสมํ่าเสมอของอิออนท่ีแพรผานไดทั้งหมด ซ่ึงในระบบนี้ไมจําเปนตองใชแผนเมมเบรนแยกออกก็ได
เชน ในเสนใยที่มีหมูแสดงประจุที่แชอยูในน้ําซ่ึงไมสามารถเกิดการแพรได ณ ที่ผิวของเสนใยเองก็จะทําตัวเปนตัว
แบงเฟสภายใน (Internal phase) ใหออกมาจากเฟสภายนอก (External phase) เองดวย
1.4 จลนศาสตรปฏิกิริยาเคมี
การศึกษาจลนศาสตรเคมี (Kinetic of chemical reaction) เปนอีกสาขาหนึ่งของเคมีเชิงฟสิกสที่ใชศึกษาถึง
ความเร็วในการเกิดปฏิกิริยา และสามารถใชสืบคนถึงกลไกการเกิดปฏิกิริยาไดดวย
ปกติปฏิกิริยาทุกปฏิกิริยาจะมีอัตราการเกิดปฏิกิริยาขึ้นอยูกับสภาวะท่ีทดลองซ่ึงสภาวะท่ีมีผลตออัตรา
การเกิดปฏิกิริยา ไดแก ความเขมขน (หรือความดันในกรณีของกาซ), ชนิดของสารต้ังตน, อุณหภูมิ, สารคะตะลิสต
และการฉายรังสี ซ่ึงการศึกษาอัตราการเกิดปฏิกิริยานั้นซ่ึงจําเปนที่จะตองศึกษาถึงอิทธิพลของสภาวะตางๆ
โดยเฉพาะอยางย่ิง ความเขมขนของสารต้ังตนและอุณหภูมิ
วิธีการหาอัตราการเกิดปฏิกิริยา
การศึกษาทางจลนศาสตรของปฏิกิริยานั้นมักจะศึกษาท่ีอุณหภูมิคงที่โดยการใชสารเคมีที่จะทําปฏิกิริยา
กันที่ทราบองคประกอบและเครื่องควบคุมอุณหภูมิ (Thermostat) โดยการวัดความเขมขนของสารต้ังตนท่ีลดลงเปน
ตัวระบุถึงการเกิดปฏิกิริยาโดยท่ีมักจะศึกษาการลดลงของสารต้ังตนตอหนวยเวลา
แตถาในระบบท่ีจะศึกษาเก่ียวกับกาซก็จะศึกษาถึงปริมาตรที่เปล่ียนแปลงไปท่ีสภาวะความดันคงท่ีหรือ
สภาวะท่ีความดันเปล่ียนแปลงขณะท่ีปริมาตรคงที่หรืออาจจะใชเครื่องมือชวยในการศึกษา เชน เสปคโตรสโคป
(Spectroscopy), เครื่องวัดสี (Colorimetry) , เครื่องวัดความหนืด (Viscosity), เครื่องวัดการกระเจิงของแสง (Light
scattering) ฯลฯ
อันดับและลักษณะทางโมเลกุลของปฏิกิริยา
จากการพิจารณาถึงอัตราการเกิดปฏิกิริยา (Rate of reaction) ควรจะศึกษาถึงอันดับของปฏิกิริยา (Order of
the reaction) ซ่ึงในทางจลนศาสตรนั้นอันดับของปฏิกิริยาอาจจะเปนอันดับที่ 1, 2, 3 หรือ 0 ก็ไดบางกรณีอาจจะเปน
อันดับที่เศษสวนก็ยังพบได ซ่ึงอันดับของปฏิกิริยานั้นจะเปนผลรวมของตัวเลขยกกําลังท่ีอยูบนเทอมความเขมขนใน
สมการอัตรา (Rate equation) ดังนั้นถา
อัตรา (1.143) [ ]= k A
คายกกําลังของ [ ] ดังนั้นก็จะเปน ปฏิกิริยาอันดับหนึ่ง (first order reaction) 1=A
แตถา อัตรา (1.144) 2[ ]= k A
ก็จะเปน ปฏิกิริยาอันดับสอง (second order reaction) ซ่ึงก็จะสามารถใชกับกรณีนี้ไดดวย
อัตรา (1.145) [ ][ ]= k A B
ดังนั้นถา อัตรา (1.146) 2[ ] [ ][ ]= k A B C 3
สมการนี้ก็จะเปนปฏิกิริยาอันดับหก (sixth order reaction)
แตถาในกรณีที่ไมมีความเขมขนเขามาเก่ียวของกับสมการดังเชน สมการ ในกรณีนี้ก็จะเปน
ปฏิกิริยาอันดับศูนย (zeroth order reaction) ซ่ึงจะเปนตัวบอกวาอัตราการเกิดปฏิกิริยานั้นคงที่ตลอดเนื่องจากไม
ขึ้นอยูกับความเขมขนของสารต้ังตนเลย
=Rate k
ในกรณีทั่วไป เมื่ออัตราการเกิดปฏิกิริยา (Rate of reaction) ไดจาก
อัตรา (1.147) 31 21 2 3 ...= nn nkC C C
ทฤษฎีพื้นฐานทางเคมีฟสิกสที่เกีย่วของกับการยอมส/ี22
เมื่อ k เปนคาคงที่และอันดับของปฏิกิริยาของแตละองคประกอบ (Constituent) ก็จะเปน n1, n2, n3 ฯลฯ แลว
อันดับท้ังหมดก็จะเปน n 1 2 3 ...= + + +n n n n (1.148)
ซ่ึงคาเหลานี้จะเปนตัวบอกถึงกลไกการเกิดปฏิกิริยา (Reaction mechanism) และอธิบายถึงจํานวนของ
โมเลกุลที่ใชทําปฏิกิริยาในอัตราสวนอยางตํ่า เชน ถาปฏิกิริยา A ก็จะหมายความวา สาร A 1 โมเลกุลเกิดการ
สลายตัวแลวเปล่ียนแปลงกลายเปน B เกิดขึ้น ปฏิกิริยานี้จะเรียกวา ปฏิกิริยาโมเลกุลเด่ียว (Unimolecular reaction)
แตถาโมเลกุล 2 ตัวมาทําปฏิกิริยากันเกิดเปนอีกสารหนึ่ง เชน ในกรณีนี้ก็จะเปน ปฏิกิริยาโมเลกุลคู
(Bimolecular reaction) ซ่ึงจากตัวอยางท้ังสองนี้เปนตัวบอกวาปฏิกิริยาแรกนั้นควรเปนปฏิกิริยาอันดับหนึ่ง และ
ปฏิกิริยาท่ี 2 ควรจะเปนปฏิกิริยาอันดับสอง แตในหลายกรณีการหาอันดับของปฏิกิริยาไมไดหาจากลักษณะทาง
โมเลกุล (Molecularity) แตหาไดจากการทดลองเน่ืองจากวาลักษณะทางโมเลกุลนี้ไมไดใชเปนสิ่งท่ีตัดสินที่ถูกตองที่
สุดแตก็ใชเปนแนวทางไดพอควร
B→
2 2H + I 2HI→
ในบางปฏิกิริยาที่ตองระวังในการศึกษาอันดับของปฏิกิริยานั้น เนื่องจากปฏิกิริยาซับซอนเกินกวาท่ีจะใช
ลักษณะทางโมเลกุลศึกษา เชน (1.149) 22NO + O 2NO→ 2
เมื่อมองเราจะเห็นวาปฏิกิริยานี้ควรจะเปนปฏิกิริยาอันดับสาม (third order reaction) แตจากการทดลอง
พบวาปฏิกิริยานี้ไมไดเกิดจากการชนกันของ NO 2 โมเลกุลกับ O2 1 โมเลกุล ซ่ึงในความเปนจริงแลวเปนการยาก
มากที่ 2 โมเลกุลของ NO จะมาปะทะกับ O2 โดยตรง ดังนั้นปฏิกิริยานี้เมื่อทําการทดลองแลวสามารถใหสมการท่ีมี
ความเปนไปไดมากกวาดังนี้ (1.150) 2 22NO N O→
(1.151) 2 2 2 2N O + O 2NO→
ดังนั้นปฏิกิริยานี้ควรจะเปนโมเลกุลคูหรืออันดับสองนั่นเอง
ปฏิกิริยาอันดับหน่ึง
ในปฏิกิริยาอันดับหนึ่ง อัตราการเกิดปฏิกิริยาก็จะแปรผันกับความเขมขนของสารต้ังตนดังนี้
− =dC kCdt
(1.152)
เมื่อ C เปนความเขมขนของสารต้ังตน
ถาคาคงที่อัตรา k เปนจํานวนเต็มบวกและมีหนวยเปนสวนกลับของเวลา (time-1) เชน ตอวินาที (sec-1) สวน
เครื่องหมายลบใน (1.152) เปนการบอกวาความเขมขนจะลดลงเมื่อเวลาผานไปและนั่นก็หมายความวาเมื่อเวลาผาน
ไปปฏิกิริยาก็จะเกิดชาลงดวย เนื่องจากความเขมขน C ลดลงคาคงที่อัตรา k ก็จะลดลงไปตามดวย
จากผลการทดลองพบวาอัตราการเกิดปฏิกิริยานั้นจะเปนคาความเขมขน C หรือคาที่เกี่ยวของกับความเขมขน C ที่
เวลาตางๆกัน ถาขอมูลนั้นสามารถใหผลที่ใกลเคียงกับคาอินทิเกรตที่ไดจากกฎปฏิกิริยาอันดับหนึ่งแลวก็จะเปน
ปฏิกิริยาอันดับหนึ่งนั้นเอง
เมื่อพิจารณาความเขมขนเริ่มตน ณ เวลา t = 0 เปน และเวลาท่ีวัดเปนเวลา t และความเขมขนที่เวลาท่ี
วัดลดลงเปนความเขมขน C แลวสามารถที่จะทําการอินทิเกรต (1.152) ไดเปน 0C
00
=∫ ∫C t
C
dC k dtC
(1.153)
ก็จะไดเปน
0
0ln ln− = =
CC ktC C
(1.154)
หรือ
0log2.303
=C ktC
(1.155)
วิโรจน สารการโกศล เคมีฟสิกสการยอมสี / 23
ดังนั้นก็จะไดเปน
0log log2.303
= −ktC C (1.156)
จากสมการนี้จะเห็นวาถาทําการพล็อตกราฟระหวางคา หรือ log C กับ t แลวไดกราฟเปน
เสนตรงแลวก็จะไดเปนปฏิกิริยาอันดับหนึ่งที่มีความชันหรือคาคงที่อัตราเปน k 0log( / ) C C
ลักษณะที่สําคัญของปฏิกิริยาอันดับหนึ่งนั้นไดมาจาก (1.155) โดยการพิจารณาที่เวลา t ใดๆท่ี
ทําการศึกษา โดยมากจะเปน ซ่ึงเปนเวลาท่ีใชทําใหความเขมขนของสารตั้งตนลดลงคร่ึงหนึ่งของคาเริ่มตน
(Initial value) ดังนั้น ดังนั้นจาก (1.155) ก็สามารถเขียนไดเปน 1/t 2
0 / 2=C C
1/ 22.303 0.639log 2= =t
k k (1.157)
จากสมการนี้เองคา นั้นก็เปนคาคงที่ที่ไมขึ้นอยูกับความเขมขนเริ่มตนดังนั้นเมื่อใชเวลาในการศึกษา
ระบบท่ีมีความเขมขนจาก 1 โมลของสารต้ังตนเปน 0.5 โมลนั้นก็จะใชเวลาเทากับระบบท่ีใชในการทําใหความ
เขมขนของสารต้ังตนจาก 0.01 โมลเปน 0.005 โมลดวย ซ่ึงโดยท่ัวไปเวลาที่ใชในการศึกษาปฏิกิริยาอัตราสวนเดียวกัน
นั้นจะไมขึ้นอยูกับความเขมขนเริ่มตนดวย ดังนั้นอาจกลาวไดวา ไมวาความเขมขนเริ่มตนจะเปนเทาใดก็จะใชเวลา
เทากันในการทําใหอัตราสวนของความเขมขนลดลงเทากัน
1/ 2t
ปฏิกิริยาอันดับสอง
โดยท่ัวไปปฏิกิริยาอันดับสองนั้น อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะเปนสัดสวนกับความเขมขนของสารต้ังตนเพียง
ตัวเดียวยกกําลังสอง หรือเปนสัดสวนกับผลคูณของความเขมขนของสารต้ังตนท้ังสองตัวเลย ซ่ึงในกรณีหลังถาความ
เขมขนของสารต้ังตนท้ัง 2 เทากันก็สามารถใชสมการในการพิจารณาเชนเดียวกับกรณีแรกดังกฎอัตราก็จะเปน
2− =dC kCdt
(1.158)
เมื่อ C เปน ความเขมขนของสารต้ังตนตัวใดตัวหนึ่งโดยท่ีจากขอมูลทางจลนศาสตร เมื่อทําการอินทิเกรต
ออกมาแลวจะไดเปน
200
=∫ ∫C t
C
dC k dtC
(1.159)
ดังนั้นก็จะไดเปน
0
1 1− = kt
C C (1.160)
จากสมการท่ีทําการอินทิเกรตออกมาพบวา เมื่อทําการพล็อตกราฟระหวาง 1 กับ t แลวก็จะไดเปน
เสนตรงโดยท่ีความชันก็จะเทากับคาคงที่อัตรา k ดังนั้นคา ก็จะเทากับ
(1.161)
/C
1/ 2t
1/ 20
1=t
kC
จะเห็นวาในกรณีนี้คา ขึ้นอยูกับความเขมขนเริ่มตน ซ่ึงตางกับในกรณีที่เปนปฏิกิริยาอันดับหนึ่ง 1/ 2t 0C
ในบางกรณีเมื่อพิจารณาการเกิดปฏิกิริยาท่ีเวลา t ดังสมการ A+B → Product (1.162)
เมื่อความเขมขนเริ่มตนของ A และ B ไมเทากัน ขอมูลจลนศาสตรก็สามารถท่ีจะหาไดดังนี้เมื่อ
เปนความเขมขนเริ่มตนของ A a
เปนความเขมขนเริ่มตนของ B b
เปนความเขมขนของ A หรือ B ที่ลดลงท่ีเวลา , ดังนั้น ก็จะเทา t x x
กับปริมาณของผลิตภัณฑที่เวลา t
เปนความเขมขนของ A ที่เวลา t a - x
เปนความเขมขนของ B ที่เวลา t b - x
จากการดิฟเฟอเรนเชียลปฏิกิริยาอันดับสองก็จะไดเปน
ทฤษฎีพื้นฐานทางเคมีฟสิกสที่เกีย่วของกับการยอมส/ี24
[ ][ ]=dx k A Bdt
(1.163)
( - )( - )= k a x b x
เมื่อทําการอินทิเกรตก็จะไดเปน
1 ( )ln
( )−
=− −
b a x kta b a b x
(1.164)
ดังนั้นถาพิจารณาในปฏิกิริยาที่อันดับสูงกวาหนึ่งแลว
− = ndC kCdt
(1.165)
เมื่อทําการ อินทิเกรต ก็จะสามารถใหรูปแบบท่ัวไปเปน
1 10
1 1 1( 1) − −
⎡ ⎤− =⎢ ⎥
− ⎢ ⎥⎣ ⎦n n kt
n C C (1.166)
และคา ก็จะเปน 1/ 2t
1
1/ 2 10
2 1( 1)
−
−−
=−
n
ntn kC
(1.167)
ปฏิกิริยาอันดับเทียม
โดยทั่วไปปฏิกิริยาอันดับเทียม (Pseudo-molecular reaction) นั้นมักจะพิจารณาในกรณีที่มีความเขมขนของ
สารตั้งตนอยางนอยหนึ่งชนิดคงท่ีตลอดการเกิดปฏิกิริยา ซ่ึงในกรณีนี้มักจะเกิดขึ้นในกรณีที่ใชตัวทําละลายเปนตัว
สารต้ังตนเอง เชน การเกิดการสลายตัวของคารบอนิลซัลไฟด (Carbonyl sulphide) ในน้ํา ดังสมการ (1.168) 2 2COS+ H O CO + H S→ 2
ซ่ึงจากปฏิกิริยาเราสามารถตัดสินไดวาตองเปนปฏิกิริยาอันดับสองแนนอนเพราะอัตราการเกิดนั้นจะตอง
ขึ้นอยูกับความเขมขนของทั้งคารบอนิลซัลไฟดและนํ้า แตในความเปนจริงแลวอัตราการเกิดกับเปนปฏิกิริยาอันดับ
หนึ่งซ่ึงขึ้นอยูกับความเขมขนของคารบอนิลซัลไฟดเพียงอยางเดียวแตไมขึ้นอยูกับความเขมขนของน้ําเลย ซ่ึงเมื่อ
พิจารณาความจริงก็จะพบวาน้ํานั้นมีปริมาณที่มากเกินพอ ดังนั้นจึงดูเหมือนวาความเขมขนของน้ํานั้นไม
เปล่ียนแปลงเลยตลอดเวลาท่ีเกิดปฏิกิริยาดังนั้นจาก (1.165) ถา a เปนความเขมขนเริ่มตนของคารบอนิลซัลไฟด
และ b เปนความเขมขนเริ่มตนของน้ําภายใตสภาวะท่ี b - x = b เนื่องจากปริมาณน้ําที่ใชทําปฏิกิริยานั้นนอยมาก
เมื่อเทียบกับปริมาณเริ่มตน จึงดูเหมือนวาปริมาณของน้ํานั้นไมลดลง ดังนั้นสมการอัตราก็จะกลายเปน
2 ( )= −dx k a x bdt
(1.169)
เมื่อทําการอินทิเกรตออกมาก็จะไดเปน
21log= =
−ak bk
t a x (1.170)
ซ่ึงเหมือนกับปฏิกิริยาอันดับหนึ่ง ซ่ึงคาคงที่อัตรา k ก็จะไมขึ้นอยูกับความเขมขนซ่ึงคาคงที่อัตรา k ใหมที่
เกิดขึ้นจะขึ้นอยูกับสาร a เพียงอยางเดียว
ปฏิกิริยาอันดับศูนย
จากความหมายของปฏิกิริยาอันดับศูนยนั้นระบุวาอัตราการเกิดปฏิกิริยานั้นไมขึ้นอยูกับความเขมขนของ
สารต้ังตนเลยดังนั้นสามารถเขียนไดเปนสมการดังนี้
− =dC kdt
(1.171)
เมื่อคาคงที่อัตรา k มีคาคงที่ตลองชวงเวลาการทําปฏิกิริยา จากสมการสามารถที่จะอินทิเกรตไดเปน
00
=∫ ∫C t
C
dC k dt (1.172)
ดังนั้นก็จะได
0 − =C C kt (1.173)
วิโรจน สารการโกศล เคมีฟสิกสการยอมสี / 25
ดังนั้น
01/ 2 2
=Ct
k (1.174)
รูปท่ี 1. 3 กราฟแสดงความเขมขนของสารต้ังตนตอเวลาท่ีผานไปขณะทําปฏิกิริยา
ปฏิกิริยาอันดับศูนย (a)
ปฏิกิริยาอันดับหนึ่ง (b)
ปฏิกิริยาอันดับสอง (c)